‘นางเลิ้ง’ ย่านเกินร้อย

กว่า 100 ปีจวบจนวันนี้ ที่ ‘นางเลิ้ง’ ทำหน้าที่เป็นชุมชนเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ขณะเดียวกันนี่คือประวัติศาสตร์เพียงไม่กี่หน้าที่ยืนยันว่าวิถีของคนในย่านเก่ายังมีลมหายใจ
จาก ‘สนามควาย’ สู่ ‘อีเลิ้ง’ และ ‘นางเลิ้ง’ จนถึงปัจจุบัน แม้จะเรียกขานเปลี่ยนไป แต่หัวใจของย่านนี้ยังคงเดิม คือตั้งแต่ก่อตั้งตลาดนางเลิ้งเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 และเปิดอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2443 ซึ่งในคราวนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเป็นองค์ประธานด้วยพระองค์เอง
ความครึกครื้นในย่านนางเลิ้งเสมือนภูเขา มากขึ้น มากขึ้น จนกระทั่งถึงจุดสูงสุด เรียกได้ว่าห้วงเวลานั้นทั้งการค้า ศิลปวัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตของคนนางเลิ้งเฟื่องฟูจนขีดสุด ตัวอย่างเช่น โรงภาพยนตร์เฉลิมธานี แลนด์มาร์คหนึ่งของย่านนี้ ได้รับความนิยมถึงขนาดฉายภาพยนตร์จากทุกชาติ แถมยังมีคนดูรอบละ 300-400 คน!
หรือ วัดแค บ้านละครชาตรี บ้านนราศิลป์ ที่รับแสดงโขน ละครชาตรี และดนตรีไทย บ้านจงกล หรือที่เรียกกันในหมู่ศิลปินว่า ‘ละครหลานหลวง’ บ้านสามัคคีลีลาศหรือบ้านเต้นรำ ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเคยขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุด เป็นที่นิยม มีงานจ้างงานแสดงไม่ขาด
แต่เมื่อความเจริญรุ่งเรืองเปรียบเสมือนภูเขา เมื่อถึงจุดสูงสุดย่อมมีทางลง บางอย่างของนางเลิ้งค่อยๆ ลง แน่นอนว่าบางอย่างเหมือนดิ่งลงเหว...
โรงภาพยนตร์เฉลิมธานี จากเคยมีผู้ชมหลายร้อยคน เหลือเพียงรอบละไม่ถึง 10 คน! พอถึงปี พ.ศ.2536 จำต้องเลิกกิจการ ปัจจุบันกลายเป็นเพียงโกดังเก็บของ
สุมาลย์ เจ้าของร้านขายธูปเทียนวัย 89 ปี เคยให้ข้อมูลเมื่อปี 2559 ว่า สมัยก่อนตลาดนางเลิ้งเป็นตลาดคึกคึก เพราะยังไม่มีตลาดวรจักร ผู้คนยังใช้รถรางสัญจรไปมาเป็นหลัก คนเดินตลาดส่วนมากมุ่งหน้ามาซื้อข้าวของจากตลาดนางเลิ้ง (ตลาดนางเลิ้งใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากตลาดเยาวราช ผู้เล่าเรียกตลาดเยาวราชว่าตลาดเก่า และเรียกตลาดนางเลิ้งว่าตลาดบกแห่งแรกของประเทศไทย) ในตลาดนางเลิ้งมีโรงยาฝิ่น โรงหนังเฉลิมธานี โรงรับจำนำเต็กเล็ง ส่วนที่เป็นตลาดจะขายของชำ มีแผงขายเนื้อตาโป่ง แผงขายปลาช่อน มีร้านขายยาทั้งแผนโบราณและแผนปัจจุบัน มีสินค้าทั่วไป ของขายดีมากตั้งแต่ตี 4 ถึง 6 โมงเช้า
สมัยเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวปี พ.ศ.2482 บรรยากาศชุมชนย่านนางเลิ้งเงียบเหงา เนื่องจากภาวะสงคราม ทุกครั้งที่มีเสียงสัญญาณเตือนการทิ้งระเบิด ชาวบ้านจะไปซ่อนตัวในหลุมหลบภัยของรัฐบาล บางส่วนไปซ่อนในหลุมหลบภัยที่คนในชุมชนช่วยกันสร้างขึ้น บางส่วนย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น จนสงครามสงบจึงกลับมาอยู่ที่บ้านตัวเอง
ทว่านางเลิ้งไม่ได้มีสถานะผู้ป่วยขั้นวิกฤตหรือกำลังเจียนตาย แม้สัจธรรมคือมีขึ้นต้องมีลง ซึ่งจากการพูดคุยและรวบรวมกันของคนในชุมชนพบว่าวามซบเซาของตลาดนางเลิ้งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น เคยเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ห้องแถวสามชั้น ด้านตรอกสะพานยาว, ผู้คนไม่ได้สัญจรด้วยรถราง และเปลี่ยนเป็นถนน ใช้รถยนต์อย่างทุกวันนี้,
สมัยก่อนคนนิยมซื้อวัตถุดิบไปทำอาหารเอง แต่ปัจจุบันคนไม่นิยมทำอาหารเองและหันไปพึ่งพาซูเปอร์มาร์เก็ตแทน, มีตลาดขายส่งเกิดขึ้นจำนวนมาก ในขณะที่ตลาดนางเลิ้งเป็นตลาดค้าปลีกที่คัดเลือกของดีมีคุณภาพมาขาย ทำให้ราคาแพงกว่า, คนรุ่นใหม่ไม่ประกอบอาชีพค้าขายแล้ว และสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างที่จอดรถไม่เพียงพอ เป็นต้น
แต่ทุกวันนี้ย่านนี้ยังมีลมหายใจของหลายชีวิต ยังมีวิถีทั้งเก่าและใหม่ผสมผสานกัน และที่สำคัญคือยังสืบทอดของดีไว้ได้ท่ามกลางการล้มหายตายจากของชุมชนเก่า ทั้งด้วยความเสื่อมถอยเอง และทั้งการไล่รื้อด้วยเงื้อมมือผู้มีอำนาจ
เพื่อกระตุ้นหัวใจให้นางเลิ้งอยู่ต่อไป จึงเกิด โครงการวิจัยเรื่องการฟื้นฟูย่านนางเลิ้งด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น และคนนางเลิ้งต้องการบันทึกข้อมูลประวัติศาสตร์นางเลิ้งด้วยคนนางเลิ้งเอง พร้อมทั้งใช้ต้นทุนที่ดีงามของนางเลิ้งฟื้นฟูย่านนางเลิ้งให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนในอดีตโดยใช้การท่องเที่ยวโดยชุมชนเป็นเครื่องมือ
รศ.ร.อ.ชูวิทย์ สุจฉายา รองอธิการบดีฝ่ายบริการวิชาการและพัฒนา สถาบันอาศรมศิลป์ บอกว่าจากข้อมูลการวิจัยได้เห็นอยู่สองประเด็นที่น่าสนใจคือ หนึ่ง การเปลี่ยนแปลง นับเป็นเรื่องสำคัญของความเป็นเมือง ซึ่งนางเลิ้งได้เปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางสังคม
“ย่านเก่ามีต้นทุน มีมรดกทางวัฒนธรรม เป็นจุดเด่นจุดแข็ง ทีนี้เมื่อจะใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือ ต้องดูว่าการท่องเที่ยวเกิดขึ้นทุกวันหรือเปล่า การฟื้นฟูจะยากมากถ้าเราไม่รักษาย่านเก่าหรือไม่รักษาผู้คนไว้ มันจะไม่มีลูกค้า ไม่มีคน นอกจากว่ารอคนอื่นเข้ามาเที่ยวเท่านั้น การฟื้นฟูย่านอย่างจริงจัง ผู้คนที่อยู่ในย่านนั้นแหละคือตัวขับเคลื่อนด้วยการดำเนินชีวิตในย่านนั้น”
การท่องเที่ยวจากภายนอกจึงต้องควบคู่กับมีความเคลื่อนไหวในชุมชนนั้นด้วย ยกตัวอย่าง ย่านเยาวราช เหตุผลที่เยาวราชยังเข้มแข็ง เพราะย่านดังกล่าวสนองชีวิตประจำวันของคนกรุงเทพฯ อีกส่วนคือดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยี่ยมเยือน ขนาดเยาวราชยังไม่ได้ชูเรื่องศิลปวัฒนธรรมประจำย่าน ดร.ชูวิทย์ จึงชวนคิดในประเด็นที่สองว่ากว่าจะไปถึงเรื่องการท่องเที่ยวต้องประเมินศักยภาพ วางเป้าหมายให้ชัดว่าจะทำแบบไหน ทำแค่ไหน ทำอย่างไร
“ผมเชื่อว่างานวิจัยนี้มีส่วนช่วยพัฒนาเพราะมองอย่างเป็นระบบ และทำโดยชุมชนเอง”
ด้าน ผศ ดร.อภิลักษณ์ เกษมผลกูล ประธานศูนย์สยามทรรศน์ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่างานวิจัยโดยคนในชุมชนนางเลิ้งเองสะท้อนว่าพวกเขาภาคภูมิใจในตัวตน ภาคภูมิใจในความเป็นนางเลิ้ง โดยเฉพาะการศึกษาประวัติศาสตร์ของชุมชนเพราะประวัติศาสตร์ทำให้เห็นผู้คนผ่านเหตุการณ์ต่างๆ และด้วยความที่นางเลิ้งเป็นย่านที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย ทั้งไทย จีน มอญ ชาวใต้ที่อพยพมาพร้อมกองทัพเจ้าพระยาคลัง (ดิศ บุนนาค) ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์จะเชื่อมโยงกับศิลปวัฒนธรรม อาหาร ทำให้เห็นที่มาที่ไปต่างๆ อย่างมีมิติ
การวิจัยเผยถึงข้อมูลเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม การแสดง มหรสพ นาฏศิลป์ ฯลฯ ซึ่งประธานศูนย์สยามทรรศน์ศึกษาเปรียบเทียบว่านี่เป็นดัชนีชี้วัดความรุ่งเรืองและรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของคนย่านนี้
“ตั้งแต่ลำตัด เพลงพื้นบ้าน โขน ละคร หนังตะลุง ละครร้อง จนถึงภาพยนตร์ ทำให้เห็นพัฒนาการของชุมชนไปพร้อมกับพัฒนาการของสังคม”
พอเป็นการฟื้นฟูชุมชนเก่าแก่ มีไม่กี่องค์กรที่จะมีชื่อโดดเด่นขึ้นมา มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ คือหนึ่งในนั้น ซึ่งนางเลิ้งเป็นพื้นที่หนึ่งที่มูลนิธินี้สัมผัสมานานทั้งด้านการอนุรักษ์และการพัฒนา ความใกล้ชิดกับย่านนี้ทำให้ วลัยลักษณ์ ทรงศิริ นักวิชาการจากมูลนิธิเล็ก-ประไพฯ ถึงกับเอ่ยปากว่านางเลิ้งเป็นพื้นที่ที่ทำงานยากที่สุดและเป็นพื้นที่ทำความเข้าใจนานที่สุด เพราะนางเลิ้งมีพื้นที่แยกอย่างชัดเจนเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มตลาด กับ กลุ่มศิลปวัฒนธรรม และเดิมทีก็ไม่ข้องแวะกันนัก
“จากวันแรกที่เราเคยเข้ามาทำงาน รู้สึกว่าแค่นั้นก็ประสบความสำเร็จแล้วสำหรับชุมชนนางเลิ้ง เพราะการจะทำให้คนพื้นที่นี้เข้ามาทำงานร่วมกันนั้นยากมาก งานต่างๆ หลายส่วนไม่ยากที่จะทำ แต่มีคำถามตั้งแต่เข้ามาทำแล้วว่าตลาดนางเลิ้งจะเป็นไปต่ออย่างไร ซึ่งเราก็ถามทุกคนที่เรารู้จัก คำตอบจริงๆ แล้วคงไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว แต่เมื่อสรุปว่าการท่องเที่ยวก็ต้องดูว่าตลาดนี้จะเป็นเพื่อการท่องเที่ยวหรือตลาดสด ซึ่งที่นี่มีพื้นฐานของตลาดสด และตลาดขายอาหารกลางวัน เมื่อเน้นการท่องเที่ยว ตอนนี้ทุกคนน่าจะเล่าเรื่องตลาดนี้ได้แล้ว แต่ที่ต้องมองต่อไปคือจะทำอย่างไรให้เกิดการท่องเที่ยวได้ด้วยตัวเอง”
ด้วยทำเลรายล้อมด้วยวัง อาหารที่มีอิทธิพลจากชาววังจึงอยู่ในตลาดนางเลิ้งค่อนข้างมาก มิหนำซ้ำยังมีประวัติศาสตร์อาหารกระจายอยู่ทั่วย่านนี้ วลัยลักษณ์บอกว่านี่เป็นอีกเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งให้ตลาดนางเลิ้ง
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าตลาดนางเลิ้งมีต้นทุนชั้นเลิศไว้ต่อยอดหลายประการ เช่น คนรุ่นก่อนที่รู้เรื่องราวย่านนี้อย่างดีมีไม่น้อยกว่า 20 คน หมายความว่านางเลิ้งมีนักสื่อความหมายมากเพียงพอ, ชุมชนย่านนางเลิ้งยังมีสถานที่สำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ เช่น หลวงพ่อบารมี ศาลเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ (แต่เดิมอยู่ฝั่งปั๊มน้ำมันตรงข้ามตลาด มีละครชาตรีแสดงหน้าศาลทุกวัน) ร้านค้าดั้งเดิมในตลาดนางเลิ้ง ฯลฯ และในตลาดยังมีร่องรอยความเก่าแก่ที่เป็นสื่อให้คนมาเยี่ยมชม ศึกษา และรู้จักนางเลิ้งมากขึ้น
ถึงแม้ตอนนี้งานวิจัยดังกล่าวจะอยู่ในขั้นดำเนินการ แต่ผลลัพธ์ที่เห็นเป็นรูปธรรมบ้างแล้วคือคนนางเลิ้ง ‘เอาด้วย’ เกือบทั้งหมด ทุกคนมองตัวเองเป็นเจ้าของร่วมกัน งานวิจัยนี้ทุกคนมีส่วนช่วยให้สำเร็จ จุดยืนและแนวทางของตลาดค่อนข้างชัด ยิ่งมีจุดเชื่อมโยงทั้ง ประวัติศาสตร์ อาหาร ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิต สัญญาณชีพของนางเลิ้งมีแต่ขยับดีขึ้นอย่างแน่นอน







