เหตุเกิดที่ หินขาว

เรื่องเล่า “รวมกันเฉพาะกิจ” ของช่างภาพแถวหน้าเมืองไทย และนักวิชาการทางทะเลเพื่อจุดเล็กๆ กลางอันดามันที่โครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา "ตกหล่น"
ระลอกคลื่นที่โยนตัวสูงใต้แสงอาทิตย์กลางเวิ้งอันดามันตามความปั่นป่วนของลมทะเลชั่วโมงนี้นอกจากจะทำให้ท้อง “เรือหัวโทง” หรือ “เรือหาง” ตามคำคนเลสตูล “สะท้าน” อยู่เป็นระยะ แล้วยังพาลให้ผู้โดยสารเกือบสิบชีวิตใต้หลังคาผ้าใบออกอาการ “สะทก” อย่างเห็นได้ชัด
อันที่จริงการออกจากท่าเรือปากบาราในช่วงเช้าต้องถือว่า ราบรื่นพอสมควร แดดจ้าฟ้าโปร่ง และคลื่นไม่สูงมากนัก แต่ทันทีที่หัวเรือเบนพ้นแนวเกาะบุโหลนไม้ไผ่หลังเที่ยงทะเลที่ราบเรียบจู่ๆ ก็เกิดเกรี้ยวกราดขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ถ้าไม่ใช่ความตั้งใจที่จะมา เราคงอดถามตัวเองในตอนนี้ไม่ได้ว่า มีความจำเป็นอะไรจะออกเรือโต้คลื่นในวันที่ลมไม่ค่อยเป็นใจอย่างนี้ แต่ข้าวของที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ดำน้ำและเครื่องมือเก็บตัวอย่างงานวิจัยใต้ทะเลกองถ่วงน้ำหนักอยู่เต็มหัวเรือ อาการหวั่นใจต่อการเดินทางก็ดูจะเป็นเรื่องเล็กน้อยไปทันที
“ข้างหน้านั่นไงถึงแล้ว” ใครบางคนชี้ไปที่แท่งหินเล็กๆ 2 แท่งที่โผล่มาอยู่กลางทะเล และมีเรือ Liveaboard (เรือสำหรับออกทริปดำน้ำ) สีขาวนวลลอยลำอยู่ไม่ห่างกันมากนัก
“กองหินขาว” ตรงหน้าคือจุดหมายปลายทางของการใช้ชีวิตกลางทะเลตลอด 3 วัน 2 คืนนับจากนี้
รัก(ษ์) ผ่าน เล(นส์)
หลังจากเทียบเรือด้วยความทุลักทุเลอยู่พักใหญ่ การสำรวจสภาพพื้นที่เป้าหมายบริเวณกองหินขาวของเหล่าช่างภาพใต้น้ และนักวิชาการก็เริ่มต้นขึ้น
ขอบเขตการทำงานในครั้งนี้ประกอบไปด้วย 3 จุดใหญ่ๆ ก็คือ กองหินขาว เกาะบุโหลนขี้นก และ เกาะอะยัมหรือเกาะไก่ โดยแบ่งการทำงานออกเป็นลงน้ำ 1 ชั่วโมงขึ้นมาพักน้ำชั่วโมงครึ่ง ก่อนที่จะลงน้ำอีกครั้งสลับกันไปอย่างนี้ เท่าที่สถานการณ์และสภาพใต้น้ำจะอำนวย
“ดำตอนกลางวันก็เหมือนเป็นไนท์ไดฟ์อยู่แล้วครับ” วราณ สุวรรณโณ ช่างภาพสายธรรมชาติมือฉมังของเมืองไทยเล่าติดตลกถึงลักษณะการทำงานที่เขาและเพื่อนๆ จะต้องเจอนับจากนี้
ในฐานะหัวแรงหลักคนหนึ่งของงาน เขาออกตัวว่านี่ไม่ได้เป็นโครงการอย่างเป็นทางการแต่เกิดขึ้นเพราะการ “ละเลย” และ “ตกหล่น” ข้อมูลสำคัญด้านผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรทางทะเลจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่อย่างท่าเรือน้ำลึกปากบารา
โครงการท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบาราเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาภาคใต้เป็น Southern Seaboard โดยมีท่าเรือเป็นหมุดหมายแรกท่าเรือน้ำลึกจะตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำปากบารา อ.ละงู จ.สตูล ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา กินพื้นที่ขนาดราว 4,000 ไร่ แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 ระยะ โดยระยะที่ 1 นั้นรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2552 โดยมีกรมเจ้าท่าเป็นผู้พัฒนาโครงการ
ปัจจุบันโครงการนี้ยังอยู่ในกระบวนการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ซึ่งจะมีการจัดทำเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 หรือเวทีค.1 ในวันที่ 16 มีนาคม 2560 ที่จะถึงนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา กระแสคัดค้านโครงการท่าเรือน้ำลึกมีหลายแง่มุมทั้งในแง่ของความคุ้มค่าและผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติโดยในกรณีของ “กองหินขาว” และเกาะอื่นๆ ในอาณาเขตการก่อสร้างไม่ได้มีการระบุถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งสวนทางกับการทำสำรวจและข้อมูลเชิงวิชาการอยู่พอสมควร
การเป็นช่องทางหนึ่งเพื่อนำหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวมาบอกเล่าประกอบกับงานวิจัยจึงเกิดขึ้นผ่านการระดมทุนในเว็บไซต์ savehinkhao.com และเฟซบุ๊กเพจ “รักษ์หินขาว” ภายใต้นิยามที่ว่า ไม่มีการอนุรักษ์แบบหัวชนฝา ...แค่อยากให้ศึกษาอย่างถ่องแท้ โดยมีการชี้แจงความจำเป็นของภารกิจครั้งนี้เอาไว้สั้นๆ 7 ข้อ คือ
1. กำลังจะมีโปรเจคการสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ปากบารา
2. ท่าเรือถูกสร้างใกล้จุดที่ทรัพยากรหายากเกินไป
3. ทีมสำรวจของท่าเรือข้ามจุดสำรวจเหล่านี้ไป
4. ทรายและตะกอนมหาศาลจะถูกทิ้งใกล้จุดที่ควรจะรักษาไว้
5. เราเลยอยากให้เลื่อนตำแหน่งออกไปอีกสักหน่อย
6. แต่เนื่องจากไม่มีการสำรวจ และบอกว่าเป็นพื้นที่ว่างเปล่า เราจึงต้องลงไปสำรวจเพื่อไม่ให้มันตายไปแบบเงียบๆ
7. เราไม่ได้คัดค้านการสร้าง แต่เราต้องการหาจุดสมดุลของท่าเรือและธรรมชาติ ให้สามารถดีกับทั้งสองฝ่าย
หลังจากรวบรวมค่าใช้จ่ายสำหรับการทำงานได้แล้ว เขากับ นัท สุมนเตมีย์, บารมี เต็มบุญเกียรติ, ศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย เครือข่ายช่างภาพสายอนุรักษ์ รวมทั้งนักวิชาการทางทะเลกว่า 20 ชีวิต จึงเดินทางสู่กองหินเล็กๆ กลางทะเลกองนี้
ทำไมต้อง “หินขาว”
ความขรุขระจากการผ่านคลื่นลมมานับพันปีและสีขาวซีดจาก “ขี้นก” กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกองหินกองนี้ แต่ “ของดี” ของหินขาวไม่ได้มีแค่นั้น
“สิ่งที่แปลกของที่นี่ก็คือเพียงจุดๆ เดียว เราสามารถพบปะการังอ่อนที่หลากหลายหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าปะการัง 7 สี” นี่เป็นสิ่งที่ ดร.ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง ภาควิชาชีววิทยาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พยายามอธิบายมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
ความโดดเด่นของปะการังอ่อนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นนั้นยังระบุถึงความสำคัญในการเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำของระบบนิเวศใต้ทะเลแถบนี้
“เบื้องต้น เราพบว่ามีปลาอย่างน้อย 80 ชนิดจากการสำรวจแค่ 1 ครั้ง และยังไม่ได้สำรวจบริเวณโดยรอบทั้งหมด” วินัย ปราณสุข นักวิจัยทางทะเลจาก ม.อ.หาดใหญ่ อีกคนที่ร่วมมาในคณะเผยถึงข้อมูลที่ตัวเองค้นพบรวมไปถึงพันธุ์ปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างลูกปลาเก๋าหรือลูกปลากระพงและปลาที่บ่งชี้ถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศอย่างปลาผีเสื้ออีกด้วย
“เราก็ยังพบกลุ่มปลาสากซึ่งเป็นปลาขนาดใหญ่รวมทั้งกลุ่มปลาขนาดเล็กซึ่งเป็นอาหารในห่วงโซ่อาหารของปลาขนาดใหญ่ เช่น ปลาสลิดหิน คือตั้งแต่พื้นท้องทะเลขึ้นมาจนถึงผิวน้ำเราพบตั้งแต่ปลาหน้าดินไปจนถึงปลาผิวน้ำเลยซึ่งมันสามารถเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของทรัพยากรในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน อย่างปลาผีเสื้อหรือปลาไหลมอร์เรย์ถ้าบริเวณไหนที่พบปลาชนิดนี้เยอะก็แสดงว่าบริเวณนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างเยอะ” เขาบอก
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านปะการังอย่าง ดร.ทนงศักดิ์ จันทร์เมธากุล เล่าถึงการลงไปดำสำรวจบริเวณรอบๆ กองหินขาวนั้น ถือเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังอยู่แต่เดิมแล้ว สังเกตจากเชือกทุ่นที่มีการนำมาผูกไว้ ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณระหว่างร่องหิน ถึงเป็นจุดที่มีปะการังอ่อนเยอะที่สุด สำหรับความหลากหลายของปะการังนั้น เขายอมรับว่า พื้นที่บริเวณนี้มีความหลากหลายของปะการังค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการพบปะการังราว 7-8 ชนิด หรือ กัลปังหาอีกเกือบ 10 ชนิด ก็ถือว่าเป็นความโดดเด่นของพื้นที่เมื่อเทียบเคียงกับบริเวณใกล้เคียง
“ส่วนใหญ่ที่เราเจอปะการังอ่อน หรือกัลปังหาแบบนี้มักจะเจอในแถบหมู่เกาะที่อยู่ห่างฝั่งอย่างหลีเป๊ะ อาดังราวี พีพี สิมิลัน แต่หินขาวนี่ถือว่า อยู่ใกล้ฝั่งมาก นั่งเรือมา 1 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว และที่นี่ก็เป็นที่อยู่ของ Nephthyigorgia ซึ่งเป็นปะการังอ่อนที่พบได้ยาก และมีเฉพาะถิ่นโดยจะมีลักษณะเท่าหัวแม่มือและมีสีแดงสด ฝั่งอ่าวไทยก็มีการพบแค่บริเวณเกาะโลซิน จ.ปัตตานีเท่านั้น ส่วนฝั่งอันดามันก็มีการพบเฉพาะที่นี่”
สำหรับ บารมี เต็มบุญเกียรติ ช่างภาพมีรางวัลอีกคนชวนสังเกตสภาพแวดล้อมเหนือผิวน้ำ โดยเฉพาะ “นกโจรสลัด” ตัวชี้วัดความสมบูรณ์ทางธรรมชาติอีกชนิดหนึ่งซึ่งน่าสนใจไม่แพ้ของที่อยู่ใต้ทะเล
“ความขุ่นถือเป็นเอกลักษณ์ของอันดามันใต้อยู่แล้ว แต่มันก็หมายถึงการมีความหลากหลายมากกว่าด้วย อย่างหินที่โผล่พ้นน้ำเนี่ยเป็นแหล่งที่มีนกโจรสลัดบินไปมา มีเหยี่ยวแดง พวกมันก็จะจับปลาที่ผิวน้ำ หรือสัตว์ต่างๆ นกโจรสลัดมันก็จะแย่งเหยื่อจากนกชนิดอื่น การมีพวกนี้อยู่ก็แสดงว่ามันมีอาหาร มีความสมบูรณ์”
ความสมบูรณ์และความหลากหลายที่มีจึงทำให้ใต้ท้องน้ำบริเวณนี้ไม่ต่างขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่กลางเวิ้งทะเล แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจขโมยไปจากธรรมชาติได้นอกจากทำลายมันเสีย
“มันน่าเสียดายนะครับที่มันจะหายไปก่อนใครจะได้รู้จักมัน” ภานุพงศ์ นรเศรษฐกมล หนึ่งในแอดมินของ Digitalay ยอมรับระหว่างทอดสายตาไปยังกองหินที่ยืนโต้ลมทะเลยามเย็นอยู่
ต่างใจเดียว
กองหินขาวอยู่ห่างจากชายฝั่งปากบาราราว 30 กิโลเมตรตั้งอยู่ระหว่างเกาะตะรุเตาและเกาะหลีเป๊ะ ตามแผนในโครงการท่าเรือน้ำลึก ที่แห่งนี้จะอยู่ห่างจากจุดทิ้ง “ตะกอนขุด” ร่องน้ำท่าเรือออกไป 3 กิโลเมตรในรายงานปริมาณตะกอนกว่า 22 ล้านลูกบาศก์เมตรจะถูกทิ้งที่นั่น
“เหมือนเอาภูเขาทั้งลูกมาละลายน้ำทิ้งน่ะ” ใครบางคนเปรียบเปรย
หากลองคำนวณเล่นๆ วราณบอกว่า ปริมาณตะกอนขนาดนั้นก็ไม่ต่างจากการเอาตึกใบหยก 72 ตึกมากองรวมกันก้นทะเล หรือไม่ก็เอารถประจำทางสาย 29 ราวแสนคันมาเททิ้งน้ำแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คือการฟุ้งกระจายของตะกอนไปทั่วบริเวณรอบๆ
“3กิโลเมตรนี่ถือว่าใกล้มากนะครับ ดูขนาดลมพัดวันนี้น้ำยังขุ่นขนาดนี้ แล้วไหนจะขุดร่องน้ำเพิ่มอีก ตะกอนจะกระจายไปทั่วขนาดไหน” เขาย้ำถึงความสำคัญของปัญหาเพราะสิ่งที่ตามมาก็คือความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศใต้น้ำโดยเฉพาะปะการังอ่อนซึ่งถือว่าเปราะบางมาก
มันจึงย้อนกลับไปหาสิ่งที่เขา และช่างภาพทุกคนที่มาที่นี่ต้องการ คือ บอกเล่า “ข้อเท็จจริง” อีกด้านที่อาจถูกละเลยไปเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ถูกวิธี และทุกฝ่ายได้ประโยชน์
หลายคนบนเรือลำนี้ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวว่า พวกเขาไม่ได้คัดค้านการพัฒนาเพียงแต่อยากให้มีการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อนไม่ใช่รายงานว่า “ไม่มีอะไร” เหมือนอย่างที่ผ่านมา
“ความผิดพลาดที่สำคัญในรายงานผลกระทบฉบับที่แล้วก็คือรายงานสิ่งแวดล้อมไม่ครบ” ดร.ศักด์อนันต์ ตั้งข้อสังเกตรายละเอียดที่พลาดไป
คำว่า “พลาด” ที่เขาหมายถึงก็คือทรัพยากรธรรมชาติตั้งแต่อ่าวปากบารา เกาะเขาใหญ่ไปตลอดแนวเส้นทางเดินเรือที่จะมีการขุดลอก “ร่องน้ำ” เพื่อให้ลึกพอที่เรือจะผ่านไปได้ โดยเส้นทางนี้จะมีด้านหัวเกาะตะรุเตาซึ่งเป็นแหล่งลูกปลาเก๋า ขณะที่ด้านใต้จะเป็นโขดหินซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของปลาเก๋า ขณะที่อีกด้านก็คือกลุ่มของเกาะบุโหลนรวมทั้งหินขาวซึ่งเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลที่สำคัญ
“ในการสื่อสารที่ผ่านมาไม่ได้มีการบอกว่ามีทรัพยากรอยู่ในรายงานไม่ได้มีการศึกษาให้ครบถ้วนว่า เรามีทรัพยากรอะไรบ้างการประเมินผลกระทบมันก็เลยไม่ครบตามไปด้วย ไม่มีมาตรการอะไรเลยที่จะป้องกันผลกระทบตรงนี้ ซ้ำร้ายกิจกรรมต่างๆ กลับอยู่ในแนวที่จะสร้างผลกระทบด้วยซ้ำไป”
ทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวความยาวเกือบ 5 นาทีที่กำลังเผยแพร่อยู่ในสื่อต่างๆ ขณะนี้จึงไม่ต่างจากการบอกเล่าแทนธรรมชาติเพื่อสร้างความตระหนักถึงผลกระทบที่จะตามมามากกว่าการออกมาค้านหัวชนฝาเพียงอย่างเดียว
“การสร้างหรือทำอะไรสักอย่างผมคิดว่าสิ่งที่เราจะสูญเสียไปแล้วก็ไม่มีทางจะคืนกลับมาได้ก็คือธรรมชาติ เราสามารถจะสร้างหรือไม่สร้างสิ่งปลูกสร้างได้อยู่ที่การตัดสินใจของเราแต่ธรรมชาติไม่ใช่เราไม่มีสิทธิ์ด้วยซ้ำที่จะไปทำลาย” ถ้าถาม นัท สุมนเตมีย์ ช่างภาพใต้น้ำมือวางอันดับต้นๆ อีกคนของวงการ
หรือ “ช่างภาพฉลาม” อย่าง ชิน-ศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย เขาตอบทันทีว่าแทบไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่จะมาสื่อสารเรื่องนี้ให้สังคมได้รับรู้เพราะนี่ถือเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงกับธรรมชาติที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งหากเราทำอะไรพลาดไป
กระทั่งความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ ภูริชญ์ บุญสนิท, ศิริกันยา เทพขุน และ ภานุชนาถ ชินกลาง นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากภาควิชาชีววิทยาคณะวิทยาศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ ที่ได้มีโอกาสลงมาเก็บตัวอย่างในพื้นที่ก็ไม่ต่างกันเกี่ยวกับเรื่องการคำนึงถึงผลกระทบ และเส้นแบ่งระหว่างการพัฒนากับธรรมชาติ
เมื่อการอยู่ร่วมหมายถึงการสร้งประโยชน์ร่วมกันได้การพัฒนาที่อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมก็น่าจะสมประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายได้ไม่ต่างกัน ทางออกของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่อย่างท่าเรือน้ำลึกปากบารากับกองหินเล็กๆ อย่างหินขาวจึงเป็นทั้งความหวังและความท้าทาย โดยเฉพาะในรอบการฟังความเห็นที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ไม่อย่างนั้น มันก็จะกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับธรรมชาติด้วยน้ำมือมนุษย์อีกครั้ง.. อย่างไม่ต้องสงสัย
ภาพ : ทัศน์พล ว่องกิตติพงษ์ /โครงการรักษ์หินขาว







