Hong Kong Cyclothon ปั่นสู้ฟัด!

จากเสียงร่ำลือว่าเป็นงานแข่งขันจักรยานยิ่งใหญ่ที่สุดของฮ่องกง สู่การพิสูจน์ด้วยตัวเอง
“ยิ่งใหญ่ที่สุดของฮ่องกง”
“นักปั่นเยอะที่สุดของฮ่องกง”
เสียงลือเสียงเล่าอ้างนี้เสมือนโฆษณาชวนเชื่อตั้งแต่รู้ว่าปีนี้ Hong Kong Tourism Board (การท่องเที่ยวฮ่องกง) จะพาไปสัมผัสประสบการณ์มหกรรมแข่งขันจักรยาน Hong Kong Cyclothon (ฮ่องกง ไซโคลธอน) ซึ่งจัดขึ้นบริเวณ Tsim Sha Tsui (ซิมชาสุ่ย) เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านั้นได้แต่ตั้งคำถามว่างานใหญ่จริงหรือ งานดีจริงไหม กระทั่งวันที่ 24 กันยายน (วันก่อนวันแข่ง) นักปั่นทุกคนถูกเรียกตัวไปเพื่อทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ทักษะทั้งการปั่นปกติและการเข้าโค้ง
ใครไม่เคยร่วมงานปั่นจักรยานในบ้านเราคงปล่อยประโยคข้างบนผ่านไป แต่จริงๆ แล้วนี่คือของแปลกสำหรับประเทศไทย ประเทศที่มีงานแข่งจักรยานเกือบทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ไม่น่าจะมีสักงานที่บังคับให้นักปั่นที่เข้าร่วมต้องผ่านการทดสอบสมรรถภาพและทักษะเพื่อความปลอดภัยบนเส้นทางจริง
...
เหมือนกดปุ่มเร่งความเร็ว เช้ามืดวันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน นักปั่นในประเภท 50 km. Challenge Ride / Team Challenge มาที่จุดนัดหมายที่ Salisbury Road, Tsim Sha Tsui ประมาณตีสี่ครึ่ง แม้ฟ้าจะยังไม่สว่างแต่ขบวนนักปั่นเกือบ 2,000 คน ก็สร้างความคึกคักภายใต้ความมืดและความงัวเงียให้กลายเป็นคึกคักดีทีเดียว
สิ้นเสียงสัญญาณปล่อยตัวทีละกลุ่มๆ เพื่อความปลอดภัยของนักปั่น สองล้อสองขากับหนึ่งใจของแต่ละคนก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
สำหรับเส้นทางประเภทนี้จะต้องขึ้นถึง 4 สะพาน และลอด 3 อุโมงค์ โดยช่วงแรกไปตามถนนออสตินตะวันตก (Austin Road West) ขึ้นทางยกระดับ West Kowloon Highway ลากยาวไปเรื่อยๆ โดยมีจุดกลับรถ 5 จุด ถึงตรงนี้จึงเข้าใจว่าทำไมเมื่อวานจึงต้องทดสอบทักษะการกลับรถ เพราะนับเป็นจุดเสี่ยงที่สุดจุดหนึ่ง
มาพูดถึงเทคนิคและอุปกรณ์เกี่ยวกับจักรยานถนน หรือที่เรียกกันว่าเสือหมอบ ขณะปั่นแซงบ้าง ตามบ้าง ก็ได้วิเคราะห์ถึงสิ่งที่กำลังขับเคลื่อนรถและตัวผมไปอย่างเร็วชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน
ก่อนมาแข่งงานนี้ ผมได้หยิบยืมล้อจักรยาน (3T ORBIS II LTD) ที่น่าจะเหมาะกับสภาพสนามที่มีทั้งขึ้นสะพานชันและไกล ผสมกับทางราบและไหลลงอุโมงค์ แน่นอนว่านักปั่นที่เคยขึ้นเขาจะรู้ดีว่าล้อแบบขอบเตี้ยจะไต่ทางชันได้ดีกว่าล้อขอบสูง แต่ด้วยความที่สภาพสนามค่อนข้างหลากหลาย จึงเลือกใช้ล้อหน้าขอบ 35 มม. กับล้อหลังขอบ 50 มม. โดยที่ล้อคู่นี้มีน้ำหนักเบากำลังดี คือไม่หนักไปไม่เบาไป ในช่วงไต่ที่ต้องยืนโยกก็รู้สึกมั่นคงดี พอขึ้นไปปั่นบนสะพานที่มีลมปะทะจากด้านข้างมีบ้างที่รู้สึกถึงแรงปะทะที่ล้อหลัง แต่เมื่อล้อหน้าขอบเตี้ยกว่าจึงไม่มีผลต่อการปั่นมากนัก และช่วงเร่งทำความเร็วบนทางราบก็ได้แรงเหวี่ยงจากขอบล้อหลังมาช่วยผลักให้ไปได้ไวขึ้น สบายขาเมื่อปั่นเร็วๆ
เรื่องล้อ...หากปั่นเล่นหรือท่องเที่ยวชิลๆ คงไม่ต้องกังวล แต่เมื่อเป็นสนามแข่งขัน การได้ปรับแต่งส่วนต่างๆ ให้เข้ากับสนามคือความสนุกและท้าทายอย่างหนึ่งของกีฬาจักรยาน
ผ่านไปชั่วโมงเศษๆ ผมพาจักรยานคู่ใจกลับเข้าสู่เส้นชัย การแข่งขันของผมบนเส้นทางที่เรียกได้ว่ามีวิวสองข้างทางสวยมากๆ โดยเฉพาะเมื่อขึ้นบนสะพานข้ามทะเลถึง 3 แห่ง แนวหน้าผาของเกาะฮ่องกง ท่าเรือ ทะเลที่ไกลสุดตา ทุกอย่างเป็นความประทับใจที่ผมเก็บไว้ในก้นบึ้งหัวใจเรียบร้อย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสถ่ายภาพนั้นมาให้ได้ชม เพราะในสนามแข่งห้ามนำกล้องเข้าไปถ่าย
...
แม้หน้าที่นักปั่นจะสิ้นสุด แต่ความยิ่งใหญ่ของมหกรรมจักรยานแห่งฮ่องกงยังไม่จบ ช่วงบ่ายแก่ๆ บนพื้นที่เดียวกันกลายเป็นสังเวียนเดือดระดับสากล International Criterium (อินเตอร์เนชั่นแนล ไครทีเรี่ยม) หรือการแข่งขันแบบปิดเมืองให้นักปั่นใช้ความเร็วได้เต็มที่ตลอดเส้นทาง โดยไม่มีสิ่งใดมากีดขวาง ตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่ง แค่ได้เห็นโฉมหน้านักปั่นจากโปรทีมที่ตบเท้าเข้าร่วมงานนี้ก็ขนลุกแล้ว สมกับเป็นการแข่งขันระดับสากล
นักปั่นจะต้องปั่นทั้งหมด 30 รอบ รอบละ 2.3 กิโลเมตร ลองคำนวณแล้วได้ 69 กิโลเมตร แม้เป็นระยะไม่ใกล้ไม่ไกลนัก แต่ถ้าไม่ใช่นักปั่นคงต้องประคองร่างให้รอดตาย ทว่างานนี้มีแต่นักปั่นอาชีพจึงได้เห็นซัดกันตั้งแต่เริ่มออกสตาร์ทจนกระทั่งจบชนิดมองแทบไม่ทัน
ผลการแข่งขัน Matej Mohoric เข้าที่หนึ่ง และเขายังได้รับรางวัล Best
Sprint Points Rider และ Best Young Rider (รุ่นอายุต่ำกว่า 23 ปี) ด้วย
จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างเสมือนโฆษณาชวนเชื่อที่ได้ยินก่อนหน้า หลังจากจบงานนี้ผมได้คำตอบแล้วว่า Hong Kong Cyclothon นั้นยิ่งใหญ่จริงตั้งแต่บรรยากาศกระทั่งมาตรฐานการแข่งขัน







