อย่าถามว่า "ใส่วิกใช่ไหม"
หลังคีโม นอกจากกำลังใจ ยังต้องมีตัวช่วย เพื่อทำให้ผู้ป่วยสบายใจ กล้าเดินออกจากบ้าน
"ให้คีโมเข็มแรก ผมยังไม่ร่วง จากนั้นสองสามอาทิตย์ผ่านไป ผมจะเริ่มร่วงเยอะขึ้นๆ ถ้าคนไข้รู้ช่วงเวลาที่ผมร่วง ก็จะได้เตรียมใจ"
ผู้ที่กล่าวประโยคนี้ ไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ผู้ป่วย ไม่ใช่ญาติผู้ป่วย แต่เป็นช่างทำผม ที่คลุกคลีกับเรื่องนี้มานาน
ที่พิเศษกว่านั้น คือ เขาเป็นช่างทำผมที่ทำวิกผมให้ผู้ป่วยมะเร็ง โดยใช้ผมจากการบริจาคของคนทุกเพศทุกวัย และสามารถตัดแต่งวิกผมได้ด้วย
เหตุใด คงยศ มะโนน้อม เจ้าของร้าน hairintrend ทำเรื่องนี้มานานกว่า 7 ปี โดยวิกที่ทำออกมาครึ่งหนึ่งบริจาคให้ผู้ป่วยตามโรงพยาบาล และอีกครึ่งจำหน่ายในราคาที่ไม่ค้ากำไรเกินควร เพื่อนำรายได้มาทำวิกผมอันต่อไป เขาทำสิ่งนี้ด้วยเหตุผลง่ายๆ ตอนที่คุณย่าของเขาเป็นมะเร็ง ผมร่วง ไม่อยากออกจากบ้าน แม้จะมีวิกผม แต่ย่าของเขา ก็รู้สึกว่า มันคือสิ่งแปลกปลอม
เขาก็เลยกลับมาคิดว่า จะทำวิกผมให้กลมกลืนกับคนสวมใส่ได้อย่างไร โดยไม่หลอกตา ไม่กลายเป็นส่วนเกิน
แม้เรื่องวิกผมเพื่อผู้ป่วยมะเร็งจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคม แต่จะสักกี่รายที่ศึกษาและค้นคว้าการทำวิกผมด้วยตัวเอง โดยใช้ผมจริงทั้งหมด
เพราะคุณย่าไม่อยากใส่วิก
เมื่อเปิดประเด็นถามเรื่องการทำวิกผมเพื่อผู้ป่วย คงยศ อดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงคุณย่า
"ยี่สิบปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนจบ คุณย่าที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เล็ก เราสนิทกันมาก คุณย่าป่วยเป็นมะเร็ง เป็นที่ไต แล้วลามมาตับ จนขึ้นสมอง เราก็เห็นการรักษาของคุณหมอมาโดยตลอด และในครอบครัวก็มีคนเป็นหมอเป็นพยาบาล พอคุณย่าให้คีโม ผมก็เริ่มร่วง คุณย่าก็ไม่อยากใส่วิก ใส่แล้วคนก็รู้ว่าใส่วิก ทำให้คุณย่าไม่อยากออกไปไหน เราก็เห็นการเปลี่ยนแปลงมาตลอด คุณย่าค่อยๆ ทรุด เพราะเป็นระยะสุดท้าย อยู่ได้หกเดือนก็เสียชีวิต"
ช่วงเวลานั้น คงยศ ยังเป็นสไตลิสต์ในบริษัทโฆษณา เขาทำงานเกี่ยวข้องกับเสื้อผ้า หน้า ผม จึงคุ้นเคยกับสิ่งสวยๆ งามๆ และคนมากมาย อาศัยว่าเป็นคนละเอียดอ่อน ชอบสังเกต แต่ในที่สุด เขาก็เลือกเส้นทางในแบบตัวเอง
"เมื่อก่อนการโฆษณาแชมพู ก็แค่สะบัดผมไป สะบัดผมมา แต่ตอนหลังครีเอทีฟอยากได้มากกว่านั้น ก็เลยเกิดอาชีพใหม่ที่ต้องมีเทคนิคเกี่ยวกับการทำผม แต่ทำไปทำมา ทำให้เรารู้สึกว่า ทำงานแบบนี้ต้องใช้พลังงานเยอะ ถ้าอายุมากขึ้น ร่างกายคงไม่ไหวแน่ เพราะงานโฆษณาค่อนข้างหนัก เลยคิดว่าน่าจะหางานอื่นทำ"
ก่อนจะทำอาชีพอื่นที่จริงจัง เขาเดินทางไปเรียนต่อเรื่องการทำผมที่ญี่ปุ่นเป็นเวลาหนึ่งปี กลับมาอยู่ร้านทำผม ไม่นานก็มาเปิดร้านตัวเอง ทุกๆ วันที่ตัดผมให้ลูกค้า เห็นเส้นผมจำนวนมากมายที่ตัดทิ้งกลายเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์ เขาก็เลยรวบรวมเส้นผมที่ใช้ได้ มัดรวมกันไปบริจาคให้โรงพยาบาล เพื่อใช้ทำวิก
กว่าจะเป็นวิกผม
ปีแรกๆ ที่เป็นเจ้าของร้านทำผม เขาตั้งคอนเซ็ปต์ว่า คนที่อยากบริจาคเส้นผม จะตัดผมให้ฟรี พอทำมาได้ปีกว่าๆ ก็คิดว่าจะเลิกทำ แต่ลูกค้าคนหนึ่งบอกว่าให้ทำต่อ และเห็นว่ายังมีประโยชน์ ก็นำไปบริจาคเหมือนเดิม แต่คนที่โรงพยาบาลบอกเขาว่า ให้ลองช่วยทำวิกผมได้ไหม เขาก็เลยกลับมาลองทำ
"ตอนนั้นทำวิกไม่เป็น วิกกับผมจริงคนละเรื่องกันเลย และไม่มีโรงเรียนสอนทำวิก สอนตัดแต่งวิก ส่วนใหญ่ทำกันในโรงงาน มีทั้งทำจากผมจริง ผมผสม เส้นไนล่อน ทำออกมาก็ไม่เหมือนผมจริง ดูยังไงก็รู้ว่าใส่วิก" คงยศ เล่า
และนั่นเอง ทำให้เขานึกถึงคุณย่าที่ป่วยเป็นมะเร็ง ซึ่งไม่ต่างจากคนป่วยในเวลานั้น
"ตอนนั้นคุณย่าเราเอง ก็ไม่อยากใส่วิก ไม่อยากออกจากบ้าน ก็เลยเริ่มศึกษาการทำวิก เปิดทีละชั้นของวิก คิดแค่ว่าจะแก้ปัญหายังไงให้คนใส่แล้วดูเนียน นี่คือโจทย์สำคัญ ถ้าทำออกมาแล้ว คนไข้ไม่ใส่ ก็ไม่มีความหมาย เสียเวลา เสียเงินเปล่าๆ ถ้าเราไม่รู้จริง ก็ไปบอกคนเย็บวิกไม่ได้"
เมื่อคิดจะทำวิกให้ใกล้เคียงกับผมธรรมชาติมากที่สุด คงยศใช้เวลาว่างตอนเย็น ช่วงที่ปิดร้านแล้วเปิดวิกผมทีละชั้น แล้วทดลองทำอยู่ 6 เดือน จนรู้ว่าถ้าจะทำวิกหนึ่งช่อ ต้องมีปริมาณเส้นผมกี่เส้น จะตัดแต่งไม่ให้ชี้ ไม่ให้พอง ใส่แล้วหัวไม่โต ต้องทำยังไง เพื่อให้ใกล้เคียงกับทรงผมจริงมากที่สุด
นั่นเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เขารับบริจาคเส้นผมที่มีความยาวตั้งแต่ 10 เซนติเมตร มีสภาพไม่แห้งเสีย ไม่แตกปลาย ไม่เป็นผมต่อ ไม่เป็นเหา และไม่ปฏิเสธผมหงอกหรือผมของเด็ก รวมถึงไม่รับผมบริจาคทางไปรษณีย์ เขาบอกว่า เรื่องผมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ต้องมีวิธีการตัด การเก็บผม การคัดแยกเส้นผม
"ผมเด็ก ผมคนแก่ ก็รับบริจาค เพราะคนไข้ที่จะใส่วิกมีทุกวัย เวลาทำวิกให้คนไข้สูงวัย ก็ต้องเอาผมหงอกแซมเข้าไปด้วย ลองนึกถึงเวลาเราอายุ 70 แล้วใส่วิกผมดำๆ บางคนอาจไม่ชอบ ถ้าเป็นคนป่วยเด็ก ก็ใช้วิกจากเส้นผมเด็ก เส้นผมแต่ละชนิดมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน ผมเด็กจะนิ่มมีน้ำหนัก เวลาเอามาทำเป็นวิก ไม่หลอกตา"
ปัจจุบันเขาตั้งเงื่อนไขในการรับบริจาคเส้นผมไว้ว่า ต้องมาตัดผมที่ร้าน เพื่อจะดูว่า คุณภาพเส้นผมบริจาคได้ไหม และเสียค่าตัดผมเหมือนคนทั่วไป เนื่องจากไม่ได้รับเงินบริจาค เพื่อนำมาทำวิก
เมื่อถามถึงช่วงเวลาที่นำวิกไปลองใส่ให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาล คงยศ บอกว่า ตอนแรกที่ใส่ให้ คนไข้ก็ไม่มั่นใจ แต่เมื่อใส่แล้ว ตัดแต่งผมให้เข้ากับใบหน้า ก็ทำให้เขามั่นใจมากขึ้น
"ไม่มีร้านไหนทำแบบนี้หรอก วิกที่ซื้อมาจากร้านขายวิก โดนความร้อนไม่ได้ แต่วิกที่เราทำขึ้น มาจากผมจริง เราก็ดีไซน์ให้กระชับกับหนังศีรษะ เวลาดึงวิก ศีรษะจะโยกไปตามแรงดึง ไม่หลุดแน่ ซึ่งต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง เราไม่สามารถรับภาระทั้งหมดได้ เราก็เลยบอกคนบริจาคเส้นผมว่า เราช่วยคนไข้ทั้งหมด แต่ช่วยในลักษณะต่างกัน ครึ่งหนึ่งช่วยคนไข้ยากไร้ บริจาคให้คนไข้ในโรงพยาบาลยืมใช้ อีกครึ่งจำหน่ายให้คนไข้ที่มีกำลังซื้อ จะได้มีทุนทำต่อไป เพราะเราไม่มีต้นทุนเรื่องเส้นผม วิกพวกนี้ เราไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ แค่ทำให้อยู่ได้ และมีความสุขที่ได้ทำ ตั้งใจทำบุญให้คุณย่า"
วิกเพื่อผู้ป่วย
ถ้าใครก็ตามคิดจะเดินเข้ามาซื้อวิกไปออกงาน คงยศ บอกว่า ไม่ได้จำหน่าย แต่มีไว้ให้ผู้ป่วยทุกประเภท
"ไม่ได้จำกัดแค่คนไข้มะเร็ง บางคนแพ้สารเคมีมา หรือเป็นโรคที่ทำให้หัวโล้น เราก็ช่วยเหลือในเรื่องนี้ ถ้าจะมาซื้อวิกเพื่อออกงาน เราไม่จำหน่ายให้ เพราะคนที่บริจาคเส้นผมให้ ต้องการบริจาคให้คนไข้ที่เป็นมะเร็ง แต่พอคนไข้ที่ไม่เป็นมะเร็งโทรมาถาม เราก็คิดว่า เขาก็เป็นคนป่วยคนหนึ่ง อยากใช้วิกผม เพื่อให้เขาดำเนินชีวิตต่อไปได้ เราไม่ได้เป็นมูลนิธิ รับบริจาคเงินไม่ได้ ที่ผ่านมาเท่าที่เห็นบางโรงพยาบาลรับบริจาคเส้นผมมา แต่ไม่ได้เอาไปทำวิกต่อ เพราะไม่มีทุนทำต่อ"
และใช่ว่าผู้ป่วยทุกคนจะอยากใส่วิก มีหลายคนปฏิเสธการใส่วิก มยุรี โสตพิชัยอาภรณ์ โอเปอร์เรเตอร์ บริษัทแห่งหนึ่ง บอกว่า ตอนนี้กำลังรักษามะเร็งเต้านม เคยคลำเจอก้อนเนื้อด้านซ้าย ก็คิดว่าเป็นก้อนเนื้อธรรมดา แต่มันโตขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยไปหาหมอ จนพบว่าเป็นมะเร็ง
"คีโมทั้งหมด 8 เข็ม เข็มสุดท้ายวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ หลังจากฉีดเข็มแรก สองสัปดาห์ผ่านไป ผมและขนในร่างกายจะร่วงทั้งตัว จับตรงไหนก็หลุดติดมือมาเลย ไม่ว่าขนคิ้ว ขนแขน ขนขา ขนตา ขนในที่ลับร่วงหมด ช่วงแรกๆ ก็มาทำงานแบบหัวโล้น ต่อมาก็ใส่หมวก ไม่ชอบใส่วิก เพราะทำให้คันและร้อน วิกส่วนใหญ่ทำเป็นยางหนีบหัว มันก็เลยแพ้ง่าย"
คงยศ เล่าประสบการณ์เรื่องนี้ว่า มีกรณีคนไข้ให้คีโมแล้ว ไม่อยากออกจากบ้าน เพราะเกรงว่าจะรับเชื้อ หรือคนไข้ที่ท้อง เพิ่งคลอดลูก และตรวจพบว่า เป็นมะเร็งที่กระดูกเชิงกราน เดินไม่ได้ ก็ไปช่วยทำวิกที่บ้านให้
“เขามีความทุกข์และต้องการความช่วยเหลือ เรามีความสามารถทำตรงนี้ได้ ก็ทำ สิ่งที่ได้มาไม่ใช่ตัวเงิน ถ้าทำธุรกิจเรื่องวิกผมคงทำเงินได้เยอะ แต่ถ้าทำบนความทุกข์ของคน เราไม่ทำหรอก เราทำแค่อยู่ได้ ในอนาคตอาจมีการสอนทำวิกเพื่อผู้ป่วยมะเร็ง ตอนนี้ต้องทำให้คนบริจาคเข้าใจ และคนไข้เข้าใจก่อน ซึ่งเป็นเรื่องใหม่มากในการทำความเข้าใจ
ต้องยอมรับ สมัยก่อนไม่มีใครกล้าเปิดเผยว่าเป็นมะเร็ง เพราะกลัวว่าคนจะถาม ไม่มีความเป็นส่วนตัว และเวลาใส่วิกก็เป็นเป้าสายตาของคนทั่วไป ทำให้ไม่กล้าออกไปไหน จึงต้องเก็บตัวอยู่บ้านยิ่งแย่ไปอีก ถ้าคนไข้กล้าใส่วิกออกนอกบ้าน ก็ย่อมเป็นเรื่องดี บางคนยอมให้เราถ่ายรูปลงเพจ เพื่อเป็นวิทยาทานให้คนไข้รายอื่นๆ บางทีคนไข้ที่เพิ่งคีโม ก็โทรมาถามว่า ไม่อยากโกนผม เราก็ให้คำปรึกษา จนกลายเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับคนป่วยที่ต้องใส่วิก บางคนป่วยไม่อยากให้แม่ที่อยู่ต่างจังหวัดกังวลก็มาทำวิก เพื่อกลับไปเยี่ยมแม่ และแม่ก็ไม่รู้ว่าเขาป่วย"
จากช่างทำผมที่ทำวิกไม่เป็นเลย ด้วยความเพียรพยายามก็สามารถทำได้ เขาบอกว่า ถ้าย้อนเวลาได้ อยากกลับไปทำวิกให้คุณย่า
"ผมเป็นคนดีไซน์และสอนช่างทำวิกในโรงงานที่ผมมีหุ้นส่วนกับเพื่อน ซึ่งวิธีทำต่างจากวิกทั่วไป ถ้าทำแบบไม่ฟิกแสกจะใช้เวลานานกว่า ต้องปักเส้นผมทีละเส้น จนเต็มแผงวิก ซึ่งการทำวิกให้คนไข้จะดีไซน์ไม่เหมือนวิกทั่วไป"
.....................
สัญญาณเตือน สิ่งผิดปกติในร่างกาย
การเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ จะก่อให้เป็นเนื้องอกร้าย และเมื่อเป็นแล้วจะลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง กระจายไปทั่วร่างกาย โดยมีข้อสังเกตคร่าวๆ ดังนี้
-มีเลือดออกผิดปกติ มีตกขาวมากเกินไป
-มีการไอเรื้อรัง มีแผลเรื้อรัง
-มีหูด ไฝ ปาน โตผิดปกติ
-น้ำหนักลด กลืนอาหารลำบาก เบื่ออาหาร
-มีก้อนเนื้อเกิดขึ้นในร่างกาย และก้อนนั้นโตเร็วผิดปกติ
-กลืนอาหารลำบาก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
-ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะผิดปกติ







