สุขปลอดสาร ‘ข้าวสามสุข’
กว่าสามปีมาแล้วกับแบรนด์ข้าวของลูกหลานชาวนาที่ไม่ได้ขายแค่ “ข้าว” แต่ขายฝันเรื่องเกษตรอินทรีย์ ข้าวดีพันธุ์พื้นเมือง และความสุขต้นทุนต่ำ
ย้อนหลังไปในวันที่ชาวนาส่วนใหญ่ยังฝากความหวังไว้กับโครงการรับจำนำข้าว ลูกหลานชาวนากลุ่มหนึ่งที่บ้านทุ่งหลวง ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ เริ่มมองเห็นปัญหาที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางผืนนากว่า 900 ไร่
“เรามีผลผลิตราว 500 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อหักจากการบริโภคคนละ 100 กิโลกรัม/ปี ก็จะเหลือข้าวเปลือกสำหรับขายประมาณ 100 ตัน แต่เราไม่มีตลาดหลัก...”
ชลสิษฎ์ นิยมไพรนิเวศน์ หรือ จิ๋ว ลูกหลานชาวกะเหรี่ยงบ้านทุ่งหลวง คลี่ปมที่เกิดขึ้นหลังชาวบ้านเปลี่ยนการปลูกแบบเคมีมาเป็นการปลูกข้าวอินทรีย์ปลอดสาร
“ที่ผ่านมาต้องรอพ่อค้ามารับซื้อในหมู่บ้าน และโดยมากก็จะถูกกดราคาให้ข้าวกิโลกรัมละ 10 บาท บางครั้งก็น้อยกว่านั้น และบางปีก็ขายไม่หมด ที่สำคัญที่สุดคือเราปลูกข้าวปลอดสารคุณภาพดี แต่เวลาขาย ราคามันไม่ดีตามคุณภาพที่เราปลูก ในช่วงที่รัฐบาลมีโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด แต่สายพันธุ์ที่ปลูกไม่ใช่พันธุ์ที่รัฐบาลกำหนด ทำให้เข้าโครงการไม่ได้ ต้องขายในราคาถูกกว่าท้องตลาด”
ข้าวสามสายพันธุ์ที่ว่านั้น ได้แก่ “บือชอมี” ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็น “ราชินีแห่งสีสัน” เพราะเมื่อหุงสุกแล้วจะให้สีแดงแกมชมพูสวยงาม มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ขณะที่ “บือเนอมู” คือราชาแห่งความหอม เป็นสายพันธุ์ข้าวเก่าแก่ที่ผ่านการคัดเลือกมาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีการเก็บรักษาไว้เป็นพันธุ์ปลูกมาจนถึงปัจจุบัน ส่วน “บือพะโดะ” เป็นข้าวพันธุ์ยอดนิยมของชาวดอยที่เมล็ดโต หุงขึ้นหม้อ และรับประทานอร่อย
เมื่อเห็นปัญหา ชลสิษฎ์และเพื่อน ๆ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขต ลำปาง จึงได้ใช้ความรู้บวกกับความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปลดแอกชาวบ้านจากถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง จัดตั้ง “กลุ่มเกษตรรักษ์ธรรมชาติ” ผลิตข้าวกล้องภายใต้แบรนด์ “ข้าวสามสุข” ป้อนตลาดข้าวกล้องปลอดสารในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียง
ปั้นแบรนด์แสนสุข
กว่าจะสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ทดแทนกลไกลการตลาดแบบพ่อค้าคนกลางได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาเริ่มต้นจาการสร้าง “ทีมงาน” ซึ่งก็คือชาวบ้าน โดยแบ่งบทบาทกันอย่างชัดเจน มีคนรับผิดชอบหลักเรื่องรับซื้อข้าวเปลือก มีทีม packaging ทีมตลาด ทีมงานทำบัญชีและทำหน้าที่บริหารจัดการ โดยทุกส่วนทำงานประสานกันตลอดเวลา
“ครั้งแรกผมนำข้าวเปลือกจากบ้านตัวเอง คือสายพันธุ์บือพะโดะ 1 กระสอบ 30 กิโลกรัม ไปสีเป็นข้าวกล้อง ได้ข้าวสาร 15 กิโลกรัม แล้วก็ให้ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกกลุ่มมาดูว่าจะทำอะไรกับข้าวกล้อง 15 กิโลกรัมได้บ้าง เริ่มจากชั่งน้ำหนักใส่ถุงๆ ละ 900 กรัม จากนั้นนำไปแพ็คสุญญากาศ เก็บไว้หุงกินเองส่วนหนึ่ง ที่เหลือนำไปแจกอาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา วิทยาเขตลำปาง เพื่อทดสอบความพึงพอใจด้านรสชาติ ปรากฏว่าได้ผลตอบรับที่ดี” ชลสิษฎ์ เล่าถึงกระบวนการทำงาน
หลังจากนั้นเขาก็นำข้าวเปลือกทั้ง 3 สายพันธุ์ คือ บือพะโดะ ของแม่ 30 กิโลกรัม, บือเนอมู จากยุ้งของป้า 30 กิโลกรัม และบือชอมี ของพี่ในหมู่บ้านอีก 30 กิโลกรัม ไปสีเป็นข้าวกล้อง โดยบอกป้ากับพี่ว่าขอซื้อในราคากิโลกรัมละ 15 บาท แต่ติดหนี้ไว้ก่อน หากขายได้จะนำเงินมาให้ ซึ่งทั้งคู่ยอมให้ข้าวด้วยความเต็มใจ เพราะต่างก็ตั้งความหวังว่าถ้าโครงการนี้ไปได้ดี ข้าวดอยสามารถขายได้ราคาจะให้ลูกๆ ที่กำลังจะเรียนจบ กลับมาสานกิจการต่อ
ช่วงแรกนักศึกษากลุ่มนี้ได้นำข้าวสารบรรจุถุงไปฝากวางจำหน่ายที่ร้านค้าภายใน มทร.ล้านนา วิทยาเขตลำปาง โดยตั้งราคาถุงละ 60 บาท ใกล้เคียงกับราคาที่ได้สำรวจตามท้องตลาดทั่วไป แม้ผลตอบรับจะค่อนข้างดี แต่ก็มีคำแนะนำเรื่องการออกแบบโลโก้ และตั้งชื่อสินค้า เพื่อให้เป็นที่รู้จักของตลาด พวกเขาจึงกลับมาระดมความคิดกันอีกครั้ง ในที่สุดก็มาสะดุดใจกับคำว่า “สามสุข” ซึ่งหมายถึง ความสุขของคนทำนาความสุขของผู้บริโภค และสุขภาพดี
ชลสิษฎ์บอกว่า “หลังจากช่วยออกแบบโลโก้แล้วก็นำไปลงเฟซบุ๊ค ให้เพื่อนๆ และคนรู้จักช่วยกันโหวตเลือกแบบ ขณะเดียวกันก็พิมพ์ออกมาให้กลุ่มเกษตรรักษ์ธรรมชาติช่วยดูด้วย แต่ช่วงนั้นยังขายข้าวเป็นถุง ไม่มีสติกเกอร์ และกล่องบรรจุ กระทั่งไปพบกล่องกระดาษสาในถนนคนเดิน จึงซื้อมาลองทำบรรจุภัณฑ์ แล้วนำไปตั้งโต๊ะจำหน่ายช่วงงานรับปริญญาของ มทร.ล้านนา ก็พบว่าขายดีมาก แม้จะตั้งราคาสูงกว่าเดิม เพราะต้องรวมบรรจุภัณฑ์ไปด้วย”
ความฝันเล็กๆ ของลูกหลานชาวนาไม่เพียงเห็นผลเป็นตัวเลขกำไรจากการขายข้าวกล้อง ซึ่งเมื่อหักต้นทุนต่างๆ แล้วจะเหลือสุทธิประมาณถุงละ 27 บาท แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 40% เก็บเข้ากลุ่มเป็นทุนหมุนเวียน และปันผลสิ้นปี อีก 50% แบ่งให้สมาชิก ที่เหลือ 10% เก็บไว้ทำบุญ
แต่ยังสว่างไสวขึ้นเมื่อพวกเขาส่งโครงงาน “ข้าวสามสุข” เข้าร่วมโครงการ “กล้าใหม่ใฝ่รู้” ของธนาคารไทยพานิชย์ และโครงงานนี้ก็คว้ารางวัลชนะเลิศรับเงินรางวัลกว่า 900,000 บาท ซึ่งกลายเป็นทั้งกำลังทุนและกำลังใจให้นักศึกษากลุ่มนี้สานต่อระบบการผลิตข้าวตามวิถีชุมชนกะเหรี่ยงแห่งบ้านทุ่งหลวงให้ยืนยาวต่อไป
ต่อยอดขยายตลาด
สามปีจากจุดเริ่มต้น แม้ว่านี้ข้าวสามสุขจะได้รับการตอบรับอย่างดี แต่การขยายตลาดยังเป็นสิ่งที่กลุ่มสมาชิกพยายามตีโจทย์ให้แตก
“เราให้ชุมชนออกความคิดเห็นว่าควรนำข้าวสามสุขไปขายที่ไหนบ้าง แล้วพากันออกไปบุกเบิกตลาด โดยพาชาวบ้านบางส่วนไปด้วย เพื่อให้เขารู้วิธีการทำตลาด จะได้ประสานงานต่อด้วยตัวเองหลังจากจบโครงการแล้ว โดยเบื้องต้นสามารถติดต่อตลาดได้ 3 กลุ่มหลัก คือตลาดปกติ ที่ต้องส่งข้าวอย่างสม่ำเสมอในแต่ละเดือน ได้แก่ ถนนคนเดินลำปาง, ถนนคนเดินเชียงใหม่, รพ.ค่ายสุรศักดิ์มนตรี, รพ.ศูนย์มะเร็งลำปาง, อบต.พิชัย, สหกรณ์ราชมงคลล้านนา, สหกรณ์สันป่าตอง, ร้านขายของที่ระลึกลำปาง, ศูนย์วัฒนธรรมลำปาง, มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา และเกษตรฃุมชนบ้านสามขา”
ชลสิษฎ์ เล่าถึงตลาดส่วนที่ 2 ว่า เป็นการสั่งตามโอกาสพิเศษ หรือเทศกาลต่างๆ เช่น งานวันเด็ก, ของที่ระลึก มทร.ล้านนา, งานฤดูหนาว, เทศกาลท่องเที่ยวแม่เมาะ จ.ลำปาง, งานรับปริญญา, งานเกษตรแฟร์แม่โจ้, งานวัฒนธรรมและงานลอยกระทง มทร.ล้านนา และเทศกาลปีใหม่
“พวกเราไม่มีทักษะในการพูดหาตลาดมาก่อน แต่เมื่อมาทำโครงงานนี้ก็ต้องฝึกพูด ฝึกแนะนำตัว แนะนำผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ขายได้ เริ่มเข้าหาตลาดใกล้ตัวที่รู้จักมักคุ้นก่อนขยายไปสู่ตลาดไกลตัว เน้นให้เห็นว่าเป็นข้าวอินทรีย์ปลอดสาร มีกระบวนการเพาะปลูกที่รักษาธรรมชาติ และมีข้าวให้เลือกถึง 3 สายพันธุ์ แล้วแต่ความชอบของผู้บริโภค ซึ่งแตกต่างกันไป โดยยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ว่าคนพื้นที่ชอบข้าวสายพันธุ์เก่าแก่ที่บริโภคกันมาหลายชั่วอายุคนอย่างบือเนอมู เพราะมีความหอมกว่าบือพะโดะ แต่ผู้บริโภคส่วนหนึ่งชอบบือชอมี เนื่องจากมีสีสันสวยงาม ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งชอบบือพะโดะที่รสชาติอร่อยถูกปาก”
คืนสุขสู่ชุมชน
การมีตลาดที่กว้างขึ้นอาจนับเป็นความสำเร็จสำหรับการขายข้าวทั่วไป แต่สำหรับข้าวสามสุข บันไดขั้นสุดท้ายคือการขยายความสุขสู่ชุมชน ซึ่งหมายถึงการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและขยายแนวคิดเรื่องเกษตรอินทรีย์ด้วย
ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ข้าวที่ขายได้และพ่อค้าคนกลางถูกตัดออกไปจากระบบเท่านั้น หากผลการทำงานของลูกชาวนายังทำให้สัดส่วนการปลูกข้าวปลอดสารจากที่เคยทำอยู่ 17 ครัวเรือนค่อยๆ ขยับตัวเลขขึ้นตามลำดับ ไม่ต้องเอ่ยถึงวัฒนธรรมประเพณีกะเหรี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการปลูกข้าวก็ถูกฟื้นคืนกลับมาเช่นกัน
“เมื่อข้าวที่เคยเก็บไว้ในยุ้งฉางเอาออกมาสีขาย ชาวบ้านก็เริ่มต้นการปลูกข้าวไปตามปีปฏิทิน เริ่มประเพณีเกี่ยวกับการปลูกข้าว ประเพณีบุญข้าวใหม่หลังการเก็บเกี่ยวที่มีความหมายกว่าเดิม เมื่อหมู่บ้านมีงานบุญงานประเพณีการทอเสื้อผ้าก็กลับมาสู่ชุมชนที่เคยสงบเงียบมานาน” สุรพล ใจวงศ์ษา อาจารย์ที่ปรึกษาวิเคราะห์ให้เห็น “ข้อดี” อีกหลายๆ เรื่องที่เป็นผลจากการ “ขายข้าวได้” ของชาวบ้านทุ่งหลวง
ขณะที่ในมิติของการจัดการทรัพยากร การปลูกข้าวอินทรีย์ทำให้ระบบ ดิน น้ำ กลับมาเป็นปกติ
“ก่อนหน้าที่เราจะชวนชาวบ้านมาตั้งกลุ่มสีข้าวขายเอง ผมและทีมอาจารย์ขึ้นมาผลักดันเรื่องปลูกข้าวแบบนาอินทรีย์ด้วยการย้อนกลับไปทบทวนการปลูกข้าวที่บรรพบุรุษเคยทำมา จะเห็นว่าเราไม่เคยใช้สารเคมีก็ปลูกข้าวกันได้ สุขภาพของพวกเราก็ดีกว่าการใช้เคมี ซึ่งชาวบ้านก็ค่อนข้างเห็นด้วย และร่วมมือกันทำปุ๋ยหมัก โครงการหลวงก็เข้ามาหนุนเรื่องของความรู้ในการปลูกข้าวแบบนาอินทรีย์ และการใช้น้ำหมักชีวภาพ ถึงตอนนี้เห็นชัดว่า ระบบน้ำดีขึ้น สุขภาพของชาวบ้านก็ดีขึ้นตามลำดับ” ชลสิษฎ์กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ปัจจุบัน ชาวบ้านทุ่งหลวงยังคงเดินหน้าดำเนินกิจการค้าข้าวภายใต้แบรนด์ข้าวสามสุข โดยทำในสองลักษณะคือ ขายปลีกภายใต้แบรนด์ “ข้าวสามสุข” และ ขายส่งเป็นวัตถุดิบในราคาที่ชาวบ้านกำหนดเองเพื่อผู้ประกอบการรายอื่นไปขายภายใต้แบรนด์ของตัวเอง
ขณะที่ภารกิจ “ลูกชาวนา” กลุ่มนี้ คือการกลับไปเรียนหนังสือให้จบและเดินตามฝันของตนเอง
“ผมอยากเป็นทหาร” ชลสิษฎ์ บอก
“ถ้าผมเป็นทหาร...ผมก็มีตลาดข้าวเพิ่มขึ้น”







