รัก ณ ‘อาคิตะ’

รัก ณ ‘อาคิตะ’

“ใบไม้เปลี่ยนสี” วลีนี้เคยได้ยินมานาน แต่ไม่เคยได้สัมผัสสักครั้ง จนกระทั่งช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาวลีดังกล่าวแว่วเข้ามาอีกหน...

...แตกต่างจากเดิมตรงที่คราวนี้จะได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง

            ช่วงนี้ที่ประเทศญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่ก่อนที่ใบไม้จะร่วงหมดต้น นี่คือโอกาสทองของผู้หลงใหลความงามจากสีสันฉูดฉาดของใบไม้ที่เปลี่ยนจากสีเขียวกลายเป็นสีแดง สีส้ม สีเหลือง ตามแต่ชนิดพันธุ์ ทว่าเมื่อรวมๆ กันไม่ว่าจะตามแนวถนนหรือบนทิวเขา นี่คือภาพที่ไม่ว่าใครก็ต้องประทับใจเมื่อได้เจอ

            แต่หลังจากล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ที่สนามบินฮาเนดะ (Haneda) ประเทศญี่ปุ่น คำบอกเล่าจากหลายคนว่าที่อาคิตะ (Akita) ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสี ทำให้หวั่นใจมิใช่น้อย ภาพฝันที่จะได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติแสนสวยอาจกลายเป็นฝันค้าง

            พับเก็บความหวาดหวั่นนั่นไว้ในกระเป๋าเสื้อกันหนาวตัวบาง แล้วเดินทางต่อไปยังสนามบินโอดาเตะ (Odate) ทางภูมิภาคโทโฮขุ (Tohoku-chiho) ดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น เพราะอาคิตะเป็นจังหวัดหนึ่งในภูมิภาคนี้

            ผมเคยมาที่ ‘อีสานแห่งแดนอาทิตย์อุทัย’ แล้วเมื่อปีก่อน ครั้งนั้นเป็นช่วงดอกซากุระบานสะพรั่งทั้งยังมีหิมะบนยอดเขา เรียกได้ว่าตอนนั้นที่นี่ ‘ขาวอมชมพู’ เลยทีเดียว แต่มาคราวนี้นอกจากจะไม่มีวี่แววของใบไม้เปลี่ยนสี มองขึ้นไปบนท้องฟ้าเมื่อรถแล่นออกจากสนามบินโอดาเตะก็เจอเพียงสีเทาหม่นๆ ที่พื้นถนนก็ยังดูเฉอะแฉะจากฝนเมื่อคืนก่อน

            “เอาละสิ! งานนี้กร่อยแน่”

            ...

            หากคุ้นเคยกับประเทศญี่ปุ่นในฐานะเจ้าแห่งเทคโนโลยีและความเจริญล้ำยุค อย่างที่เห็นได้ในเมืองใหญ่ ที่อาคิตะคืออีกด้านหนึ่งของแดนปลาดิบที่ยังสด สะอาด ง่าย งาม แค่มองไปนอกหน้าต่างรถ ทั้งป่าสน ต้นไม้ใหญ่ ท้องนา มีให้เห็นตลอดทาง วิวธรรมชาติแสนสบายตาแบบนี้มีมากกว่าจำนวนรถบนท้องถนนเสียอีก

            สักพักใหญ่วิวข้างทางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นบ้านเรือนหลังกะทัดรัด เริ่มเห็นความเป็นชุมชนมากขึ้น และที่ได้เห็นตลอดคือสารพัดสิ่งที่เป็นสุนัขพันธุ์อาคิตะ อินุ (Japanese Akita Inu) ตั้งแต่หัวสะพานข้ามคลอง, ป้าย, หุ่นจำลองน่ารักๆ ฯลฯ บ่งบอกว่าเราได้มาถึงตัวเมืองอาคิตะแล้ว

            สำหรับสุนัขอาคิตะเป็นสุนัขพันธุ์พื้นเมืองของที่นี่ เป็นสุนัขขนาดกลางที่ถูกยกย่องให้เป็นซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อเจ้าของมากที่สุด จนถึงกับถูกขนานนามจากทั่วโลกว่า "The Loyal Friend from the Land of the Rising Sun" หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า "เพื่อนผู้ซื่อสัตย์จากแดนอาทิตย์อุทัย"

            เรื่องราวของสุนัขอาคิตะที่โด่งดังไปทั่วโลก เริ่มต้นจากเหตุการณ์แสนสะเทือนใจในปี ค.ศ.1924 ฮิเดะซะบุโร อุเอะโนะ ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการเกษตรกรรมแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้ไว้และตั้งชื่อว่า ‘ฮะชิ’ ซึ่งในทุกๆ เย็น ฮะชิโกะจะไปรอรับเขาใกล้ๆ กับสถานีรถไฟชิบุยะ

            จนกระทั่งวันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1925 ศาสตราจารย์อุเอะโนะเสียชีวิตจากภาวะเลือดออกในสมอง ทำให้ในวันนั้นเจ้านายของฮะชิโกะไม่ได้กลับไปที่สถานีรถไฟ แต่ในทุกๆ วัน ฮะชิโกะก็ยังคงมารอเขาที่เดิม

            เป็นเวลากว่า 9 ปีที่เจ้าฮะชิโกะมาเฝ้ารอการกลับมาของเจ้านาย และในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ 1935 มีผู้พบร่างไร้วิญญาณของฮะชิโกะบริเวณถนนในชิบุยะ นั่นเป็นอีกครั้งที่ฮะชิโกะกับเจ้านายได้กลับไปเจอกัน...บนสรวงสวรรค์

            ปัจจุบันร่างของฮะชิโกะถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติญี่ปุ่น และมีอนุสาวรีย์อยู่ที่หน้าสถานีรถไฟชิบุยะ ซึ่งเป็นจุดที่ฮะชิโกนั่งรอเจ้านาย เป็นสิ่งแทนความซื่อสัตย์ของสุนัขพันธุ์นี้ และที่สถานีรถไฟโอดาเตะก็มีอนุสาวรีย์เจ้าฮะชิโกะเหมือนกัน เพราะมันเกิดที่นี่

            (ปาดน้ำตาแป๊บ...)

            เปลี่ยนโหมดมาออกแรงให้หัวใจสูบฉีดกันบ้างที่ Railbike หรือจักรยานบนทางรถไฟนั่นเอง ที่นี่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติร่มรื่น หากผ่านมาอาจผ่านไปเลยเพราะไม่รู้ว่ากลางแมกไม้เขียวครึ้มจะมีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำ

            Railbike มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2012 ที่นี่เป็นทางรถไฟสายเก่าที่ยกเลิกเส้นทางไปแล้ว แต่รางรถไฟเก่าก็ยังเก๋าพอที่จะนำมาใช้ประโยชน์ จึงถูกปรับปรุงโดยนำรถถีบ (ทำนองเดียวกับจักรยาน) มาให้นักท่องเที่ยวได้ปั่นไปตามรางรถไฟ ชมวิวไป คุยไป จีบกันไป (สำหรับคู่รัก) ด้วยความยาวราง 1.8 กิโลเมตร รวมขาไป-ขากลับ 3.6 กิโลเมตร ก็ไกลพอจะให้ได้ใช้เวลาร่วมกันในแบบครอบครัว

            ในวันที่ผมไป ได้รับเกียรติจากนายแบบและนางแบบกิตติมศักดิ์ คือ อู๋-ธนากร โปษยานนท์ และ อาสึสะ ซาโต้ พระเอกนางเอกจากซีรี่ส์ AKITA LOVE STORY ซีรี่ส์โปรโมทการท่องเที่ยวจังหวัดอาคิตะ มาเข้าเฟรมช่วยเพิ่มดีกรีความสดใส สนุกสนาน และความหวาน ของ Railbike ได้หลายเท่า

            สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการที่นี่ปัจจุบันเป็นชาวญี่ปุ่นจากเมืองอื่น นับได้ปีละประมาณ 6,000 คน เพราะฉะนั้นหากคุณได้มาปั่น ก็ภูมิใจได้เลยว่าเป็นนักท่องเที่ยวไทยกลุ่มแรกๆ (ข้อมูลเพิ่มเติมที่ railbike.jp)

            จังหวัดอาคิตะประกอบด้วยหลายอำเภอ หลายตำบล หากจะเที่ยวที่นี่แนะนำว่าควรมีเวลาหลายวัน เพราะจากจุดหนึ่งไปยังอีกหนึ่งค่อนข้างไกลกัน แต่คุ้มค่าที่จะไปแน่นอน เหมือนกับที่ตื่นแต่เช้าแล้วไปยังอำเภอคาซุโนะ เพื่อมาสัมผัสวิถีชีวิตยามเช้าของชาวเมืองนี้ที่ตลาดเช้าฮานาวะ (Hanawa) เรียกได้ว่าเป็นตลาดเช้าประจำอำเภอ

            “ตลาดเช้า” อ่านแล้วนึกถึงอะไร เสียงจอแจ คนพลุกพล่าน หรือความเฉอะแฉะแบบตลาดสด บอกได้เลยว่าที่นี่ไม่ใช่ เพราะตั้งแต่ปากทางเข้าตลาดยันสุดซอย คือความเป็นระเบียบ สะอาด น่ารัก น่าเดิน น่าเสียสตางค์ให้แก่พ่อค้าแม่ค้าที่นั่งขายของซึ่งส่วนมากคืออาหารสดและแห้ง จำพวกปลา, อาหารทะเล, ผลไม้, ผัก ฯลฯ ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้าน เมื่อบวกกับพ่อค้าแม่ค้าสูงวัย (เกือบทุกคน) ที่ไม่ใช่สักแต่จะขายของ เพราะพวกเขามาพร้อมรอยยิ้ม ทำนองว่า ขายได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหา แค่ได้มานั่งขาย ได้พบปะสังสรรค์กันก็พอแล้ว

            สังเกตดีๆ ที่นี่มีแอปเปิ้ลขายหลายร้าน แต่ละลูกใหญ่ น่ากิน และได้ยินว่าแอปเปิ้ลของอาคิตะอร่อยมากด้วย ส่วนราคาก็ไม่แพง กระจาดละ 100 เยน, 500 เยน แล้วแต่ขนาดและพันธุ์ สำหรับคนที่อยากรวบรัดตัดตอน ที่นี่มีน้ำแอปเปิ้ลจากอาคิตะแท้ๆ แค่ขวดละ 350 เยน

            หากเดินสุดตลาดซึ่งไม่ไกลมาก จะทะลุมาอีกถนนหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามคืออาคารทรงคลาสสิกทอดตัวยาวไปตามแนวถนน ที่นี่คือร้านเหล้าเสะคิเซ็น ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น

            ความสวยคลาสสิกไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เพราะอาคารนี้มีอายุราว 150 ปี เมื่อเข้าไปข้างในจะเห็นว่าสร้างด้วยภูมิปัญญาเก่าแก่แต่ล้ำเลิศ ทุกขื่อทุกคานล้วนใช้ไม้สอดกัน ขัดกัน โดยทำเป็นสลักยึดเกาะ ทำให้ไม่ต้องใช้ตะปูสักตัวเดียว แต่ความแข็งแรงกลับมีมากจนต้องทึ่ง เพราะอาคารนี้รับแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ดีมาก

            ด้วยค่าที่เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น แต่ละห้องหับจึงมีของเก่ารวมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้และสารพัดสิ่งที่เกี่ยวพันกับชุมชนและวิถีชีวิตคนที่นี่ไว้เพียบ

            สำหรับคนที่ชอบอาคารเก่า บ้านเก่า ทรงสวย โบราณ การได้ไปเยือนบ้านซามูไรโบราณ อายุไม่น้อยกว่า 130 ปี คือประสบการณ์ชั้นเยี่ยม

            ที่วาตานาเบะเกะ ชิเรียวคัง เดิมทีคือบ้านของซามูไร ปัจจุบันเป็นบ้านของเศรษฐีและเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมของเก่าตั้งแต่สมัยซามูไรเรืองอำนาจ มองจากภายนอกทั้งร่มรื่น เข้มขลัง และดูผู้ดีมากทีเดียว แต่อย่าเพิ่งสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปที่ประตูกลางของบ้านเชียว เพราะตามธรรมเนียมโบราณ แต่ละประตูมีการแบ่งชั้น ทั้งแขกและเจ้าของบ้านก็ใช้คนละประตูกัน

            พอเข้าไปได้แล้วรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่าง ไม่ใช่วิญญาณหรือสิ่งเร้นลับ แต่คือความงาม ดุดัน อย่างซามูไรสไตล์ บ้านหลังนี้แม้จะเป็นของซามูไร แต่ลูกเล่นต่างๆ คล้ายบ้านนินจาที่มีห้องลับ ประตูกล ซึ่งเป็นของเดิมๆ ตั้งแต่โบราณ

            เดินชมเฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ ก็มาสะดุดกับแผนที่ผืนใหญ่บนผนังห้องห้องหนึ่ง ถามไถ่ได้ความว่านี่คือแผนที่รอบๆ เมืองคาสุมะ (Kasuma) ในอดีต และแผนที่นี้มีอายุเท่าๆ กับบ้านหลังนี้ด้วย ส่วนชั้นสองจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่ ทั้งสวยงาม และสง่า บ่งบอกถึงฐานันดรศักดิ์ของเจ้าของบ้านหลังนี้ แม้จะเป็นบ้านแต่ก็มีสถานะเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย จึงเปิดให้เข้าชมเพียงแต่ต้องติดต่อไว้ล่วงหน้า

            และที่นี่เอง ทางกองถ่ายซีรี่ส์ AKITA LOVE STORY ได้ใช้ถ่ายทำรวมถึงฉากทำเส้นโซบะ ตั้งแต่ผสมแป้ง นวดแป้ง รีดเป็นแผ่น ทำเป็นเส้น เล่นเอาผมถ่ายภาพไปกลืนน้ำลายไป

            จำได้ไหมว่าผมแบกความหวังว่าจะมาเจอใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ตั้งแต่ต้น แต่ก็ยังไม่ได้เจอใบไม้เปลี่ยนสีชนิดเต็มตา มีเพียงเปลี่ยนบ้างเป็นหย่อมๆ ในบางสถานที่ แต่มาถึงที่ฮะชิมันไต (Hachimantai) ที่ราบสูงขนาดใหญ่ และเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติโทวะดะ-ฮะชิมันไต ที่เต็มไปด้วยเนินเขาสลับซับซ้อน

            ผมเพิ่งนึกได้ว่าเคยมาที่นี่แล้วเมื่อปีก่อน (ก็คิดอยู่ว่าทำไมชื่อคุ้นจัง) แต่คราวนั้นมีหิมะปกคลุมหนาแน่น สองข้างคือหิมะจำนวนมหาศาลที่ถูกโกยจนกลายเป็นดั่งกำแพงสีขาวโพลน ก็เพราะคราวนั้นมีแต่หิมะ คราวนี้มาเจอดอกไม้ใบหญ้าเต็มภูเขา จึงจำหน้าค่าตากันได้นี่เอง

            ที่นี่ผมยกให้เป็นไฮไลท์ของคนรักใบไม้เปลี่ยนสี เพราะทั้งภูเขาถูกธรรมชาติแต่งแต้มสีสันแสบทรวง ทั้งแดง ส้ม และเหลือง บนใบไม้ทุกใบ นี่ใช่ไหมคือภาพฝันที่ผมหวังว่าจะเจอ มันสวยเหมือนอยู่ในฝันจริงๆ

            สำหรับที่นี่แนะนำเลยว่าให้เวลากับมันมากสักหน่อย อย่างน้อยก็สี่ชั่วโมง เพื่อเดินเก็บความทรงจำไปเรื่อยๆ อย่างละเมียดละไม คราวก่อนผมเคยเขียนถึงที่นี่ว่าถ่ายภาพกำแพงหิมะแห่งฮะชิมันไตจนเมมโมรี่การ์ดเกือบเต็ม มาคราวนี้ผมก็ได้พลีพื้นที่เมมโมรี่การ์ดให้แก่ฮะชิมันไตจนเกือบเต็มอีกครั้ง

            ถือว่าเป็นช่วงคืนสู่เหย้าแล้วกัน เพราะอีกที่ที่ต้องไปคือคาคุโนะดาเตะ (Kakunodate) ที่นี่มีถนนสายซามูไร (Samurai street) คราวก่อนมาเดินชมบ้านซามูไรเท่ๆ แกล้มดอกซากุระสีหวาน แม้ครั้งนี้ไม่มีซากุระให้ชม แต่บ้านซามูไรก็ยังน่าเยี่ยมชมไม่เสื่อมคลาย

            ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้านซามูไรคล้ายว่าหลุดไปในสมัยเอโดะ ที่ซามูไรเรืองอำนาจ ทั้งตัวบ้านและเครื่องใช้ไม้สอยยังถูกเก็บรักษาอย่างดี นอกจากจะเห็นฉากหลังของประวัติศาสตร์แล้วยังมีข้อมูลเกี่ยวกับซามูไรที่น้อยคนนักจะรู้

            ความแข็งแกร่งของบุรุษเพศ ย่อมคู่กับความงามของอิสตรี จากถนนซามูไรเราไปกันที่ทะเลสาบทาซาวา (Tazawako) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของอุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮะชิมันไต เป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีจุดที่ลึกที่สุดอยู่ที่ 423.4 เมตร และมีความกว้างรอบทะเลสาบ 20 กิโลเมตร จึงนับเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นด้วย ด้วยความลึกทำให้สีของน้ำในทะเลสาบมองเห็นเป็นสีน้ำเงินเข้ม และแม้ในยามที่อุณหภูมิลดต่ำลงถึงจุดเยือกแข็ง แต่น้ำในทะเลสาบจะไม่เป็นน้ำแข็ง

            ที่ทะเลสาบนี้มีจุดที่ห้ามพลาดอยู่สองจุด และมักปรากฏในภาพโฆษณาการท่องเที่ยวอาคิตะเสมอๆ คือ รูปปั้นผู้หญิงสีทองริมทะเลสาบ เธอผู้นี้มีชื่อว่าทัตสึโกะ (Tatsuko) มีตำนานเล่าว่า น้ำในทะเลสาบนี้ศักดิ์สิทธิ์ หากดื่มเข้าไปสามอึกจะผิวพรรณงดงาม เธอเป็นสาวสวยที่อธิษฐานอยากให้ความงามคงอยู่ตลอดไป แต่กลับกลายเป็นว่าคำอธิษฐานไม่เป็นจริง แถมโดนคำสาปและกลายร่างเป็นมังกรจมสู่ก้นทะเลสาบแทน ต่อมาจึงมีคนสร้างรูปปั้นสีทองเพื่อระลึกถึง กระทั่งเป็นสัญลักษณ์ของทะเลสาบจนถึงวันนี้

            อีกจุดคือ เสาโทริอิสีแดง ริมทะเลสาบ ถ้าเห็นเสาโทริอิ แสดงว่าเป็นศาลเจ้า ให้กลับหลังหันไปแล้วเดินขึ้นบันไดไปนิดหนึ่งจะพบกับศาลเจ้า Goza no Ishi Shrine ที่ใครต่อใครที่มาเยือนก็ต้องเข้ามาไหว้ขอพร

            ...

          จังหวัดอาคิตะทำให้คำว่า ‘ชนบท’ ไม่ใช่คำเรียกถิ่นทุรกันดารหรือต่างจังหวัดธรรมดาๆ อีกต่อไป แต่ชนบทในความหมายของอาคิตะคือ เมืองในโปสเตอร์ เมืองในโปสการ์ด เมืองใน Screen Saver (ภาพพักหน้าจอ) ที่ไม่ว่าจะมองมุมไหน เมื่อไร ก็สวย สวย และสวย  จนเอ่ยคำว่า “รัก” ให้แก่ที่นี่ได้ไม่ยาก