อุตสาหกรรมผลิตขำ ฮากันไว้เถิด...แล้วเกิดผล

เมื่อเสียงหัวเราะคือปัจจัยแรกๆ ของการดำรงชีวิต นั่นจึงเป็นที่มาของอุตสาหกรรมผลิตขำที่หล่อเลี้ยง ทั้งคนทำและคนดู
จุดเริ่มต้นอาจเป็นแค่แม่บ้านชาวเท็กซัสคนหนึ่ง โพสต์หน้ากากชิวแบคคาจากหนัง Star Wars อวดเพื่อนลงใน FB Live แต่ใครจะรู้ว่าปลายทางของคลิปความยาว 4 นาทีที่ว่านี้ ได้กลายเป็นวีดีโอ ซึ่งมียอดผู้ชมทั่วโลกมากกว่า 140 ล้านวิว ทำลายทุกสถิติของ FB Live
ซิทคอมที่ชื่อ Mr.Bean ก็เช่นกัน ใครจะรู้ ผู้ชายหน้าตาเฉิ่มๆ จะโด่งดังขนาดนี้ จากซิทคอมที่ฉายในสถานีโทรทัศน์ถูกนำมาสร้างภาพยนตร์ที่เรียกเสียงฮาไปทั้งโลก กลายเป็นสัญลักษณ์ของอังกฤษ กระทั่ง กีฬาโอลิมปิก 2012 ที่นครลอนดอน ยังมีที่ว่างสำหรับคาแรกเตอร์ของ Mr.Bean ในพิธีเปิด
........
ไม่ได้บอกว่าเรื่องขำจะดังเปรี้ยงไปเสียทุกเรื่อง แต่สำหรับเรื่องตลกแล้ว ไม่ว่าจะมีต้นทางที่เรียบง่ายหรือพิถีพิถันในขั้นตอนคิด หากจับวางให้ “ถูกที่” มันมีโอกาสที่จะเดินทางได้ไกล หนึ่ง-เพราะเป็นสากล และ สอง-คือ ใครๆ ก็ต้องการมัน อย่างน้อยๆ เพื่อกระตุ้นสมองให้หลั่งเอนดอร์ฟิน (Endorphin) คลายความเครียด เพื่อเผชิญกับโลกที่มีทั้งดีและร้ายต่อ
ผลิตขำแต่ทำได้มากกว่า
เมื่อใครๆ ก็อยากได้เสียงหัวเราะ จึงมีนักสร้างสรรค์ใช้อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือสร้างธุรกิจหลายรูปแบบตามแต่ยุคสมัยและรสนิยมทางสังคมในช่วงนั้น
นิทรรศการ “อุตสา /ฮา/กรรม : ผลิตขำ ทำเงิน” ซึ่งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) และสำนักพิมพ์บันลือสาส์น จัดขึ้นระหว่าง 15 กรกฎาคม - 2 ตุลาคม 2559 บอกตอนหนึ่งว่า เส้นทางสู่การเป็นอุตสาหกรรมผลิตความฮาในสังคมไทยมีมานานแล้ว และสามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ยุคก่อนทำเป็นอุตสาหกรรม ซึ่งสังคมไทยคุ้นชินกับการใช้อารมณ์ขันในเพลงพื้นบ้านและคำกลอน โดยนิยมร้องละเล่นในเทศกาลงานบุญหรือผ่อนคลาย หลังการทำงานในแต่ฤดูกาลเพาะปลูก ซึ่งการละเล่นเช่นนี้ สะท้อนถึงปฏิภาณไหวพริบในภาษา และถ้อยเจรจาพาทีระหว่างคนในชุมชน จากนั้นเมื่อเทคโนโลยีการพิมพ์แบบตะวันตกเข้ามาในไทย การขายเสียงหัวเราะจึงค่อยๆ แทรกซึมไปสู่งานเขียน ความเรียง การ์ตูน ในนิตยสารและหนังสือพิมพ์ ตามลำดับ
ยุคจากนั้น คือ ยุคบุกเบิกอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นธุรกิจขยายความฮาอย่างเต็มตัวขึ้น ยุคนี้มีการนำเรื่องตลกเข้าไปสอดแทรกเพื่อสร้างรายได้ทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นจากการ์ตูน นิยาย เพลง นิตยสาร คณะลูกทุ่ง ตลก คาเฟ่ รายการโทรทัศน์ กระทั่งภาพยนตร์โฆษณาที่ใช้ความฮาเป็นจุดขาย และยุคนี้เองที่ตลกได้กลายเป็นอาชีพ มีที่ทางในการแสดงทั้งในโทรทัศน์และบนเวที
ฐานุพงศ์ ศักดิ์ธนาวัฒน์ หรือ กล้วยเชิญยิ้ม ที่แจ้งเกิดในยุคตลกคาเฟ่กำลังรุ่งเรือง บอกว่า ช่วงประมาณปี พ.ศ. 2530-2540 ถือเป็นช่วงที่ตลกคาเฟ่กำลังได้รับความนิยมมาก มีคาเฟ่ดังๆ หลายที่ให้บริการ อาทิ พระราม 9 คาเฟ่, วิลล่าคาเฟ่ ในฝั่งพระนคร หรือถ้าเป็นฝั่งธนก็จะเป็น ธนบุรีคาเฟ่
ตลกคาเฟ่ช่วงนั้น สามารถวิ่งงานในคืนหนึ่งมากกว่า 5-6 ที่ มีช่วงเวลาไพร์มไทม์ คือประมาณ 22.00 - 24.00 น. ของทุกวัน ซึ่งสถานบันเทิงแต่ละแห่งจะใช้ตลกเป็น Content หลักในการตรึงผู้ชม และเป็นยุคนี้เองที่ทำให้ตลกมีรายได้สูง สามารถผ่อนบ้าน-ผ่อนรถได้ในเวลาไม่กี่ปี ไม่ต่างจากอาชีพอื่นในอุตสาหกรรมบันเทิงที่มีรายได้ดี
“สมัยนั้นมันเป็นช่วงที่ตลกมีงานเยอะ มีแรงงานที่ได้ค่าจ้างจากอุตสาหกรรมตลก บางคนได้มีโอกาสไปออกโทรทัศน์ ไปโชว์ตัวตามงานต่างๆ เป็นยุคที่ตลกขายดี” น้ากล้วยบอก
แต่เมื่อยุคคาเฟ่ค่อยๆ สิ้นสุดลง พร้อมๆ กับการเกิดขึ้นของสื่อใหม่ ศิลปินตลกเริ่มปรับตัวเพื่อหาที่ทางของตัวเองใหม่ ยิ่งเมื่อการใช้อารมณ์ขันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา อีกทั้งความฮาไม่ได้จำกัดที่ตลกอาชีพอีกต่อไป ยุคปัจจุบัน จึงเป็น ยุคที่ความขำแทรกซึมไปได้ทุกที่ ความขำจึงถูกผสมกับความสร้างสรรค์ ตั้งแต่การต่อรองกับการใช้ชีวิตประจำวัน การร่วมเป็นหนึ่งในไอเดียธุรกิจ กระทั่งยังถือเป็นกลวิธีสำคัญในการวิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างตรงไปตรงมา
บทความวิชาการเรื่อง “อารมณ์ขันในข้อความท้ายรถ : เสน่ห์ภาษาที่ไม่ควรมองข้าม” ของภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ซึ่งศึกษาถ้อยคำในสติ๊กเกอร์ท้ายรถ ระบุตอนหนึ่งว่า ข้อความท้ายรถสะท้อนให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ของบุคคลกลุ่มหนึ่งในสังคม เช่น สะท้อนอารมณ์ขัน อารมณ์เบื่อหน่าย อารมณ์น้อยอกน้อยใจ อารมณ์เครียดหรือความคับข้องใจ ที่เกิดจากสภาพปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน ทั้งปัญหาการจราจร ปัญหาน้ำมันแพง ปัญหาความยากจน ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม แม้เนื้อหาของข้อความท้ายรถจะแสดงออกถึงการระบายความคับข้องใจที่เกิดจากสภาพสังคมที่บีบคั้น แต่บุคคลกลุ่มนี้ก็ไม่ได้แสดงความก้าวร้าวหรือมุ่งวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุของปัญหา จนทำให้บุคคลหรือกลุ่มใดเดือดร้อน อีกทั้งข้อความเหล่านี้ยังทำให้เห็นความคิดเห็นหรือทัศนคติที่มีต่อความเป็นไปในสังคม ทั้งพฤติกรรมของคนและสภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นจริง
เรื่องขำที่เป็นส่วนหนึ่งของ อุตสา-ฮา-กรรม จึงมีท่วงท่าสะท้อนสังคมอย่างเป็นมิตร มีมูลค่าความตลกที่มากกว่าเสียงหัวเราะหรือผลกำไรที่เกิดกับบริษัทผู้ผลิตเพียงอย่างเดียว
เรื่องขำที่เขามองข้าม
ความสงสัยที่ว่า “ตลกเรื่องอะไร” อาจไม่สำคัญเท่ากับคำถามที่ว่า “ทำไมถึงตลก”
นั่นเพราะเรื่องของความฮานั้น มันไม่ได้ขึ้นเกิดขึ้นลอยๆ หากแต่มันคือการนำ “ประสบการณ์ร่วม”ที่ทั้งคนสร้างและคนเสพรู้สึกร่วมกัน ก่อน “แชร์” มันออกมาบนความไม่คาดหมาย
เช่น เมื่อพูดถึงคนสูงอายุ ส่วนใหญ่มักมีภาพจำถึงคนชราที่เคลื่อนไหวช้า, พูดน้อย และนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม แต่เมื่ออยากให้คนหัวเราะ ภาพของคนชราที่จะแสดงออกมา ต้องไม่เป็นอย่างที่ใครๆ คาดหวัง
มันจึงที่ว่างให้เสียงหัวเราะของคลิปอาม่าที่ตอบโต้กับหลานอย่างสนุกปากในโซเชียลมีเดีย , ฉากนักสู้วัยดึกที่ใช้วิชากังฟูต่อสู้กับตัวร้ายในหนัง “คนเล็กหมัดเทวดา” กระทั่งไวรัลคลิปขำๆ ที่มีคนแสดงนำเป็นผู้สูงอายุ ถ้าทำให้ฮาก็จะมียอดแชร์สูง
กฤษณ์ บุญญะรัง หรือ ‘บี้ เดอะสกา’ เน็ตไอดอลที่มีผู้ติดตามในยูทูบชาแนล ราว 2.8 ล้านคน ให้ความเห็นว่า ทุกคนอยากดูเรื่องตลก แต่การทำให้ตลกไม่มีสูตรเฉพาะ จะมีเพียงข้อสังเกตบางอย่าง เช่น เรื่องตลกมักนำประสบการณ์ที่คนดูมีจุดร่วม แต่กลับมองข้ามมาขยายความต่อ
“ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เรื่องฉี่ในสระว่ายน้ำ ซึ่งทุกคนน่าจะมีประสบการณ์ดี คือรู้-แต่ไม่พูด ถ้าเป็นคนทำเนื้อหาตลก อาจเอาเรื่องนี้มาพูดหรือขยายความต่อ หรืออย่างมุกการอั้นตด ที่มันคลาสสิก และยังถูกใช้อยู่ทุกวันนี้ เพราะทุกคนเข้าใจดี เป็นประสบการณ์ที่ใครๆก็เคย”
ส่วน ภักดี แสนทวีสุข หรือต่าย ขายหัวเราะ นักเขียนการ์ตูนเจ้าของคาแรกเตอร์ “ปังปอนด์” บอกว่า วิธีจับประเด็นหาเรื่องมาเขียนของเขา คือการออกไปสถานที่ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ป้ายรถเมล์ ร้านกาแฟ เพื่อไปนั่งดูพฤติกรรมคนที่ผ่านไปผ่านมา เพื่อหาไอเดีย รวมถึงการตามข่าวสารบ้านเมืองหรือกระแสนิยมในตอนนั้นมามองในภาพที่กว้างขึ้น เพื่อหามุมที่จะนำมาบิดให้ตลกได้ การ์ตูนที่ผลิตออกมา จึงไม่ต่างกับสมุดบันทึกประวัติศาสตร์ไทยฉบับขำขัน
ส่วนมุขจะ “ขำ” หรือ “แป๊ก” ก็ต้องอยู่ที่การคัดกรองของทีมงาน ซึ่งบางแก๊กตลกอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ตลกจนหัวเราะเสียงดัง แต่จะทำให้อมยิ้มได้ เพราะบางทีแก๊กต่างๆ ก็เขียนแบบเสียดสีนิดๆ แต่เล่าเรื่องออกมาให้น่ารัก
“ความฮา” หาจุดปรับ
เมื่ออารมณ์ขันแทรกไปอยู่ทุกที่ ผนวกกับช่องทางการสื่อสารที่กว้างขึ้น นั่นจึงเป็นพื้นที่ของคนมีของ โดยเฉพาะเน็ตไอดอลสายตลกที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย
“ถ้าเป็นสายฮา มันมีเยอะมาก ไม่ต้องเอาตลกอาชีพก็ได้ คอยดูเถอะว่าช่วงไหนกระแสอะไรอิน ใครดัง ใครเป็นเน็ตไอดอลในช่วงเวลานั้น เราก็เอามาใช้งานได้ ไม่ต้องลงทุนเยอะเหมือนดารา เพราะเราแค่เลือกมาดึงให้คนรู้จักแบรนด์ ไม่ใช่เป็นพรีเซนเตอร์” Account Manager ในเอเจนซีคนหนึ่งให้ความเห็นถึงการใช้งานทรัพยากรตลกที่วันนี้มีจำจำนวนมาก
มันเป็นช่วงการหาจุดสมดุล ระหว่าง ผู้ซื้อ-ผู้รับจ้าง บนชุดความจริงที่ว่า ทุกฝ่ายมีทางเลือกมากขึ้น กระทั่งผู้ผลิต Content สายตลกบางราย ก็เลือกที่จะวางตัวเป็นฟรีแลนซ์ไม่สังกัดค่ายใด
ที่ไม่เปลี่ยนแปลง คือความต้องการความขำ ซึ่งไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันยังมาแรงอยู่…ไม่เชื่อลองดูรายได้ภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินในรอบหลายปีหลัง ซึ่ง 2 อันดับแรกสุด ยังเป็นหนังที่มีกลิ่นอายความตลกอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็น พี่มาก..พระโขนง เมื่อปี พ.ศ. 2556 หรือ ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้ ตอนปี พ.ศ. 2557 ขณะที่หลวงพี่แจ๊ส 4 G เมื่อต้นปีนี้ ก็ทำรายได้กว่า 150 ล้านเข้าไปแล้ว
พิมพ์พิชา อุตสาหจิต ลูกสาวของ บก. วิธิต อุตสาหจิต ซึ่งเตรียมจะรับไม้ต่อธุรกิจในเครือบันลือกรุ๊ป มองว่า แนวโน้มเนื้อหาตลกน่าจะยังคงเติบโตได้เรื่อยๆ เพราะวัฒนธรรมของไทยมีเรื่องของความบันเทิงและอารมณ์ขันเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่ก็ต้องปรับตัวตามสถานการณ์ และสำหรับขายหัวเราะเอง ก็มีการปรับตัว 2 รูปแบบ คือการปรับตัวด้านช่องทาง คือการต่อยอดการ์ตูนไปอยู่ในสื่อต่างๆ ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแอนิเมชั่น สติ๊กเกอร์แชท อีบุ๊ค ออนไลน์คอนเทนท์ต่างๆ รวมถึงการออกมาเข้าหาแฟนๆ กลุ่มใหม่ๆ มากขึ้นผ่านอีเว้นท์ ส่วนการปรับตัวอีกด้านหนึ่ง คือการปรับตัวด้านเนื้อหา ที่ต้องให้มีความทันยุค ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงให้ได้
“ทุกวันนี้ ขายหัวเราะไม่ได้อยู่แค่ในหนังสือ แต่เราเป็นคอนเทนท์ที่อยู่ในทุกสื่อ เป็นการตอกย้ำความเป็น Best Local ของขายหัวเราะ และการ์ตูนอื่นๆ ในเครือบันลือสาส์นทั้งหมด ให้เป็นแบรนด์แรก ที่ทั้งคนไทยและต่างชาตินึกถึง เพราะเรื่องอารมณ์ขันเป็นเรื่องสากล ที่คนทั้งโลกเข้าใจ”
ตราบที่ใครๆ ก็ต้องการ ความฮาจึงถูกอนุญาตให้ไปต่อได้อีกไกล… ตึ่งโป๊ะ!







