สู่อิสรภาพ...สาละวิน

เมื่อรัฐอ้างถึงความมั่นคงทางพลังงาน ชาวบ้านขอยึดหลักความมั่นคงทางอาหาร ทวงถามสิทธิเหนือลำน้ำสายนี้
"จากเทือกเขายิ่งใหญ่หิมาลัย ก่อนละลายเป็นสายธาร จากธิเบตเข้าสู่รัฐฉาน ผ่านชายแดนไทยเมืองแม่สะเรียง สาละวินเป็นพี่แม่น้ำโขง ไหลหล่อเลี้ยงโอบอุษาคเนย์หลากชาติพันธุ์ก่อนสู่ทะเล ฝั่งอันดามันและอ่าวไทย สาละวินสายน้ำแห่งชีวิต สาละวินสายธารน้ำใจ แต่ผู้คนทำไมใจร้าย ตัดป่าโค่นใบ ถีบไหลลงสาละวิน..."
เสียงใสๆ ของเด็กน้อยชาวปกาเกอะญอบ้านท่าตาฝั่ง จ.แม่ฮ่องสอน ในนามวงเสียงสาละวิน ถ่ายทอดเรื่องราว‘สายน้ำแห่งชีวิต’ที่ถูกกระทำย่ำยีจากกลุ่มผลประโยชน์ ท่ามกลางความอึมครึมของข่าวการสร้างเขื่อนฮัตจีที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบกิโลเมตรในเขตประเทศเมียนมา
.......................
แม้มุมมืดของสาละวินจะฉายภาพที่กรุ่นไปด้วยไอสงครามยามที่มันไหลผ่านดินแดนฝั่งตรงข้าม และเป็นที่มาของเรื่องราวไม้สาละวินอันอื้อฉาวในไทย แต่ความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงกลุ่มชาติพันธุ์กว่า 20 กลุ่มตลอดการเดินทางผ่าน 3 ประเทศคือ จีน เมียนมา และไทย ยังอยู่ในหัวใจผู้คนที่ผูกพันกับแม่น้ำสายนี้
World Atlast ,Emcycopedid Britanica ระบุว่าแม่น้ำสาละวินมีความยาว 2,800 กิโลเมตร เป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถเติมปริมาณน้ำให้กับ
มหาสมุทรได้ถึง 53 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวินาที
สาละวินจึงไม่ได้มีความสำคัญเฉพาะกับผู้ที่หาอยู่หากินตลอดสองฟากฝั่งเท่านั้น แต่ยังเป็นระบบนิเวศที่มีเอกลักษณ์และเป็นหนึ่งในแม่น้ำไม่กี่สายที่ยังคงไหลเรื่อยตามธรรมชาติโดยไม่มีเขื่อนใหญ่มาขวางกั้น
ทว่า อีกหน้าที่หนึ่งของสาละวินคือการแบ่งกั้นพรมแดนไทย-เมียนมายาว 180 กิโลเมตร เป็นพรมแดนธรรมชาติที่สะท้อนวิถีชีวิตที่ไม่เคยแบ่งแยกทั้งผู้คนและธรรมชาติ ด้วยสภาพพื้นที่ที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนยากต่อการเข้าถึง ทุกวันนี้ชุมชนริมฝั่งสาละวินยังคงดำเนินชีวิตพึ่งพิงธรรมชาติเหมือนที่เคยเป็นมา ปลูกพืชผักหาปลาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่ร่ำรวยแต่ไม่เคยขาดแคลน
ในน้ำมีปลา
แสงสว่างบนท้องน้ำเผยให้เห็นคนหาปลาที่กำลังเหวี่ยงแหจากเรือลำเล็กของเขา ยามสายเรือโดยสารติดธงไตรรงค์เริ่มพาคนจากบ้านแม่สามแลบมาส่งยังบ้านท่าตาฝั่ง ดูเหมือนว่านี่คือกิจวัตรที่เกิดขึ้นบนลำน้ำสาละวิน เช่นเดียวกับการค้าขายปลาและสินค้าทางการเกษตรบริเวณบ้านสบเมย ชุมชนริมฝั่งหมู่บ้านสุดท้ายก่อนถึงชายแดนที่อาจกลายเป็นพื้นที่แรกที่ต้องถูกน้ำท่วมหากมีการสร้างเขื่อน
ปลาตัวเขื่องน้ำหนักเฉลี่ย 20 กิโลกรัม คือขนาดที่พบได้ทั่วไปในสาละวิน “จอดี” หรือ ไพโรจน์ พนาไพรสกุล หนุ่มใหญ่ชาวปกาเกอะญอบ้านท่าตาฝั่ง เล่าว่าสมัยก่อนปลาตัวใหญ่และมีมากกว่านี้อีก
“ตอนเด็กๆ ปลาเยอะ บางทีก็ซ่อนอยู่ในก้อนหินในน้ำ แค่แง้มดูพอเห็นปลาก็จับได้เลยบางทีก็ใช้ฉมวกแทง” เขาว่ารู้จักหาปลามาตั้งแต่เด็ก ใช้ไซ ใช้เบ็ดไปตามประสา ต่อมาเริ่มมีการ
วางตาข่ายบ้าง แต่ไม่มีการใช้เครื่องมือขนาดใหญ่
"ถ้าเป็นช่วงหน้าน้ำจะหาปลากันเยอะ ส่วนใหญ่จะหาไว้กินถ้าเหลือก็ขาย ช่วงกุมภา-มีนา ชาวบ้านจะหยุดหาปลา เพราะมีสาหร่ายเยอะปลาไม่เข้ามา ก็เป็นโอกาสให้ปลาโต ซึ่งช่วงนั้นปลาบาง
ชนิดจะขึ้นมาวางไข่ด้วย"
เพื่อยืนยันความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรในพื้นที่ ระหว่างปีพ.ศ. 2546-48 ได้มีการศึกษาวิจัยของชาวปกาเกอะญอเกี่ยวกับระบบนิเวศวิทยาของลุ่มแม่น้ำสาละวิน ตั้งแต่แม่สะเรียงถึงสบเมย พบว่าในแม่น้ำสาละวินและห้วยสาขาบริเวณพรมแดนไทย-พม่า มีปลาชนิดต่างๆ กว่า 70 ชนิด ในจำนวนนี้มีปลาหายาก เช่น หยะที้ หรือปลาสะแงะ-ปลาตูหนา ซึ่งอยู่ได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม ปลาชนิดนี้เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์จะว่ายตามน้ำทะเลขึ้นมายังน้ำจืด หลังจากนั้นก็จะว่ายกลับไปยังทะเลลึกเพื่อวางไข่
และแม้ว่าระยะหลังความสมบูรณ์จะเริ่มลดลงจากหลายสาเหตุ แต่สาละวินก็ยังพบปลาบางสายพันธุ์ที่สูญหายไปจากแม่น้ำโขง ทำให้คนที่นี่มั่นใจว่าสายน้ำแห่งนี้ยังเป็นบ้านที่น่าอยู่ของสิ่งมีชีวิตทั้งในน้ำและบนฝั่ง โครงการศึกษาแนวทางการจัดการความมั่นคงทางอาหาร “ ปลาสาละวิน” ด้วยภูมิปัญญาปกาเกอะญอ ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง และต.แม่สามแลย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน จึงเกิดขึ้นโดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น
"ในส่วนของงานวิจัยพันธุ์ปลา เราพยายามเอาปลามาเป็นตัวดำเนินเรื่องเพื่อสะท้อนวิถีการดำเนินชีวิตของคนที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำสาละวิน ทั้งในเรื่องความมั่นคงทางอาหาร เรื่องอาชีพ เรื่องเศรษฐกิจ แล้วก็ระบบนิเวศ เพราะในรอบ1ปีเนี่ย ช่วงน้ำลดชาวบ้านก็จะเพาะปลูก พอน้ำหลากหาปลาได้เยอะขึ้นก็เป็นทั้งอาหารและรายได้เลี้ยงครอบครัว แค่อาศัยแม่น้ำสาละวินแล้วก็ธรรมชาติก็อยู่ไ้ด้ตลอดทั้งปี อาจจะไม่ได้รวยแต่ไม่อดตาย อย่างปลาถ้าเราเฉลี่ยได้ทุกวันวันละตัว ตัวนึง1-3กิโลกรัม ถ้ากิโลละ 300 บาท แค่นี้ก็เท่าค่าแรงขั้นต่ำแล้ว แต่ที่จับได้บางทีเกือบ 10 โลกรัม ขายได้ 3,000-4,500 ถามว่าถ้าคุณไปทำงานในเมืองได้เท่านี้ไหม" พงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ บอก และว่าสิ่งที่ชาวบ้านอยากสะท้อนให้ภาครัฐได้รับรู้คือธรรมชาติที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์ และมีคุณค่ามากกว่าราคาที่บางหน่วยงานให้ตัวเลขไว้ในการประเมินผลกระทบหากมีการสร้างเขื่อน
"ถ้ามองจากข้างนอกแค่อาชีพประมงก็ชดเชยไปสิ อย่างริมหาดเนี่ยแค่พื้นที่นิดเดียวเดี๋ยวชดเชยให้อย่างที่ กฟผ. มาทำประเมินค่าใช้จ่าย บอกพื้นที่่ขนาดนี้ไม่กี่หมื่น แต่พื้นที่แค่นี้เชื่อมั้ยเขาอยู่ได้แล้วอยู่ได้ดีด้วย เพราะที่ดินของชาวบ้านไม่ใช่แค่ที่เพาะปลูกแต่เป็นปัจจัยการผลิตที่ทำมาหากินได้ตลอด ไม่สามารถเอาตัวเลขแบบราคาที่ดินมาจับได้" พงษ์พิพัฒน์ มองมุมต่าง
โดยเฉพาะเรื่องปลาสาละวิน ที่บางคนอาจมองเป็นแค่สัตว์น้ำที่ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่หากมานำมาประเมินคุณค่าทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจชุมชน ปลาเหล่านี้ถือเป็นเสบียงที่ไม่มีวันหมด ขอเพียงรักษาสุขภาพของแม่น้ำให้ปราศจากมลพิษและสิ่งแปลกแปลอม ระบบนิเวศนี้ก็ยังเกื้อกูลทุกชีวิตให้อยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน
"ปลาใหญ่สันนิษฐานว่าน่าจะยังมีเยอะ อย่าว่าแต่ตัวละสิบๆ กิโลเลย เป็นร้อยๆ กิโลก็มี แต่เครื่องมือของเรายังเป็นประมงแบบพื้นบ้าน ตัวใหญ่ๆ ยังจับไม่ได้ เพราะถ้าจะจับปลาตัวใหญ่อย่างแม่น้ำโขง เขาจะใช้อวนลาก แต่สาละวินไม่ใช้เครื่องมือแบบนั้น เพราะหนึ่งน้ำมันเชี่ยว สองต้นทุนมันสูง สามคือเราไม่ได้ทำเชิงพานิชย์ เราเป็นเศรษฐกิจชุมชน ก็ไม่จำเป็นต้องใหญ่ขนาดนั้น แต่ถ้าถามว่าปลาใหญ่มีไหม มีแน่นอน"
ในความเห็นของนักวิจัยปกาเกอะญอคนนี้ การเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศลุ่มน้ำไม่ว่าด้วยเหตุใด ไม่เพียงทำลายพันธุ์ปลายังคุกคามชีวิตผู้คน ซึ่งแน่นอนว่าผลกระทบทางสังคมเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
"วันหนึ่งถ้าแม่น้ำสาละวินมีการเปลี่ยนแปลง ปลามันมีสิทธิที่จะเปลี่ยนแปลงไหม แล้วถ้าปลามันเปลี่ยนไป อาชีพมันจะเปลี่ยนไปไหม วิถีคนจะเปลี่ยนไหม แล้วนิเวศจะเปลี่ยนไหม ตัวปลาน่าจะเป็นฐานข้อมูลที่เราได้ใช้อธิบายกับคนภายนอกว่า ถ้าเขาจะมาทำโครงการขนาดใหญ่แบบนี้น่าจะเอาข้อมูลที่หลากหลายมาพิจารณาว่าคุ้มค่าคุ้มทุนหรือไม่กับการที่เราจะเสียอะไรบางอย่าง แล้วหวังว่าจะได้อะไรบางอย่างมา"
ในป่ามีผลประโยชน์
มหากาพย์เรื่องไม้สาละวินยังไม่จบสิ้น โศกนาฏกรรมเรื่องเขื่อนก็เข้มข้นขึ้นทุกขณะ เขื่อนฮัตจี คือหนึ่งในเขื่อนที่ไทยมีแผนการลงทุนด้านพลังงานในเมียนมา และมีทีท่าว่าจะลุกลามกลายเป็นชนวนการสู้รบรอบใหม่ในพื้นที่ก่อสร้าง
ทว่า นั่นอาจไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนที่กำลังกังวลเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน แม้เขื่อนจะต้องแลกด้วยชีวิตผู้คน ระบบนิเวศ หรือความปกติสุขของชาวบ้านที่ไม่เคยเรียกร้องอะไร...กระทั่ง‘ไฟฟ้า’
"คือถ้าเราพูดถึงตัวเขื่อนที่จริงมันไม่ได้มีปัญหาแค่ว่า ท่วมไหม หรือไม่ท่วม เพราะถ้าถามว่าจะท่วมชุมชนไหม เขาบอกมีแค่ไม่กี่หลัง แต่ที่จริงปัญหามันอยู่ที่ว่าถ้าแม่น้ำมันเปลี่ยนแปลงไป น้ำสาขาที่ไหลลงสู่สาละวินก็ไหลไม่ได้ ยิ่งเวลาหน้าฝนที่น้ำมันเยอะขึ้นเอ่อขึ้นเรื่อยๆ หมู่บ้านชุมชนที่อยู่ตามลุ่มน้ำสาขาย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย รวมไปถึงวิถีชีวิตชาวบ้านอยู่ในฝั่ง
พม่า ทุกวันนี้เขาก็มีการอพยพโยกย้ายพื้นที่จากความขัดแย้งด้านการเมืองภายในอยู่แล้ว ถ้ามีการสู้รบกันอีก เพราะกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนเขาประกาศว่าไม่ยอมอยู่แล้ว ก็จะทำให้ชาวบ้านส่วนหนึ่งอพยพหนีมา ถามว่าจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน ทีนี้ก็กลายเป็นรื่องที่เราต้องแบกภาระความรับผิดชอบอีก"
ไฟคงไม่ได้ใช้ ปลาก็อาจจะหายไปจากสายน้ำ บ้านเรือนที่ทำกินส่วนหนึ่งต้องจมอยู่ใต้บาดาล ชาวบ้านริมฝั่งแม่น้ำสาละวินจึงได้แต่วิงวอนขอความเห็นใจให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทบทวนโครงการดังกล่าว
“สิ่งที่กลัวที่สุดคือเมื่อมีโครงการจะแฝงเรื่องการทำไม้และยา เราเคยมีประสบการณ์เรื่องการลักลอบทำไม้ในพื้นที่และมียาเสพติดแฝงเข้ามาด้วย ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก” ไพโรจน์ แสดงความเป็นห่วง
"ในมุมมองผมที่ได้คลุกคลีได้เห็น ที่จริงเรามีเวทีเสนอแนะมาเยอะแยะ แต่ปัญหามีเรื่องเดียวคือการตัดสินใจบางทีก็ไปผูกโยงเรื่องของกลุ่มทุน เรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยละเลยในเรื่องของชุมชนคนที่อยู่ชายขอบ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทำโครงการพัฒนาที่เห็นผลยั่งยืนมากกว่าที่จะไปสร้างความล้มเหลว แล้วประชาชนในประเทศเราเองต้องมารับภาระ"
พงษ์พิพัฒน์ มองว่าการที่ชาวบ้านลุกขึ้นมาเก็บข้อมูลทำงานวิจัยด้วยตัวเอง แม้จะไม่ใช่คำตอบทั้งหมดสำหรับการตัดสินใจใดๆ แต่ฐานข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมากกว่านั้นคือชาวบ้านในพื้นที่จะได้ภูมิใจในวิถีวัฒนธรรมของตนเอง เห็นความสำคัญของฐานทรัพยากรที่ได้พึ่งพิงมาหลายชั่วอายุคน
...ร่วมดูแลสายน้ำแห่งชีวิต ตราบเท่าที่สาละวินยังไหลอย่างอิสระ




