'ก้องเกียรติ' หมอที่ปลูกข้าวเป็น

เป็นหมอที่เน้นการสอนให้คนไข้ดูแลสุขภาพ ป้องกันโรคมากกว่าการรักษา และหมอคนนี้ยังสนใจเรื่องการปลูกข้าว
"ถ้าคุณไม่มีเวลาออกกำลังกาย คุณเดินวันละหมื่นก้าว ขึ้นบันไดวันละ 5-7 ชั้น เท่ากับการวิ่งจ็อกกิง 20 นาที " คุณหมอก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ กล่าว เพราะเชื่อเรื่องการส่งเสริม และป้องกันโรคมากกว่าการรักษาโรค
หมอก้องเกียรติ เป็นทั้งนักคิด นักบริหาร และนักสร้างสรรค์ เขาพยายามใช้รูปแบบธุรกิจแก้ปัญหาสังคม โดยจัดตั้งบริษัทสุขสาธารณะ จำกัด มีร้านอาหารสุขภาพ เป็นสุข ในสามจังหวัด คือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ และเปิดคลินิคเป็นสุข ที่จังหวัดภูเก็ต รวมถึงร่วมกับทีมงานศึกษาพัฒนาสายพันธุ์ข้าวอินทรีย์ ส่งเสริมให้ชาวนากว่า 300-400 ครัวเรือนปลูกข้าวที่มีคุณค่าทางอาหารสูง อาทิ ข้าวสินเหล็ก ข้าวหอมนิล ข้าวสังข์หยด และข้าวเหนียวลืมผัว โดนเน้นว่า ชาวนาต้องกินข้าวที่ปลูก และมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม และอยากให้คนเมืองมีสุขภาพที่ดี
ปัจจุบัน คุณหมอเป็นประธานคณะผู้บริหาร เครือกรุงเทพดุสิตเวชการ และกรรมการผู้จัดการ รวมถึงเจ้าของธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งสิ่งที่เขาทำ...แตกต่างจากหมอทั่วไป เขาใช้องค์ความรู้ทางการแพทย์ ธุรกิจ เกษตรกรรม ฯลฯ แก้ปัญหาสังคม โดยการลงมือทำ...
แม้จะเป็นผู้บริหารโรงพยาบาล แต่ก็ยังทำคลินิคเป็นสุขต่อ...เพราะอะไร ?
ผมเอง เชื่อเรื่องการออกแบบสุขภาพเฉพาะคน คลินิคผมไม่เน้นรักษา แต่เน้นส่งเสริมป้องกันโรค นี่คือเป้าหมายในการทำงาน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ คนไข้บางคนอ้วน เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง สามารถลดยา บางคนก็หยุดยา เราแนะนำเรื่องการกินอาหารและออกกำลังกายให้เข้ากับวิถีชีวิต เป็นหมอไม่จำเป็นต้องจ่ายยาเยอะๆ เพราะคนไข้ก็อยากดูแลสุขภาพ ถ้าเป็นภูมิแพ้ ก็ให้ล้างจมูกแทนการกินยาลดน้ำมูก แนะเรื่องการฉีดวัคซีนที่เหมาะสมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ฯลฯ
การออกแบบสุขภาพให้แต่ละคนใช้เวลานานไหม
บางคน ผมบอกว่าให้ออกกำลังกาย เขาบอกว่าไม่มีเวลา เราถามว่า วันๆ หนึ่งเขาทำอะไรบ้าง ถ้านั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน ก็ให้ลงก่อนป้ายหนึ่ง เดินไปกลับก็เท่ากับออกกำลังกาย เรามีความกรอบความรู้ว่า เดินหนึ่งหมื่นเก้าต่อวัน ขึ้นบันไดเฉลี่ยวันละ 5-7 ชั้น(เดินสะสมในแต่ละวัน ไม่ต้องเดินรวดเดียว) ก็จะเทียบกับการวิ่งจ็อกกิง 20 นาที ปกติคนจะเดินประมาณ 3,000-4,000 ก้าว ถ้าตั้งใจเดินสามสิบนาทีจะได้ประมาณ 4,000 ก้าว เราพยายามแปลงเรื่องการออกกำลังกายให้อยู่ในชีวิตประจำวัน
เราไม่มีโรงพยาบาลมากพอ หรือ หมอมากพอที่จะรักษาคนป่วย ล่าสุดวารสารด้านสาธารณสุขในอเมริกาตีพิมพ์ว่า คนที่ไม่ขยับตัวทำอะไรเลย เป็นเหตุให้ไปสู่การตายมากกว่าการสูบบุหรี่ เรื่องนี้สำคัญมากกว่า นอกจากออกกำลังกาย ผมแนะนำเรื่องอาหารด้วย ผมถามคนไข้ว่า คุณกินไขมันทรานส์หรือน้ำตาลที่ไม่เหมาะสมไหม
ถ้าชอบกินกาแฟใส่น้ำตาลและครีมเทียม ผมแนะนำให้กินนมหวานแทน คุมได้ทั้งน้ำตาลและไขมัน หรือออกแบบเรื่องสัดส่วนการกินผลไม้ ให้ทานประมาณ 150-200 กรัม ปริมาณสามครั้งต่อสัปดาห์ ก็สามารถป้องกันโรคได้หลายอย่าง ตั้งแต่หลอดเลือดในสมอง ในต่างประเทศพูดถึงตระกูลเบอรี่ เมืองไทยมีผลไม้เยอะก็กินให้หลากหลาย
เมื่อหมอจ่ายยาน้อยลง คนไข้ตั้งคำถามไหม
แรกๆ คนไข้ก็กังวล เราก็อธิบายให้ฟังว่า ผมใช้แค่ไม่กี่นาทีจ่ายยาให้คุณแล้วได้เงิน แต่ผมใช้เวลาสองชั่วโมงอธิบายเรื่องการดูแลสุขภาพ ผมใช้ความรู้ทางสรีรวิทยามากกว่าพยาธิวิทยา ให้คนไข้มีข้อมูลหลายอย่างในการดูแลสุขภาพ
ให้กินอาหารแทนยา ?
ข้าวขาวเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานด้วย เราพบว่า ข้าวบางพันธุ์มีลักษณะพิเศษ เช่น ข้าวสินเหล็ก ข้าวหอมนิลสุรินทร์ ข้าวสังข์หยด ข้าวเหนียวลืมผัว ข้าวเหล่านี้มีแป้งที่ไม่ถูกย่อยในลำไส้เล็ก ก็เลยไม่แปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาล เมื่อส่งไปลำไส้ใหญ่ จะกลายเป็นอาหารแบคทีเรียของลำไส้ใหญ่ มีสารบางอย่างดีต่อสุขภาพ ก่อนหน้านี้หาข้อมูลมาอธิบายไม่ได้ พอเรารู้ข้อมูลและวิจัย ก็แนะนำให้คนไข้กิน และส่งเสริมให้ชาวนาปลูก
งานวิจัยตั้งโจทย์ยังไง
เราได้ความรู้สองอย่าง คือ 1. โครงสร้างของแป้งในข้าวบางสายพันธุ์ 2.สารสีดำในข้าว คือ สารต้านอนุมูลอิสระทนต่อความร้อน มีมากกว่าผลไม้และผัก อย่างข้าวลืมผัว มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้มข้นกว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่สามเท่า คนโบราณจะเก็บข้าวสายพันธุ์นี้ไว้กินตอนไม่สบาย คนป่าคนดอยปลูกข้าวสายพันธุ์นี้เล็กน้อยไว้ทำยา ตอนนี้เรากำลังศึกษาว่า ข้าวพวกนี้จะป้องกันมะเร็งลำไส้ได้ไหม โดยทำงานวิจัยร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เชียงราย
เพราะอะไรคุณหมอถึงสนใจเรื่องข้าว
ผมไม่ได้มีเจตนาทำธุรกิจขายข้าว หรือต้องการเอาชนะความเจ็บป่วยให้ได้ การบริโภคอาหารให้ถูกต้อง ทำให้สุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องข้าว ผมเจอกับตัวเอง ตอนผมน้ำหนัก 97 กิโลกรัม เป็นความดันโลหิต เมื่อผมมากินข้าวสายพันธุ์ดังกล่าว น้ำหนักผมลดลง ผมก็พยายามหาข้อมูล เพราะผมไม่อยากบอกว่า "เชื่อผมเถอะ ผมเป็นหมอ น้ำหนักผมยังลดเลย"
เรื่องข้าว ผมลองหุงข้าว แล้วเอาไปแช่ตู้เย็นช่องธรรมดา ถ้าจะกินก็อุ่น ผมทำงานกับนักวิจัย พบว่า ข้าวแช่ตู้เย็น โมเลกุลของแป้งจะเรียงตัวเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า เรานำข้าวมาตรวจด้วยอิเล็กตรอนไมโครสโคป เพื่อดูโครงสร้างของข้าว และเมื่อนำข้าวไปอุ่นใส่ไมโครเวฟ ปรากฎว่า แป้งในข้าวยังคงตัว ไม่เสียคุณค่าทางอาหาร เหมือนวัฒนธรรมอาหารของญี่ปุ่น ซูชิหรือข้าวปั้น เป็นข้าวเย็น บริโภคแล้วทำให้คนญี่ปุ่นมีสุขภาพที่ดี เราไม่จำเป็นต้องซื้อข้าวราคาแพง เป็นพันๆ บาท มากิน แต่เราแนะนำให้กินข้าวที่ดี ทำให้ระบบย่อยดี และไม่แนะนำให้กินอาหารแช่แข็ง
อาหารประเภทไหนที่คุณหมอไม่แนะนำให้บริโภค
ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น ชาเขียว น้ำอัดลม ส่วนใหญ่ใช้น้ำตาลฟรุกโตส นำแป้งข้าวโพดมาปรับเอนไซม์ให้มีโมเลกุลเท่ากับฟรุกโตส เราเรียกว่า ไฮฟรุกโตสคอร์นไซรัป ซึ่งน้ำตาลตัวนี้มีผลเสียต่อร่างกาย กระตุ้นการอักเสบในร่างกาย ทำให้ไขมันฟอกตับ เราก็พยายามให้คนไข้หยุดบริโภค โดยเฉพาะไขมันทรานส์ที่มาจากการทอดอาหารซ้ำ หรือน้ำผลไม้กล่อง ไม่ว่าจะเขียนว่า น้ำผลไม้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีปริมาณฟรุกโตสมากเกินกว่าร่างกายจะจัดการได้
ถ้าจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภค ต้องทำอย่างไร
เราจัดมื้ออาหารให้คนไข้ โดยซักประวัติการกิน แล้วบอกว่ามื้อนี้ไม่ควรทานอะไร อย่างพฤติกรรมซื้อกับข้าวมาแช่ตู้เย็น กินไปอุ่นไป การใช้ความร้อนซ้ำๆ อุ่นอาหาร ทำให้ไขมันแปรสภาพเป็นไขมันทรานส์ ผมก็แนะนำว่า ให้อุ่นอาหารเฉพาะที่กินมื้อนั้น อย่าอุ่นค้างหม้อไปเรื่อยๆ เพราะความเค็มของเกลือจะมากขึ้น
เป็นหมอที่ลงไปทำงานกับเกษตรกร เพื่อพัฒนากระบวนการปลูกข้าว ทำไมต้องทำขนาดนั้น ?
ผมอยากให้ชาวนาลดต้นทุนการปลูกข้าวอินทรีย์ จากใช้เมล็ดข้าว 20 กิโลกรัมต่อไร่ ลดลงเหลือ 4 กิโลกรัมต่อไร่ ก็ยังได้ผลผลิตค่อนข้างดี เราออกแบบแปลงนาและการใช้กระบวนการรูปแบบใหม่ ปีแรกมีชาวนามาร่วมทำแค่หนึ่งหรือสองครอบครัว ชาวบ้านก็บอกว่า หมอบ้า แนะนำให้ปลูกข้าวแบบนี้ได้ยังไง ปีที่สองเห็นผล ชาวนามีรายได้มากกว่าที่เคยได้ หรือเท่ากับที่เขาเคยมี เรารับซื้อข้าวแพงกว่าราคาตลาด ตอนนี้มีชาวนาปลูกข้าวสายพันธุ์ที่เราแนะนำกว่า 200 ครัวเรือนทั่วประเทศ เราทำงานกับชาวนาที่มีที่นาขนาดเล็กไม่ถึง 50 ไร่ เพราะคนกลุ่มนี้แทบไม่มีอำนาจต่อรอง
ปีที่สองเพื่อนๆ ก็มาร่วมทำงาน ทั้งในพื้นที่กาฬสินทร์ บุรีรัมย์ ถ้ารู้ว่า ชาวนาที่ไหนอยากทำ ก็ไปทำด้วย ที่สำคัญคือ เรารับซื้อข้าวทั้งหมด แต่ข้าวที่ปลูก คนในชนบทต้องได้ประโยชน์ด้วย อย่างข้าวสินเหล็ก จะมีธาตุเหล็กที่ดูดซึมในร่างกายได้สูง ชาวนาที่ปลูกข้าว ก็เก็บไว้ให้ลูกหรือคนเฒ่าคนแก่กิน เราไม่อยากให้เขาปลูกข้าวขาย แต่ไม่กินข้าวที่ปลูก ไม่มีชาวนาในชนบทที่ไหนกินข้าวไรซ์เบอร์รี่
เมื่อชาวนาปลูกข้าวที่มีคุณค่าทางอาหาร ก็ควรกินข้าวที่ปลูกด้วย ?
พอมารับซื้อข้าว พวกเขาบอกว่า ข้าวที่หมอให้ปลูกปีนี้ไม่ขาย เพราะกินอร่อย มีประโยชน์ เก็บไว้ให้ลูกกินก่อน นี่คือ วิธีการทำงานของเรา ไม่ใช่ว่าส่งเสริมให้ปลูกข้าวเพื่อขายคนเมือง และเรามีทีมเกษตรวิ่งไปตามพื้่นที่่สอนตั้งแต่การคัดเมล็ดพันธุ์ ดูแลแปลงนา เรียนรู้ที่จะอยู่ได้ในอนาคต เมื่อเราเจอปัญหา ก็แก้ป้ญหา ค้นหางานวิจัยมาใช้ แต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน
คุณหมอ ลงไปเรียนรู้การปลูกข้าวด้วย ?
ใช่ครับ จากเดิมไม่เคยทำ ตอนนี้ปลูกข้าว คัดเมล็ดพันธุ์ เกี่ยวข้าว สีข้าวเป็น เราต้องเข้าใจเรื่องนี้่ก่อนจึงจะแก้ปัญหาได้ ข้าวบางพันธุ์ มีโรคแมลงเยอะ เราก็ลงพื้่นที่ ให้ชาวนาเอาโบว์ผูกต้นที่รอด เก็บไว้ทำพันธุ์ต่อ เพราะเป็นพันธุ์ที่แข็งแรง เราทำอย่างนั้น เพื่อให้เกิดความยั่งยืน เมื่อชาวนาเห็นว่าเราทุ่มเท พวกเขาก็เปลี่ยนความคิดจากเดิมมีโรคแมลง ก็ไถกลบทิ้งหมด แต่ตอนนี้พวกเขาเดินดูต้นที่รอด เพื่อเก็บไว้ทำพันธุ์
ถ้าอย่างนั้นคุณหมอต้องมีแปลงทดลองด้วย ?
เราใช้พื้นที่ทดลองร่วมกับโรงเรียน ขับเคลื่อนเรื่องนี้กับนักเรียนและครูโรงเรียนลำปลายมาศ บุรีรัมย์ ผมคิดว่า ถ้ากลไกส่วนนี้สำเร็จ ลูกหลานชาวนา อยากจะกลับไปเป็นชาวนา เราให้โจทย์ว่า หนึ่งเมล็ดพันธุ์ ปลูกแล้ว หมอขอคืน 200 เมล็ด เด็กก็ไปตั้งวงวิจัย ค้นคว้าเรียนรู้กระบวนการ ทำให้เขารู้ว่า ทำนาไม่ยาก ถ้าเราสามารถคืนคนเหล่านี้กลับไปผลักดันเศรษฐกิจในชนบทได้ ความยั่งยืนก็จะเกิดขึ้น
เมื่อไปศึกษาลองทำนา คุณหมอคิดเห็นยังไง
เรารู้ว่า การทำเกษตร คือ ความเสี่ยง นาแปลงหนึ่งในบุรีรัมย์ เมื่อเรารู้ว่าน้ำจะท่วมเมื่อไหร่ ปีแรก น้ำมาเร็วกว่าหนึ่งเดือน ข้าว 50 ไร่อยู่ใต้น้ำหมด ปีที่สอง ผมก็ออกแบบที่นาใหม่ ให้ปลูกข้าวสี่ชนิด ข้าวบางชนิดยืดตัว ทนหน้าแล้งได้ ข้าวชนิดนี้ก็รอด และข้าวบางสายพันธุ์ เมื่อตั้งท้องมีน้ำนม นกตัวเล็กๆ ทั้งอำเภอบินมาดูดน้ำนมข้าว ไม่กินแปลงอื่น กินแต่แปลงนี้ ผมสังเกตแล้วก็เรียนรู้ทุกเรื่อง สุดท้ายเราชนะเกือบทุกเรื่อง ไม่ใช่เราฉลาด แต่เรานำความรู้มาขบคิด
ถ้าคนรุ่นใหม่ที่มาทำงานในเมืองมีเงินเดือน 9,000 บาท ปีหนึ่งมีรายได้แสนบาท ถ้าทำนาต้องมีรายได้หนึ่งแสนบาทให้ได้ เขาก็เริ่มเห็นว่า ทำได้จริง เราไม่ได้ใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ เราพบว่า ปุ๋ยแบบนั้นปนเปื้อน ทั้งยา สารเคมี เราใช้แหนแดง (เฟิร์นน้ำขนาดเล็กลอยบนผิวน้ำ) สามารถตรึงไนโตรเจน เลี้ยงแหนแดงขายเป็นปุ๋ยได้
เป็นผู้บริหารในโรงพยาบาล และทำคลินิคด้วย เอาเวลาที่ไหนไปเรียนรู้การทำนา
สุดท้ายก็หาเวลาจนได้ เพราะการเป็นชาวนา ไม่ได้ใช้เวลามาก ปลูกแล้วก็รอเวลาเกี่ยว
อะไรเป็นแรงจูงใจให้ทำขนาดนั้น
สนุกและท้าท้าย และได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เราเป็นหมอบริหารองค์กรสี่ห้าพันล้าน ปีแรกที่มาทำเรื่องข้าว า ผมพบว่า คนที่เป็นชาวนามา 40-50 ปี คนพวกนี้เก่งกว่าพวกเรา เพียงแต่เขาเข้าไม่ถึงความรู้และเทคโนโลยีบางอย่าง แต่พวกเขาพร้อมจะสู้ และต้องการคนหาตลาดให้







