บทส่งท้ายของอิหร่าน

และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายในอิหร่าน
แม้ใจจะคิดถึงเพื่อน พี่น้อง ครอบครัว และอาหารไทยซักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าใจหายไม่น้อย ที่จะต้องบอกลาดินแดนทะเลทรายแห่งเปอร์เซียนี้ไป
ผมยังอยู่ที่อิสฟาฮาน เมืองครึ่งหนึ่งของโลก วันนี้ผมแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากเดินซื้อของฝากในตลาด ผ้าปูโต๊ะผืนเล็กผืนน้อย ประทับตรา Made in Esfahan ไปจนถึงงานหัตถกรรมที่ชาวอิหร่านสุดแสนภาคภูมิใจ ถูกโกยใส่กระเป๋าจนแทบไม่เหลือที่ว่าง
กลับไปเก็บข้าวของที่โฮสเทล แบกเป้แบ็คแพ็คใบโตขึ้นหลัง พร้อมกระเป๋ากล้อง ร่ำลาเพื่อนใหม่ชาวญี่ปุ่น และแลกอีเมล์กันไว้ติดต่อในอนาคต ผมขอให้ทางโฮสเทลช่วยจองตั๋วรถบัสตีกลับไปยังเตหะรานเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับไทย แต่ก็ต้องตื่นเต้นนิดๆ เมื่อเขาบอกว่าตั๋วเต็มหมดแล้ว คำแนะนำที่ได้รับ คือให้รีบไปที่ท่ารถโดยด่วนที่สุด เพื่อสอบถามว่ายังพอจะมีที่นั่งตรงไหนให้พอแทรกตัวเข้าไปได้บ้าง โดยเขาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งเป็นภาษาฟาร์ซีให้ผมพกติดตัวไปด้วย
ไม่รู้พอจะเรียกว่าโชคดีได้หรือไม่ แต่เมื่อยื่นจดหมายฉบับนั้นไปให้ ห้องจำหน่ายตั๋วก็ยอมขายตั๋วใบพิเศษให้กับผมจริงๆ เป็นตั๋วที่นั่งข้างคนขับ ยืดขาไม่ได้ และไม่มีพนักเอนหลัง เขาถามว่าผมโอเคกับที่นั่งนี้หรือไม่ ถ้าโอเคก็ขึ้นรถได้เลย รถจะออกภายใน 1 ชั่วโมง เป็นรอบเดียวที่จะพาผมไปถึงสนามบินได้ทันเวลาเครื่องออก ผมผู้ซึ่งไม่มีทางเลือกอื่นตกลงจ่ายเงินทันที
ผมเข้าไปนั่งในห้องรอรถ ซึ่งดูเป็นห้องหับสัดส่วน ผมเอาเป้แบ็คแพ็คใบโตกับกระเป๋ากล้องไปแอบไว้มุมหนึ่งของห้อง แล้วเดินออกไปเข้าห้องน้ำ ไม่ถึง 5 นาทีต่อมา ผมเดินกลับมาที่เดิมเพื่อพบว่าเป้แบ็คแพ็คของผมหายไป แต่กระเป๋ากล้องยังอยู่ ผมยังมองโลกในแง่ดี เพราะตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา พบซึ้งน้ำใจของชาวอิหร่านมาหลายต่อหลายครั้ง ในครั้งนี้ก็เข้าใจว่าคงมีคนหวังดี หยิบไปขึ้นรถให้
แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น เป้แบ็คแพ็คของผมหายไปจริงๆ ซึ่งผลจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในห้องรอรถปรากฏปัญหาเดียวกันกับในกรุงเทพฯบ้านเรา คือกล้องไม่สามารถใช้งานได้จริง ในละแวกนั้นไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้แม้แต่คนเดียว แต่ด้วยภาษากายบวกกับสีหน้าร้อนรนของผม ก็ทำให้พนักงานของรถบัสพาผมไปถึงมือตำรวจ ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เช่นกัน แต่ทุกคนก็ช่วยกันระดมกำลังตามหากระเป๋าของผมอย่างเต็มที่
เจ้าหน้าที่ตำรวจพาผมเดินวนไปวนมาอยู่ในท่ารถบัสไม่ต่ำกว่า 8 รอบ มองหากระเป๋า เดินไปสถานีตำรวจ เดินกลับมาท่ารถบัส ไป-กลับอยู่อย่างนี้ โดยมีอีกทีมเปิดกล้องวงจรปิดตัวอื่นๆ ดู แต่ไม่มีใครเห็นเป้ของผมเลย ผมนึกขึ้นได้ ที่เจ้าของร้านกาแฟในเตหะรานเคยให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ติดต่อยามฉุกเฉิน “ถ้าเจอปัญหาอะไร โทรมา จะเล็กจะใหญ่ ถ้าคุณเจอปัญหา โทรมาหาผม ผมจะช่วย” “You are not alone in Iran.” จึงพยายามจะขอยืมโทรศัพท์ของใครสักคนเพื่อต่อสายไปยังหมายเลขที่ผมมี
แต่ก็เช่นเดิมคือสื่อสารกันไม่เข้าใจ เวลารถออกใกล้เข้ามาทุกที ผมตัดใจ และคิดว่าคงจะไม่ได้มันคืนอีกแล้ว พร้อมขอตัวไปขึ้นรถ ทั้งตำรวจ และพนักงานในท่ารถพากันตกใจ ว่าผมจะไปโดยไม่มีกระเป๋าอย่างนั้นหรือ แต่ถ้าผมอยู่ต่อ แล้วหาเป้ไม่เจออยู่ดี ก็จะกลายเป็นว่าต้องเสียเงินออกตั๋วใหม่เพิ่มไปอีก
อันที่จริงสิ่งของในเป้ใบนั้นประกอบไปด้วยเสื้อหนาว 1 ตัว ผ้าพันคอ 1 ผืน หมวก 1 ใบ เสื้อเชิ๊ต 5 ตัว กางเกงยีนส์ 2 ตัว กางเกงใน 5 ตัว และถุงเท้าอีก 9 คู่ พร้อมของฝาก และของจุกจิกนิดหน่อย และคอมพิวเตอร์แล็บท็อปเก่าๆ 1 เครื่อง สิ่งที่เสียดายที่สุดถ้าหายไปในของจำนวนนี้คงเป็นหมวก และผ้าพันคอที่ชอบมาก ผมแปลกใจเหมือนกันที่ทำไมหัวขโมย ถึงไม่เลือกเอากระเป๋ากล้องของผม ที่มีมูลค่าสูงกว่ามากไป ถ้าให้เดาคงพอคิดได้เพียง เขาชอบของใหญ่มากกว่าของเล็ก เลยเหลือภาพในกล้องมาประกอบข้อเขียนให้คุณผู้อ่านได้ดูกันนี่แหละครับ
สุดท้ายผมก็ขึ้นมาประจำที่ข้างคนขับรถบัส ตลอดเส้นทางผมทำหน้าที่ผู้ช่วยของคนขับไปในตัวด้วยการชงชา และจุดบุหรี่ให้เขาสูบ ผมคิดทบทวนถึงของที่หายไป ใจหนึ่งก็โกรธ แต่มันก็เกิดจากความสะเพร่าของเราเอง อีกอย่างหนึ่งเมื่อลองย้อนถึงประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างการเดินทาง แค่เพียงกระเป๋าหายใบหนึ่ง ก็ไม่อาจทำให้ผมนึกเกลียดประเทศนี้ได้ลง
เช่นเดียวกับ”ประโยคแรก”ที่ได้ยินในเตหะราน จากปากของสุภาพบุรุษท่านหนึ่งที่พึ่งรู้จักกัน “โปรดส่งต่อไมตรีจิตของผมไปถึงผู้คนในประเทศของคุณด้วย พวกเรายินดีต้อนรับ” และตลอดการเดินทางครั้งนี้ ก็ได้ยินประโยคทำนองเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในทุกเมืองที่ไป จากหลายคนที่เจอ
แตกต่างเหลือเกินจาก“ประโยคแรก”ที่ได้ยินตอนบอกคนรอบข้างว่าจะไปอิหร่าน “อันตรายไหม ปลอดภัยจริงหรือ” คงพูดไม่ได้ว่าปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ทุกที่มีทั้งคนดี คนไม่ดี แต่อัตราส่วนคนดีที่ได้พบ เยอะพอๆ กับความกว้างใหญ่ของประเทศนี้ สำคัญกว่านั้นคือน้ำใจที่ได้รับแทบทุกวันนั้นมากมายจริงๆ
ผมกลับถึงประเทศไทยในอีกหลายชั่วโมงต่อมา สิ่งแรกที่ทำคือนั่งรถไปห้างสรรพสินค้า ใช้เงินก้อนสุดท้ายในธนาคารซื้อคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปเครื่องใหม่ กลับบ้าน เปิดโปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ด แล้วเริ่มเขียน ประโยคแรกคือคำที่เคยได้ยินจากไหนไม่รู้ว่า “Broke but Inspired” ถังแตกแต่ได้แรงบันดาลใจ ของหาย แต่ความทรงจำยังอยู่ และมันเป็นสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้
อิหร่านเป็นประเทศที่ดีประเทศหนึ่ง แม้โลกภายนอกจะมองอย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ของดินแดนเปอร์เซีย ที่แม้จะแห้งแล้ง แต่ยังมีต้นพิสตาชิโองอกงามเสมอ ข้อเขียนและรูปภาพเหล่านี้คือการทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับสุภาพบุรุษท่านนั้น ผมส่งต่อไมตรีจิตของพวกเขาให้คุณทุกคน
จากประเทศอิหร่าน ถึงประเทศไทย







