สองพีใหญ่มองวงการหนังไทย

มุมมองอนาคตหนังไทยในสายตาสองผู้กำกับหนังรุ่นใหญ่ ปรัชญา ปิ่นแก้วและนนทรีย์ นิมิบุตร
นนทรีย์ นิมิบุตร กับผลงานที่เปิดศักราชภาพยนตร์ยุคไทยเรเนสซอง และตัวเลขภาพยนตร์ไทยเกินหลักร้อยล้านบาทกับงานกำกับ นางนาก และ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ที่ทำให้ ภาพยนตร์ “บู๊” ไทย กลายเป็น แอ็คชั่นตีตลาดโลก ทั้งสองเป็นผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ไทย และความสำเร็จจากผลงานของพวกเขา ถูกวางให้เป็นหลักไมล์ของภาพยนตร์ไทยกระแสหลัก และยังเป็นงานอ้างอิงของรูปแบบและต้นแบบความสำเร็จของภาพยนตร์ในยุคสองทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งในด้านการสร้างงานคุณภาพ และการดึงคนดูรายได้ ทั้งสองมองสถานการณ์หนังไทยอย่างไรในยุคปัจจุบัน
-ถ้าให้นับปีที่อยู่ในวงการ จะนับตัวเองที่อยู่ในวงการมากี่ปีแล้ว?
นนทรี: ถ้านับหนังเรื่องแรก เรื่อง “2499 อันธพาลครองเมือง” เล่าตำนานของแดงไบร์เล่ย์ ก็ปี 2538 ก็เกือบ 20 ปี ประมาณนั้น
ปรัชญา: ของพี่ก็ 20 ปี ถ้านับหนังเรื่องแรกคือ เรื่อง “รองต๊ะแล่บแปล๊บ” ฉายประมาณปี 2533 ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง เป็นพระเอก
-ถ้าถามถึงงานที่แลนด์มาร์คในอาชีพทำหนัง ยกให้เป็นช่วงเรื่องอะไร?
นนทรีย์:: ของผมก็ช่วงต้นๆอะนะ จริงๆแล้วเราเป็นผู้กำกับโฆษณา และ ทำมิวสิควีดีโอมาก่อน ราวสิบห้าปีแล้วมั้งแล้วถึงกระโดดมาทำหนัง ผมมีความรู้สึกว่าหนังเรื่องแรก มันแตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่(ในวงการหนังไทย)ตอนนั้น มันก็เลยค่อนข้างจะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชม ว่ามันมีหนังแบบนี้ด้วยหรอ หนังเป็นแนวใหม่ คือมันไม่มีกรอบ ไม่มีขนบ ไม่มีวิธีคิดที่มันอยู่ในทฤษฎีใดๆ มันก็เลยเป็นหนังที่เราอยากทำแบบไหนเราก็ทำแบบนั้นเลย มันก็เลยมีความสดใหม่ของการทำหนังในรูปแบบหนึ่ง ถ้าถามผมจริงๆตรงนั้นแหละที่เป็นจุดที่ทำให้เป็นที่รู้จักของคนในยุคนั้นจวบจนปัจจุบันนี้
ปรัชญา: ของผมก็คงเป็น องค์บาก ตอนเรื่องแรก เรื่อง รองต๊ะแล่บแปล๊บ ตอนนั้นหนังไทยแย่มาก มีอยู่ไม่กี่เรื่อง แล้วพอค่ายเพลงมาทำหนังก็สร้างความแปลกใหม่ให้วงการ ตอนนั้นยังไม่นับดีกว่า มานับตอนองค์บาก เพราะองค์บากทำให้ตัวงานทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
-งานของพี่อุ๋ย นนทรีย์ สามเรื่องแรกประสบความสำเร็จตรงกับช่วงที่สื่อเมืองนอกใช้คำว่า ไทยฟิล์มเรเนซองส์ (ยุคฟื้นฟูศิลปะหนังไทย) มันเรเนซองส์ยังไง?
นนทรีย์: คือผมมองว่าตัวเอง naïve กับหนังไทยมาก เราบริสุทธิ์กับการทำหนังมาก มันไม่มีว่าต้องแบ่งเงินเท่านั้นเท่านี้ ต้องทำมาให้ใครดูกลุ่มนั้นกลุ่มนี้มาก มันก็เลยมีความอิสระในการทำค่อนข้างสูง และก็ทางค่ายหนังเขาก็ไม่ได้มายุ่งอะไรกับเรามาก ก็ปล่อยให้เราทำงานในแบบที่เราอยากทำ ผมว่าตรงนั้น ไอความอิสระตรงนั้นที่มันไม่มีทฤษฎีใดๆ และก็ไม่มีเรื่องการตลาดในหัวเราเลย เราอยากทำอะไรเราก็ทำในแบบที่เราคิด ผมว่าตรงนั้นแหละที่มันเป็นแนวของงาน เรียกว่างานของผู้กำกับภาพยนตร์โฆษณา ซึ่งงานโฆษณากับงานหนังจริงๆแล้วมันไม่ได้ไปด้วยกันอยู่แล้วการเป็นคนทำงานโฆษณามาก่อนนานๆ มันรู้สึกว่าจะต้องคิดอะไรใหม่ๆ หาอะไรใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นไอสิบกว่าปีที่เราทำงานพวกนี้อยู่มันฝึกให้เราคิดสิ่งใหม่ๆ ฝึกให้เราเล่าอะไรไม่เหมือนใคร มันเป็นงานขโมยเชือกเพราะฉะนั้นลูกค้าต้องการความใหม่ต้องการความแปลกสิ้นค้าขายได้สะดุดตาตลอดเวลา ไอวิธีคิดเหล่านี้พอเรามาใส่ในหนัง มันก็เลยเกิดวิธีการของภาพยนตร์แบบใหม่ๆเกิดขึ้น จากเรื่องต่อเรื่องๆ ซึ่งสามเรื่องเนี่ยว่าไปแล้วมันไม่ซ้ำทางกันเลยนะ เรื่องแรกเป็นดราม่าแอ็คชั่น (2499 อันธพาลครองเมือง) เรื่องที่สองเป็นดราม่า เป็นหนังรักหนังผีในแบบของผม (นางนาก) และเรื่องที่สามเป็นเรื่องอีโรติก (จันดารา) เป็นเรื่องของการพูดถึงดาร์คไซด์ของมนุษย์ มันก็เลยมองว่ามันเป็นคนที่ทำหนังหลากหลายแนว และก็แต่ละเรื่องก็มีวิธีการวิธีคิดที่แตกต่างกัน แต่ในที่สุดแล้วประเด็นที่ต่างชาติเขามองว่ามัน เออมันมีลายเซ็นต์ของมันอยู่ มันมีวิธีการทำหนังของเขาอยู่ แล้วบังเอิญว่าในยุคนั้นเนี่เพื่อนๆผมทั้งหลายแหล่ที่ทำโฆษณามาด้วยกัน ทุกคนก็ฉวยโอกาสว่าถึงเวลาแล้วที่คนวงการทำโฆษณาก็ลุกขึ้นมาทำหนังกันใหญ่เลย ก็เลยทำให้เกิดคนทำหนังที่มาจากวงการโฆษณา ไม่ว่าจะเป็น คุณเป็นเอก, คุณวิศิษฎ์, อ๊อกไซด์ แปง ,คุณสิน-ยงยุทธ,เก้ง จิระ ก็รู้สึกว่าคือผมเชื่อว่าทุกคนเชื่อว่าถึงเวลาที่เราจะทำหนังกัน แล้วก็มีหนังที่ต่างคนก็ต่างมีแนวของตัวเอง เพราะฉะนั้นแล้วเนี่ย ภาพยนตร์ในช่วงนั้นมันก็จะเป็นเรเนซองส์ของหนังไทยที่มันหลากหลายออกมา มีหนังหลายๆประเภท หลายๆแนว หลายๆวิธีการคิด หลายๆวิธีการนำเสนอ ก็เป็นยุคหนึ่งของหนังไทยที่แปลกตาจากที่เขาเคยดู
-ตอนพี่อุ๋ยที่มีคำว่า ไทยเรเนซองส์ พอตอนของพี่ปรัช ที่เป็น องค์บาก มันก็เหมือนเป็นการจุดประเด็นใหม่ แนวหนัง แอ็คชั่น ที่หนังไทยหายไปนานแล้วกลับมาอีก มองย้อนกลับไปว่า มันเป็นความบังเอิญหรือว่ามันเป็นความลงตัวที่เราเตรียมมาแล้ว หรือว่าอะไร?
ปรัชญา : ผมว่าเป็นเพราะมันหายไปนาน แล้วคนที่ดูหนัง และชอบดูหนัง คงจะคิดว่าสักวันจะต้องทำมันให้ได้ บังเอิญก่อนหน้านั้น ก่อนถึงปี ค.ศ.2000 หนังไทยที่มันหายไป มันทำให้หลายคนมันอัด มันก็อยากจะระบายอยากจะระเบิดออกมา พอทีนี้ ผมก็เหมือนกับพี่อุ๋ยแหละ อยากจะทำหนังหลายๆแนว มันมีท้าทายทุกแนวแหละ แต่พอถึงแนวแอ็คชั่นมันก็เป็นแนวที่เราเคยประทับใจตอนเด็ก เคยดูหนังแอ็คชั่นหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นของคุณฉลอง ภักดีวิจิตร ของคุณคมน์ อรรฆเดช ฯลฯ ถึงวันหนึ่งเราอยากจะทำหนังสไตล์ไทย หนังแอ็คชั่นสไตล์ไทยๆ โดยเรารู้ข้อจำกัดว่าเราไม่สามารถไปเซ็ทฉากขับรถไล่กันเราก็ไม่มีเงินไปทำรถแพงๆมาวิ่งไล่กันบนถนนวิ่งกันอย่างสบายใจอย่างเนี่ย ก็นึกถึงนึกประชดนึกถึงรถตุ๊กตุ๊ก นั่นก็คือจุดเริ่มต้น เหมือนเราล้อตัวเอง ประชดตัวเองทำออกมา แล้วหนังไทยก็แอคชั่นต้องเป็นแบบนี้ แต่ผมก็นึกถึงรถพวกนี้ชนกันต้องแปลกจริงๆ ไม่งั้นมันเอาไม่อยู่ตอนนั้นมันก่อนเจอ จา พนม ด้วยซ้ำ แล้วพอมาเจอก็เลยเอามารวมกันให้มาอยู่ในเรื่องเดียวกัน ทั้งหมดมันเกิดมาจากความอัดอั้นมานาน เก็บมานานแล้วถึงโอกาสมาทำก็เลยเอามา
-ณ ตอนนี้ คือหนังไทยอยู่ตรงไหนในตลาดหนังแมสเมืองไทย?
ปรัชญา : ถ้าพูดเป็นแบบวิทยาศาสตร์จากคำถามนี้นะ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ คนแมสมันอยู่กับมือถือที่เรียกว่าสมาร์ทโฟน มันเป็นโซเชียลเนตเวิร์คแล้วมันก็แชร์ แชร์ความสนุกเข้าหากันทุกวัน สิ่งที่เราได้ดูฟรีกันทุกวัน จากเมื่อก่อนไม่เคยได้เลย เราได้ดูฟรีทุกวันครบรสเลยนะ บางครั้งก็ตลกมาก บางครั้งก็ตื่นเต้น บางครั้งก็น่ากลัว บางครั้งก็ได้ความรู้ บางครั้งก็ประทับใจ มันได้อย่างนี้ทุกวันๆ เหมือนเราได้กินข้าวฟรีทุกวันแล้วอิ่มด้วย เพราะฉะนั้นการที่เรายอมเสียเงินซื้ออาหารตรงนั้นกิน จะไปดูหนังมันจะต้องสุดๆจริงๆถึงจะไปดู ถ้าคุณมาอารมณ์เดิมไม่มีทาง เพราะอย่างนั้นผมจึงคิดว่า ตอนนี้สังคมมันโตไปแล้ว โตพร้อมกันทั่วโลกเลย คนดูหนังบ้านเราที่เป็นแมสก็โต โตหมดทั่วโลกเลย สิ่งที่เขาต้องการไฮเทคโนโลยี เทียบเคียงกับหนังเมืองนอก ความน่าดูของมัน และคุณภาพของมัน มันต้องไปถึงตรงนั้นแล้ว ถ้าถึงอย่างนั้นเขาก็จะพร้อมให้เงินมา อย่างที่บอกว่า หนังเรื่อง ไอฟายแต้งกิ้วฯ ความน่าดูของมัน มันไปถึง แต่เนื้อในของมันอาจแค่เกือบๆ โลกมันเปลี่ยนเป็นยุคดิจิตอลแล้วมีมือถือกันทุกคนมันเลยทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนแล้วการตัดสินใจดูหนังมันยากขึ้น
นนทรีย์: แล้วระบบความคิดด้วยนะผมว่า
-ระบบคิดของคนดูหรือคนทำ?
นนทรีย์: ของคนทำ คือวันหนึ่งที่คุณรู้ว่าคุณมีเงินเท่านี้ คุณก็ตัดสิ้นใจขึ้นรถเมล์ไม่ไปแท็กซี่เหมือนที่เคยไป ก่อนจะออกจากบ้านเราก็จะรู้ว่ามีเงินแค่ขึ้นรถเมล์ก็จะขึ้นรถเมล์เราจะขึ้นรถเมล์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคิดทำได้ เราก็จำกันตัวเองลิมิตความคิดของตัวไว้เท่านี้ ถ้ากูคิดไปมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเงินกูไม่มี มันกลายเป็น เดย์ดรีม แล้วทุกคนก็มาคิดว่าทำหนังอะไรให้มันฟิตอินบัดเจ็ท อาจจะเหลือหน่อยหนึ่งให้กับพอยาไส้ มันคิดได้แค่เท่านั้นจริงๆ คิดอีกว่าผู้กำกับทีมงาน ยกตัวอย่างหนังสิบล้าน ผู้กำกับทีมงานเอาไปล้านหนึ่ง แบ่งกันห้าสิบหกสิบคนมีตังค์อยู่แค่นี้แล้วที่เหลือเก้าล้านก็มานั่งคิดว่าหนังทำไง หนังเก้าล้านทำไง ก็ได้เท่านี้ บางคนถ่ายเจ็ดวัน บางคนถ่ายสิบวันนี่ถือว่าสูงแล้ว เพราะอย่างนั้นคุณภาพของหนังมันก็ได้เท่านี้ เพราะว่าวิธีคิด วิธีปฏิบัติ ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนี้ แล้วจะให้คนดูเขาสมหวังอย่างที่เขาคาดหวังมันเป็นไปไม่ได้ อย่างที่เขาถามว่า หนังเมนสตรีมมันหายไปไหนนี้คือหนึ่งคำตอบ นอกจากพี่ปรัชแล้วอันนี้น่าจะเป็นหนึ่งคำตอบที่เราไม่สามารถจะไปถึงจุดนั้นได้ เพราะเราโดนลิมิตเรื่องของบัดเจ็ท เรื่องของไอเดีย เรื่องของครีเอทีฟ อย่าไปคิดอะไรฟุ้งเฟ้อมีเงินเท่านี้ก็ต้องทำเท่านี้ ต่อให้เราคิดบรรเจิดแค่ไหน แต่บัดเจ็ทมันไม่ตอบสนองสิ่งที่เราคิดมันก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนกับพี่ปรัชลุกขึ้นอยากจะทำหนังแอคชั่นรู้สึกว่าไอเดียนี้ สุดยอด มันต้องโดนแน่ๆ ผมว่าเอาไปสิบห้าล้าน มันจะทำได้ยังไง ใช่ไหมฮะ แต่ในขณะเดียวกันนี้อย่างที่ทุกคนทราบนะว่าแทนที่จะทำหนังยี่สิบเรื่องแล้วทำหนังห้าเรื่องแล้วบัดเจ็ทที่มันสมน้ำสมเนื้อแล้วมันก็จะเกิดภาพยนตร์อย่างที่เขาอยากดูที่คาดหวังได้ เกิดขึ้นมากขึ้นกับปัจจุบันนี้ นี่คือจุดหนึ่งสำหรับผมนะครับ อีกจุดหนึ่งของผมก็คือ ผมรู้สึกว่าตอนนี้ผมรู้มากไป วันแรกที่ทำหนัง เรื่องที่หนึ่ง เรื่องที่สอง เรื่องที่สาม มันไม่ค่อยรู้อะไรมาก ไม่ค่อยแคร์ใคร สดมาก นาอีฟว์มาก แล้วก็อยู่กับหนังอยู่กับไอเดียอยู่กับตรงนี้แล้วมันเวิร์คเพราะผมไม่แคร์อะไร
-อนาคตของหนังตลาด พี่ปรัชมองว่าอย่างไร?
ปรัชญา: เหมือนมีโจทย์ที่ยากมากขึ้นก็รู้สึกว่ามันท้าทาย ชอบท้าทายกับโจทย์ยากๆ ยังสนุกอยู่ แล้วก็อายุก็มากขึ้นไม่รู้ว่า เคยเห็นคนอายุมากๆ บางทีไฟเขาหาย เอ๊ะแล้วเราจะหายไหม อยู่ๆตื่นมาแล้วหายไหม กลัวเหมือนกัน แต่หัวใจเรามั่นใจว่าจะไม่ยอมหาย เราจะทำให้คำดูต้องมาดูหนังเราให้ได้ ต้องให้มันสำเร็จให้ได้ เรามั่นใจ
-สองสามปีนี้มีคำถามนี้ไหมว่า ใครก็ไม่รู้มาทำหนัง หนังไทยที่บอกว่าทำหนัง เล็กๆ สเกลเล็กๆ ออกมาเยอะมาก ใครบ้างก็ไม่รู้ ซึ่งหน้าตาแปลกๆ ที่เป็นคนทำหนัง ตรงนี้มันเหมือนกันไหม ที่เรียกว่าเป็นฟองสบู่ สภาพที่ว่าใครก็ได้มาทำหนังตอนนี้?
ปรัชญา: ไม่เหมือน ตอนนี้มันเป็นโอกาส มันเป็นยุคดิจิทัล เป็นยุคที่การทำหนังง่ายขึ้น แต่อีกมุมหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมหนังไทยมันเริ่มโต แต่มันโตในทางที่มันจะเป็นแล้วแหละ คือพวกหนังนอกกระแส หรือคนที่อยากจะทำหนังแล้วก็อาจจะไม่ได้เข้ามาในระบบ เขาก็สามารถทำได้ ก็สามารถมีโรงหนังฉายได้ ก็ถ้ามีโอกาสแสดงงานได้ คนดูก็มีโอกาสเลือกมากขึ้น นั่นคือของจริง ซึ่งยุคนี้ยุคดิจิตอล หนังดิจิทัล ทีวีเป็นดิจิทัล
นนทรีย์: ต้นทุนต่ำลง ซึ่งสำหรับผม ผมว่าดีนะ เป็นนิมิตรหมายที่ดีที่จะมีหนังนอกกระแสมากขึ้น ทำให้หนังไอเดียใหม่ๆมันสามารถที่จะถูกผลิตขึ้นมา ก็ต้องไม่ลืมนะว่าเราถึงวันนี้ ก็จะมีคนห้าคนเท่านั้นเองที่จะรีไรท์หนังให้ได้ทำหรือไม่ได้ทำ ซึ่งถามผมจริงๆมันน้อยไป มันน้อยไปมันน่าจะมีสตูดิโอมากกว่านี้ เพื่อที่จะมีมุมมองหรือทัศนคติที่หลากหลายก็นี้ ก็จะสังเกตได้ว่ามีสตูดิโออยู่แค่นี้ 4-5 อัน เพราะฉะนั้นเวลาที่มันเกิดอะไรใหม่ๆเกิดขึ้น เกิดหนังอินดี้ หนังนอกกระแสมากขึ้น เออ มันดีมันมีโอกาสให้คนที่อยากแสดงความคิด ซึ่งความคิดเขาอาจจะใหม่อาจจะดีกว่าเราด้วยซ้ำ ถ้าได้มีโอกาสทำหนังดีๆออกมา ส่วนมาก็จะได้รับผลตอบรับที่ดีจากเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศ อะไรก็แล้วแต่ เขาก็จะมีโอกาสขายเมืองนอกได้ เพราะต้นทุนเขาไม่สูงมาก เขาก็มีโอกาสรีครูทต้นทุนมันก็ง่ายมากขึ้น
-แต่สตูดิโอหนังไทยไม่โต เท่าที่มีอยู่ก็เหมือนล้มลุกคลุกคลาน มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ?
ปรัชญา: ตลาดเล็กลง
-เล็กลงหรือคะ เหมือนหนังไทยก็ขายได้ทั่วโลก ประเทศอะไรก็มาซื้อหนังไทย ทำไมมันถึงเล็กลง?
ปรัชญา: ตลาดในประเทศมันมีละเมิดลิขสิทธิ์เยอะ และก็มันทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนทำหนังมันเริ่มเข้าเส้นเสี่ยงมากเกินไป จนเกิดการเปลี่ยนแปลงกดดันและซีเรียสมากขึ้น จะใช้เงินก็ซีเรียสมากขึ้นเลยทำให้ไปกันใหญ่
นนทรีย์: เกร็งมากขึ้นด้วย แล้วก็ยกตัวอย่างพี่ปรัชต้องการทำหนังสักเรื่องหนึ่งเนี่ย เมื่อก่อนนี้คือบริษัทที่ทำดีวีดี ทำวีดีโอสมัยก่อนนี้เข้ามาซื้อหนังอย่างเบอร์พี่ปรัชอย่างนี้ เท่ากับว่าเรามีต้นทุนที่มาช่วยทุนหนังได้แล้วในจำนวนส่วนหนึ่งของต้นทุนหนัง แต่เดี๋ยวนี้รายได้สิบห้าล้านบาทมันหายไปแล้ว เพราะดีวีดีมันถูกฉายพร้อมกับโรงหนังเลย คือหนังฉายวันนี้เย็นนี้ก็มีดีวีดีเถื่อนออกขาย มันก็ทำให้รายได้ต่างๆอะไรต่างๆมันก็หายไปแล้วคนดูก็มีโอกาสมีทางเลือกในการเสพภาพยนตร์มากขึ้นหลายๆคนก็ไปโหลดตามอินเทอร์เนตได้อาจจะรอแป๊ปหนึ่งเท่านั้นเอง มันก็เลยทำให้รายได้ที่แท้จริงของหนังที่มันเคยเป็นมันหายไป แต่ถ้าถามว่า มันก็มีหนังที่ได้พันล้านได้สามร้อยล้านมันก็มีอยู่ แต่ว่าในจำนวนนั้นเมื่อสมัยนางนากฉาย ได้เงิน 150 ล้าน ผมรู้สึกว่าคนดูหนังไทยประมาณล้านคน ดูคนละร้อยบาทหรือแปดสิบบาท และจำนวนคำดูก็จะประมาณนี้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยจากสมัยนั้น มันก็จะอยู่ประมาณล้านคนเนี่ย รายได้มันมากขึ้นเพราะตั๋วหนังมันแพงขึ้น มันก็เลยรู้สึกว่า สตูดิโอต่างก็มีที่ยึดโยงกับจำนวนของโรงภาพยนตร์ด้วย ก็เคยทำหนังในราคาที่เหมาะสมกับภาพยนตร์ทีนี้ก็คืองบประมาณก็เล็กนิดเดียวหนังขนาดเล็กอย่างเดียว ผมว่าทำให้มาตรฐานภาพยนตร์คุณภาพก็ต่ำลง หลายๆอย่าง ถ้าถามผม ผมก็จะมองว่าทำให้ความนิยมของคนดูลดน้อยลง
-กลายเป็นว่าสตูดิโอพยายามกระจายความเสี่ยงด้วยการทำหนังเล็กสามเรื่องเพื่อที่บัดเจ็ทนั้นจะได้ลดลง?
นนทรีย์: ก็ไม่แน่ใจว่ามันถูกหรือผิด แต่ก็กลายเป็นว่า คุณก็จะมีแต่หนังสเกลนี้ เพราะหนังสเกลนี้มันก็ทำได้เท่านี้ มันก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้มากกว่านี้
-นี่อาจจะเป็นคำตอบหรือเปล่า ที่ตั้งคำถามว่าทำไมหนังที่เป็นตระกูลที่เราปลุกขึ้นมาได้แล้ว มันไม่สามารถที่จะยืนได้อยู่ระยะต่อเนื่องได้เลยแล้วคนก็จะกลับไปด่าว่าทำไมไม่มีหนังแบบนั้นอีก เพราะอะไร?
ปรัชญา: ผมขอตอบในแนวหนังแอ็คชั่น หนังมีหลายประเภทใช่ไหมครับ แต่หนังประเภทแอคชั่นและอีกบางประเภทมันต้องใช้เงินเยอะ ทางหนังมันต้องใช้เงินเยอะอยู่แล้ว เพราะถ้าผมเทียบกับหนังรัก มันไม่ต้องมีฉากพิเศษอะไรที่ต้องมีแอ็คชั่นอะไรต่างๆนาๆ มันก็ไม่ต้องใช้เงินเยอะ แต่ถ้าเป็นแอคชั่นมันต้องมีนู่นมีนี่ แต่ว่าแอ็คชั่นประเภทอะไรล่ะ แค่ขับรถไล่กันก็เอาและเงินก็ต้องมาแล้ว หรือต่อยกัน ต่อยกันธรรมดาคนก็ไม่เอา มันต้องต่อยกันบนนู้นบนนี้ มีเสี่ยงต่อยกันบนไฟ ทุกอย่างมันแพงขึ้น แพงขึ้นหมดเลย อย่างที่บอกว่าการเติบโตของการละเมิดลิขสิทธิ์ มันทำให้การถูกลิขสิทธิ์มันเล็กลงๆเรื่อยๆ มันทำให้มันสวนทางกับการลงทุนในหนังแอ็คชั่น หนังแอ็คชั่นก็ต้องหาความใหม่ ความแตกต่างเรื่อยๆ สมมติอย่าง Fast and Furiousแค่ขับรถไล่กันในภาคแรกๆ ภาคสุดท้ายนี้มันขับรถลงจากเครื่องบินเลยนะ มันจึงต้องมากขึ้นเรื่อยๆ เล่นกับความสนุกของคนดู ประสบการณ์คนดูมันไปขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราสู้ไม่ไหวหรอกครับ เพราะอย่างนั้นมันต้องกล้าที่จะลงทุนสูง พอไม่กล้าลงทุนมันก็เลย เพราะอย่างของเมืองนอกไม่ใช่ว่าขายได้แล้วจะซื้อกันตลอดมันก็ต้องดูเป็นเรื่อง แล้วเศรษฐกิจทั่วโลกมันก็แย่ลงด้วยการซื้อหนังมันไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน หนังไทยขายไม่ได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อนด้วย
นนทรีย์: แล้วอีกส่วนหนึ่งผมคิดว่า พี่ปรัชพูดถูกหมดเลย แต่อีกส่วนหนึ่งผมคิดว่า พอพี่ปรัชทำองค์บากสำเร็จ ทำคนก็หันไปทำองค์บาก พอหนังผีทำสำเร็จทุกคนก็ไปทำหนังผี พอโรแมนติกคอมเมดี้ทุกคนก็หันไปทำโรแมนติกคอมเมดี้ ความหลากหลายในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มันจึงไม่เกิด วิธีคิดคือทุกคนเดินตามความสำเร็จของสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า มันมียุคหนึ่งจำได้ไหม มันมีหนังตลกออกมาต่อเนื่องติดๆ ทั้งมีภาพยนตร์ตลก แล้วก็มีพี่ๆที่เป็นตลกมาทำหนัง แล้วก็ตามๆกันไป ผมรู้สึกว่าไอ้การที่วงการภาพยนตร์มันไม่มีความหลากหลายในทางของชองภาพยนตร์ พอถามว่ามันหายไปไหน ก็เพราะอย่างนี้แหละครับ การที่คนอนุมัติหนังมีอยู่จำนวนไม่มากพอบางที่มันก็ทำให้การตัดสินใจลำบากตามไปด้วย นอกเหนือจากรายได้ที่มันหดหายไปจากการละเมิดลิขสิทธิ์แล้วก็ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่เขาไม่อยากเสี่ยง
-ตอนนี้หนังไทยมีสตูดิโอใหญ่ไม่กี่ค่าย อย่างสหมงคล ฟิล์ม อาจจะใหญ่สุด คำถามคือทั้งสองคนมีประสบการณ์ทำหนังมีสตูดิโอให้ทุนแบบนี้ เรื่องไหนที่เราคิดว่ามันเป็นจุดที่น่าสนใจ?
นนทรีย์: ผมว่าข้อหนึ่งที่สำคัญก็คือผมได้ทำหนังที่ผมอยากทำ ถือว่าผมโชคดีตรงที่เราไม่ต้องทำอะไรที่ถูกคนสั่งให้ทำ อันนั้นอันที่หนึ่งซึ่งสำคัญมากสำหรับผม ว่าเราอยากทำอะไรอยากเล่าอะไรก็มีโอกาสได้ทำได้เล่า ซึ่งบางเรื่องก็ใช้เงินเยอะแต่เราก็ยังมีโอกาส เขายังให้โอกาสเราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ ได้สานฝันของตัวเองได้สำเร็จ อันที่สองคือความเป็นสหมงคล ฟิล์มเขาไม่ค่อยยุ่งกับผม ยุ่งนี่หมายถึงว่า ไม่ได้เขามาแทรกแซงอะไรผมมาก ผมก็มีโอกาสทำอะไรได้เต็มที่ ยังคงลายเซ็นของตัวเองคงวิธีคิดของตัวเองอย่างครบถ้วน ซึ่งผมรู้สึกว่าตรงนี้เป็นสองเรื่องใหญ่ๆของการทำหนังเลยนะ ว่าเรายัง เรายังมีโอกาสทำในสิ่งที่เราฝัน แล้วก็ทำฝันนั้นอย่างเต็มที่ ไม่ค่อยได้มีอะไรเข้ามาเปลี่ยนแปลงหรือรบกวนขณะที่เราทำงาน ผมว่าตรงนี้เป็นจุดสำคัญกับการทำงานกับสหมงคลฟิล์มแล้วเป็นสองจุดใหญ่ๆที่โอเค
ผมยกตัวอย่าง หนังเรื่องเดอะเลตเตอร์เชื่อไหมว่า คุณสมศักดิ์กับผู้กำกับไม่เคยเจอกันเลยจนกระทั่งหนังฉาย วันที่เปิดตัวเขาถึงได้เจอกัน นั่นหมายถึงว่าการดูแลควบคุมการทำหนังมันอยู่ในมือของโปรดิวเซอร์ได้เต็มที่จริงๆ นี่คือตัวอย่างว่าวันที่เขาไม่ยุ่งเขาก็จะไม่ยุ่งเลย เขาก็ปล่อยให้เราทำงานนั้นได้ตามที่เราคิดไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่คิดว่า ก็เป็นตัวเราดี ถึงจะหลังๆจะมีข้อจำกัดในเรื่องของการทำงาน ในแง่ของบัดเจ็ทบ้าง แต่เราก็ยังแมนเนจมันได้อยู่ ในแง่ของโปรดิวเซอร์ มันก็ต้องแมนเนจได้ว่าเราจะใช้สตางค์เท่าไหร่ แล้วมันก็จะมีหลายวิธีที่เขายอมให้เราทำ ยอมให้เราไปหาโปรดิวเซอร์เพิ่ม มันก็ทำให้เรามีหนทางในการที่เราจะหาบัดเจ็ทมาใส่ในหนัง เพื่อให้มันได้มาตรฐานของภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ก็เป็นจุดที่ทำให้เราทำงานแล้วเราก็ได้ทำงานอย่างที่เราอยากทำจริงๆ
ปรัชญา: สหมงคลฟิล์มก็คือเสี่ยเจียงก็คือคุณสมศักดิ์(เตชะรัตนประเสริฐ) ถ้าพูดถึงคนนี้แทบจะเป็นคนเดียวกันเลย ในยุคก่อนที่ผมเริ่มมาทำกับเสี่ยเจียงครั้งแรกตอนนั้นหนังไทยแทบไม่มีกันเลย ค่ายหนังน้อยมาก และก็รู้สึกว่าเสี่ยเจียงเป็นคนรักหนังมากๆเลย ผมเคยคุยกับเฮียฮ้อ เคยคุยกับอากู๋ แล้วพอคุยกับเสี่ยเจียงแล้วรู้สึกว่ามันมีเรื่องหนัง แล้วพอคุยกับเฮียฮ้อกับอากู๋มันมีเรื่องเพลงเยอะ เพราะอย่างนั้นจึงรู้สึกว่าเสี่ยเจียงเป็นคนตรง เป็นคนที่อะไรก็เป็นหนังๆ ถึงแกจะไม่ได้เรียนมาแต่แกใช้ชีวิตทั้งชีวิตมากับภาพยนตร์ทำให้คุยกันรู้เรื่อง ผมว่าเขามีการตลาดของเขาเลย เขารู้เลยว่าหนังอะไรขายไม่ขายเขาผ่านการเหมือนการจัดการในการฉายหนังที่เคยเป็นผู้จัดการโรงหนังมาหลายปี เขาจะรู้ว่าหนังอย่างนี้ได้ตังค์แน่ๆ ง่ายๆเลย เราคุยกันก็เลยเก็ท แล้วก็อิสระเวลาคุยกัน พอถึงเวลาทำแกก็ปล่อยให้เราทำ คือก็ให้อิสระในการทำเต็มที่ แล้วก็พอผมสวมหมวกเป็นโปรดิวเซอร์ แกก็ไม่มายุ่งถึงผู้กำกับเลย ก็ไว้วางใจให้เราดูแลหนัง ทำไปเลย ขอเพียงแค่ว่าคุยกันให้รู้เรื่องว่าจะทำเรื่องเกี่ยวกับอะไร แล้วก็ในมุมเสี่ยก็คงมองว่าเรื่องนี้มีจุดขายอย่างไร และควรลงทุนแค่ไหน เขาคงประมาณการไว้แล้วว่าจะได้เงินประมาณเท่าไหร่ บางครั้งบางเรื่องผมชอบตรงที่ว่าบางเรื่องผมไม่คิดว่าแกจะทำด้วยซ้ำแต่แกก็ทำ ก็โอเค เหมือนแกพูดว่าปีๆหนึ่งแกทำหนังหลายเรื่องปีหนึ่งสิบกว่าเรื่อง มันไม่จำจะต้องได้เงินทุกเรื่องหรอก แต่บางเรื่องก็ทำเพื่อให้มันมี ซึ่งบางเรื่องมันไม่ใช่หนังถูกทางของเสี่ยเจียงเลย ของคงเดช สมัยทำเรื่อง เฉิ่ม เรื่องสยิว หนักกว่าอีก ผมไม่รู้ว่าแกจะทำซึ่งแกก็ทำ ผมรู้สึกว่าสหมงคลฟิล์มเป็นที่ผลิตหนังได้หลากหลายแนวมากๆ คือวาไรตี้มากๆ แล้วก็ผมว่าเขาเป็นแรงกระเพื่อมของวงการหนังไทยเลย
-ถามเรื่องแพล็ตฟอร์มใหม่ๆยุคดิจิทัล คนทำหนังได้คิดเผื่อตรงนั้นไหมในแง่มีทีวีดิจิทัลมากขึ้นแล้วแทนที่เราจะไปพึ่งโรงอย่างเดียวแล้วเราก็ไปพึ่งช่องทางอื่น?
ปรัชญา: มีๆ ตอนนี้ผมสนใจอยากทำหนัง VR (Virtual Reality film) แต่เราเป็นคนทำหนัง ไม่ใช่คนทำธุรกิจ มันยากตรงที่ต้องหาคนทำธุรกิจตัวนี้ยังไง หรือเขาคิดเหมือนเราไหม มันท้าทาย ผมก็กลัวเหมือนกันว่าวันหนึ่งคนจะเลิกดูหนังในโรง แต่ว่า แต่เราอาจจะตายก่อนวันนั้นมาถึงก็ได้ ยังไงก็คิดว่ายังสุดท้ายคนก็ต้องการความบันเทิง โดยเฉพาะการเล่าเรื่อง จากสมัยโบราณ มาเล่าปากเปล่า จนมาหลากหลายรูปแบบ อนาคตมันกลายจะเป็นยังไง แต่คนก็ต้องการเล่าเรื่องอยู่ดี
นนทรีย์: แต่หนังได้เปรียบนะเวลาอยู่ในโรงหนัง คือคุณมาดูอยู่ในห้องมืดๆสองชั่วโมง ยังไงคุณก็ต้องดูเรา ทำความเข้าใจปะติดปะต่อ ทำความเข้าใจว่า หนังมันเป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ในขณะเดียวกันพอพูดถึงมีเดียที่เป็นทีวี คนดูหนังไปเลี้ยงลูกไปรีดผ้าไปกินข้าวไป มันตัดไป ผมเลยรู้สึกว่า ภาพยนตร์มันมีความยิ่งใหญ่ของมันในระดับหนึ่งซึ่งไม่อยากให้มันหายไปจากโรง มันต้องมีวิธีการจัดการที่อะไรสักอย่าง
ปรัชญา: บางคนอาจจะมีแบ่งประเภทไปอีกประเภทหนึ่งว่าหนังประเภทนี้ฉายโรงเท่านั้น หรือหนังฉายโรงจะต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น
นนทรีย์: เป็นไปได้ ก็เหมือนกับโรงละครแห่งชาติ ถ้าจะดูโขนก็ต้องไปดูที่นี่ ถ้าจะดูโขนใหญ่ๆนะ ถ้าดูโขนเล็กๆอาจจะดูตามมหาลัย เหมือนโรงละครทั้งหลาย
-แต่ไม่แน่ก็ได้นะ คือคนอาจจะไม่ไปดูโรงหนัง แต่คนจะมีโรงหนังของตัวเองในบ้าน เพราะเทคโนโลยีก้าวหน้ามาก?
นนทรีย์: เขามีมานานแล้ว เรื่องยิงดาวเทียม เขาพูดกันมานาน ที่แบบว่าส่งหนังยิงตรงมาฉายที่บ้านเลย คนดูจ่ายสตางค์ ( จ่ายผ่านบริการออนไลน์ พวกไอ-สโตร์ ทั้งหลาย) ดาวน์โหลดเอาเลย ซึ่งเดี๋ยวนี้คนเขาก็ทำกันทั้งนั้น หลายคนก็นั่งดูหนังอยู่ในไอแพด ไปโหลดซีรีส์เสียตังค์สองสามเหรียญดอลลาร์ แถมมีซับไตเติลให้ด้วย แต่อย่างพี่ปรัชว่า มันอาจจะทำให้สเกลของภาพยนตร์กลับมาก็ได้นะครับ คือแทนที่มันจะทุนแค่สิบล้านบาท อย่างที่บอก คราวนี้สามสิบล้านบาท ก็จะกลับมาก็ได้นะเพื่อจะให้ได้ Quality ที่มันจะได้ฉายโรงและสเกลนี้มันได้ลงไปอยู่ในไอแพดด้วย
ปรัชญา: ในโซเชียลฯ ประโยคนี้เริ่มมีนะ บอกว่าสำหรับเรื่องนี้ต้องดูในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
-ที่พูดกันมาเห็นจุดอ่อนของวงการหนังไทยเยอะ อยากให้ทั้งสองคนคอมเม้นท์ว่าจุดแข็งจริงๆของหนังไทยมีอะไร ที่ยังไงเราก็ต้องเดินต่อไปได้?
นนทรีย์: วิธีคิดครับ คือผมเวลามีน้องๆมาเสนอบทหรือมาคุยเรื่องบท หรือคุยเรื่องหนังที่เขาอยากทำ ถ้าเป็นน้องๆรุ่นใหม่จะมีความเป็นฝรั่งเพราะคงดูหนังเยอะ แต่ผมยังเชื่อเสมอว่าความเป็นไทย เป็นสิ่งที่คนอยากดู คือพูดง่ายๆว่าผมทำหนังให้คนไทยดูแล้วมันจะส่งผลให้กับต่างชาติเอง คือเขาไม่ได้อยากดูหนังที่มีวัฒนธรรมของเขาหรอกเขาจะอยากดูหนังที่เป็นวัฒนธรรมของเรา วัฒนธรรมมันไม่ได้ความว่า รำ ไม่ได้หมายความว่าโขน วิธีคิดของเรา เราคิดไม่เหมือนคนอื่น Thailand only มันเป็นเรื่องจริง คือเราต้องทำหนังที่มันเป็น Thailand only จริงๆ คือหนึ่ง มันไป touch กับความรู้สึกของคนดูคนไทย แล้วสองมันก็ได้เรื่องแบบ exotic ในแบบไทยๆ เฮ้ยแบบมึงคิดเรื่องนี้แบบนี้หรอวะ มันคือ Thailand only จริงๆ แล้วเราควรจะทำอันนี้ให้คงอยู่ เพราะวัฒนธรรมของเรามันไม่เหมือนใคร วัฒนธรรมของครอบครัวก็ตาม เมื่อเกิดอะไรขึ้นทุกคนจะมองแบบเรามอง ไม่มีใครมองตรรกะแบบฝรั่งเหตุและผล บางทีมันไม่มีใครมองอะไรแบบนั้น ก็จะมองแบบถึกๆแบบเรานี่แหละ ผมรู้สึกว่าความเป็นเรานี่แหละน่าสนใจที่สุด แล้วก็มันก็จะไปกระทบความรู้สึกของคนดู ไปสั่นสะเทือนของคนดูไทยๆของเราได้มากกว่า
ปรัชญา : ผมมองว่าเรื่องโปรดักชั่น เราโอเค เราเก่ง แต่ว่ามันไม่เป็น จะเรียกว่าจุดแข่งมันก็ไม่เป็นตัวทำให้หนังมันโต การโตจริงๆมันกลับไปตรงวิธีคิดนั่นแหละ วิธีคิดของเราทุกวันนี้ผมก็มองเป็นจุดอ่อน แต่มันก็ต้องเป็นจุดแข็งถ้ามันโดน แต่ปริมาณที่มันโดนมันน้อย แต่ผมก็เชื่อว่าทุกประเทศ ความเป็นตัวตนของทุกประเทศมันเป็นจุดแข็งของทุกประเทศ จิตวิญญาณ หนังที่ตอบเข้าถึงจิตวิญญาณเขาได้มันต้องเป็นหนังของเขาเท่านั้น ต่อให้เปลี่ยนบทเก่งแค่ไหนมาทำหนังไทย หนังไทยที่ทำมันเข้าไม่ถึงจิตวิญญาณหรอก ต่อให้ดีมหาศาล จิตวิญญาณของเขาไม่ถึงเรา เหมือนเราเหมือนกันอยู่ๆแล้วไปทำหนังให้ประเทศอื่น แล้วถ้าไปทำเนื้อหาที่ต้องเขาถึงจิตวิญญาณเขา เป็นผมผมไม่กล้าทำเพราะว่าเราไม่ได้เข้าใจอย่างเขาหรอก เพราะฉะนั้นทุกประเทศจะมีหนังจุดแข็ง มันคือความเป็นตัวตนของแต่ละประเทศรวมทั้งบ้านเราด้วย
..........................................
-จากการแถลงข่าวกรณีภาพยนตร์ อาบัติ โดนแบน
กรณีหนังไทยกับปัญหาการถูกแบนและมีเรท “ห้ามฉาย” ?
ปรัชญา: ผมพูดหลายครั้งแล้ว ในเรื่อง(การถูกแบน) ว่าคนทำหนัง คนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เรามองเห็นจุดโหว่ของเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว ในเรื่องกฏหมาย เรื่องขั้นตอนที่ให้กรรมการมาพิจารณาก่อนจะปล่อย(หนังออกฉาย) การพิจารณาในแง่การให้เรทติ้งนี่มันไม่ใช่ปัญหาหรอก มองตรงกันหรือไม่ตรงกัน สุดท้ายมันก็จัดเรทออกไป (ได้ฉาย)แต่เรทที่มีปัญหาก็คือ เรท 20 (ผู้ชมต่ำกว่า 20 ปีควรมีผู้ปกครองแนะนำ) และเรทแบน ซึ่งอันหลังมันเป็นปัญหา เพราะมันคือความขัดแย้งขั้นสูง (ระหว่างคนทำหนังกับกรรมการจัดเรท) และถ้าเราตีความตามกฎหมายรัฐธรรมนูญว่า คุณเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ คุณไม่มีสิทธิที่จะมาละเมิดสิทธิในการรับชมของประชาชน ซึ่งประชาชนไม่รู้ตัวว่าเราถูกละเมิดสิทธินี้มาโดยตลอดในหลายปีมาแล้ว และทางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็ต่อสู้มานาน และก็เคยบอกกันแล้วว่าสักวันหนึ่งก็ต้องเกิดปัญหาแบบนี้







