‘ชุมพร’ ไม่ใช่แค่ทางผ่าน

‘ชุมพร’ ไม่ใช่แค่ทางผ่าน

เมื่อชีวิตที่เร่งรีบทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า การหันหน้าเข้าหาธรรมชาติ ท้องฟ้า ท้องทะเล น่าจะเป็นวิธีที่ใครหลายๆ คนเลือก

ทว่าสถานที่สวยๆ ชิลล์ๆ สำหรับหลีกหนีความวุ่นวายไม่จำเป็นต้องอยู่ไกลแสนไกล...


...................


ประตูสู่ภาคใต้อย่าง ‘ชุมพร’ เมืองที่หลายคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เป็นอีกเมืองที่มีมุมสงบให้เราซุกตัวได้อย่างสบาย ออกจากฝั่งก็มีเกาะน้อยใหญ่เกือบ 50 เกาะ ธรรมชาติใต้น้ำยังคงสมบูรณ์สวยงาม วิถีชีวิตเรียบง่ายของชุมชนท้องถิ่นเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่บอกว่าเมืองนี้มีอะไรมากมายกว่าที่จะเป็นแค่ทางผ่าน


วิถีประมง ‘คลองบางสน’


การเดินทางตามรอยความเงียบสงบของเราเริ่มต้นขึ้นที่อำเภอชายฝั่งทะเลอย่างอำเภอปะทิว เพื่อล่องเรือชมธรรมชาติและสัมผัสวิถีประมงชายฝั่ง ซึ่งเป็นการทำประมงขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มีเรือประมงขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชัง เช่น ปลากระพงขาว ปลาเก๋า และกุ้งทะเล


บริเวณชุมชนคลองบางสนรายล้อมด้วยธรรมชาติ ป่าไม้ และระบบนิเวศน์ป่าชายเลน "กลางคืน เป็นบริบทของหิงห้อยประมาณเดือนที่แล้วกับเดือนนี้เยอะมาก ส่วนกลางวัน น้ำแห้งเราก็มีกิจกรรมหาหอย ที่เรียกว่าหอยภูกัน ซึ่งเป็นหอยเศรษฐกิจ และนกป่าชายเลนที่มีเยอะคือ นกกาน้ำ เพราะป่าชายเลนที่นี่ค่อนข้างสมบูรณ์ อีกอย่างกาน้ำสามารถดำน้ำได้นาน เป็นศัตรูกับกระชังกุ้ง” สมโชค พันธุรัตน์ ประธานกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนคลองบางสน ให้ข้อมูล ก่อนจะใช้เรือประมงเป็นพาหนะนำเรามุ่งหน้าสู่ปากอ่าวคลองบางสน


เช้าๆ อากาศสดใส มีนกหลากหลายสายพันธุ์ให้เห็น และฝูงลิงลงมาหาอาหารตามแนวชายคลอง มีต้นโกงกาง ต้นลำพู ต้นจาก เป็นป่าธรรมชาติให้สัตว์ได้อยู่อาศัยและคนได้ใช้สอย คุณลุงสงคราม ศิลปะเสวต ผู้ที่คนในชุมชนยกให้เป็นปราชญ์ชาวบ้าน ชี้ไปที่ดงจากพร้อมเล่าให้ฟังว่า


“ต้นจากประโยชน์เยอะ ใบแก่เอาไปทำหลังคาทำฝาบ้าน คนจนๆ อย่างเรา ไม่มีเงินไปซื้อกระเบื้องก็ได้ใบจากนี่แหละมาทำบ้านเรา ใบอ่อนยังใช้ห่อยาสูบได้ โดยลอกใบจากออกเป็นแผ่นบาง ตากแห้ง ตัดให้พอดี ใช้มวนยาสูบ ไม่ต้องไปซื้อเขา”พูดจบคุณลุงยกใบจากห่อยาสูบที่มีอยู่เต็มถุงขึ้นโชว์ 

ตอนแรกนึกสงสัยว่าคนที่นี่เขาปลูกเองหรือเปล่า ริมสองฝั่งคลองมากมายด้วยดงจาก จึงหันไปถามแล้วคำตอบที่ได้คือมันขึ้นเองตามธรรมชาติ จากนั้นพี่สมโชคจอดเรือเทียบดงจาก หยิบมีดอีโต้แล้วโดดหายเข้าไปเกือบ 10 นาที กลับออกมาพร้อมจากทลายโต นำขึ้นมาให้คนบนเรือได้ลองชิมกันสดๆ เนื้อใน ขาว ใส นุ่ม มีรสหวาน ถ้าไปทำลูกจากลอยแก้วคงจะอร่อยชื่นใจดี


เดินเรือต่อจนถึงปากอ่าวบางสน พี่สมโชคบอกว่าจุดเด่นของปากอ่าวที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสคือ วิถีชีวิตคนเล ประมงชายฝั่ง "เช้ามีเรือสาวปู จุดนี้จะไม่มีกระชัง กระชังจะอยู่ในคลอง ตอนล่างเป็นน้ำเค็ม ขึ้นไปข้างบนเป็นน้ำกร่อย ทางชุมชนเราร่วมกับกรมสรรพาวุธทหารเรือจัดเป็นโครงการมัจฉาสตรีทขึ้นด้วยนำซากรถมาสร้างบ้านให้ปะการัง และเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เพื่อดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเลไว้อย่างยั่งยืน และเป็นที่ให้นักท่องเที่ยวได้ดำน้ำดูปะการัง โดยในชุมชนเราจะมีกลุ่มเรือ มีการจัดคิวให้เหมาะสมกับลูกค้า ถ้ามีกลุ่มใหญ่ใช้เรือใหญ่ ราคาอยู่ที่ 1,000 บาท นั่งได้ไม่เกิน 20คน เรือเล็กนั่งได้ไม่เกิน 10 คน ล่องไปกลับ ประมาณ 40 นาที ไม่ไกล ก่อให้เกิดรายได้ต่อชุมชนด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์”


ข้อดีของการใช้เรือประมงเป็นเรือนำเที่ยวคือ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงวิถีวัฒนธรรมได้อย่างเต็มที่ และถ้าใครกังวลว่าจะทำให้ชุมชนเปลี่ยนไป ก็ขอให้สบายใจได้ เพราะคนที่นี่ยืนยันว่าพวกเขารู้ดีว่าจะนำพาตัวเองไปในทิศทางไหน และสร้างความประทับใจด้วยการถ่ายทอดสิ่งที่ได้รับมาและส่งคืนกลับสู่ธรรมชาติ เพียงแค่กินหรือใช้อย่างรับผิดชอบก็ปกป้องทะเลได้ ไม่แค่เป็นประโยชน์แก่ลูกหลานของตัวเอง แต่ยังนึกถึงคนไกลอย่างบรรดานักท่องเที่ยว เพื่อให้เราได้ชื่นชมความสมบูรณ์นี้ไปด้วยกัน


ได้นั่งเรือชมธรรมชาติ วิถีประมงชายฝั่ง ฟังเรื่องเล่าของชาวบ้าน รู้สึกหัวใจเต้นเป็นจังหวะแบบสโลว์ๆ ไม่นานเราก็มาขึ้นฝั่งที่ บ้านไม้ชายคลอง โฮมสเตย์ ที่นี่มีผลไม้และขนมหวานเตรียมไว้ให้ แต่ละคนต่างหามุมสงบของตัวเอง เรานั่งหย่อนขาทานขนมอย่างเพลิดเพลิน ใต้ถุนนั้นน้ำใสจนเห็นตัวปลา นั่งอยู่สักพักปลาเสือก็พ่นน้ำใส่เท้า คงจะคิดว่าเป็นเหยื่อของมัน เพราะแกว่งไปแกว่งมา พอรู้แบบนี้ก็ยิ่งแกว่งขาไม่หยุด สนุกสนานกันไป แต่น่าเสียดายเราไม่ได้พักที่นี่ ต้องออกเดินทางสัมผัสธรรมชาติกันต่อ


ชมนกชมไม้ ยลโลกใต้ทะเล


จากคลองบางสนขับรถมาไม่ไกลมากนักก็จะถึงสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่คนชุมพรบอก “ต้องห้ามพลาด” ทันทีที่รถจอดสนิทบริเวณจุดบริการนักท่องเที่ยว สิ่งแรกที่ปะทะสายตาคือ รูปปั้นเหยี่ยวตัวใหญ่กางปีกต้อนรับเคียงคู่ป้าย “จุดที่ใช่ เขาดินสอ” จากนั้นเราต้องเดินขึ้นยอดเขาระยะทาง 900 เมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ช่วงแรกเส้นทางชัน แต่ได้มีการปรับปรุงให้เดินสะดวกมากขึ้น


สองข้างทางเขาดินสอแวดล้อมด้วยพรรณไม้พื้นเมือง เส้นทางนี้เหมาะแก่การมาศึกษาธรรมชาติ มีจุดพักเป็นระยะให้ชมวิวทิวเขาและทะเลจนหายเหนื่อยแล้วค่อยเดินต่อ เจ้าหน้าที่บอกว่า เขาดินสอเป็นจุดที่เอื้ออำนวยต่อการเฝ้าดูฝูงเหยี่ยวอพยพมากที่สุด เนื่องจากตั้งอยู่ในบริเวณส่วนที่แคบที่สุดบนคาบสมุทรมลายู ด้านทิศตะวันตกมีเทือกเขาตะนาวศรีทอดตัวในแนวเหนือจรดใต้ ลักษณะเหมือนคอขวด ทำให้ฝูงเหยี่ยวต้องบินผ่านพื้นที่แคบ จึงเห็นเป็นฝูงสวยงาม


เหยี่ยวจะบินอพยพย้ายถิ่นมาจากรัสเซีย จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และฮ่องกง บินลงมาทางตอนใต้เพื่อมาหาดินแดนอันอบอุ่นและแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์ในช่วงที่ถิ่นฐานเดิมนั้นหนาวเย็น การอพยพเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน แต่จะอพยพมามากในช่วงต้นเดือนจนถึงปลายเดือนตุลาคม แสงแดดอ่อนในยามเช้า 8.00 – 11.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการดูฝูงเหยี่ยวอพยพ นอกจากเหยี่ยวหลากหลายสายพันธุ์แล้ว ถ้าโชคก็อาจได้พบกับ นกอินทรีย์ ซึ่งหาดูได้ยากในบ้านเรา นับว่าเป็นช่วงเวลาพาเพลิน วิวก็ดีแถมมีนกมากมายให้ได้เก็บภาพ ซึ่งหนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว


หลังจากชมนกชมไม้กันอย่างจุใจแล้ว ก็ถึงไฮไลท์ที่หลายคนรอคอย โลกใต้ทะเลชุมพรได้ชื่อว่าสวยงามไม่แพ้ที่ไหน เราจะได้ไปดำน้ำดูปาการังกันที่ หมู่เกาะง่าม


ออกจากฝั่งมาสักพัก น้ำทะเลสีฟ้าครามยิ่งสะท้อนกับแสงแดดระยิบระยับสุดสายตา บริเณหมู่เกาะง่าม แม้จะไม่สามารถขึ้นไปพักบนเกาะได้ ด้วยลักษณะหินผาชัน ไม่มีหาดทราย และเป็นสถานที่สัมปทานรังนกนางแอ่น จึงมีแต่กระท่อมของคนเฝ้ารังนกเท่านั้น แต่บริเวณโดยรอบของเกาะง่ามน้อยและเกาะง่ามใหญ่ สามารถดำน้ำดูปะการังได้อย่างสบาย ซึ่งเป็นจุดที่เราจะลงดำดูดงดอกไม้ทะเล ปะการังเขากวาง ปะการังสมอง ฝูงปลาน้อยใหญ่ น้ำทะเลยามนี้มองผ่านร่องหินใต้น้ำดูมีมิติสวยงาม เหมือนหยุดเวลาไว้ทุกทีเมื่ออยู่ในโลกใต้น้ำ ส่วนใครจะดำน้ำลึกหรือสน็อกเกิ้ล สามารถเลือกได้ตามความต้องการของแต่ละคน


ดำผุดดำว่ายกันจนพอใจแล้วก็ถึงเวลาไปชมความสวยงามอันน่ามหัศจรรย์ที่เป็นดั่งประติมากรรมธรรมชาติ หินผานี้มีลักษณะคล้ายฝ่ามือ เรียกกันว่า “ฝ่ามือพระพุทธเจ้า” อยู่ในบริเวณเกาะง่ามใหญ่นี้เอง ชื่อนี้ตั้งขึ้นจากความนับถือของชาวบ้าน โดยมีเรื่องเล่าขานถึงความศักสิทธิ์ว่า เมื่อครั้งมีพายุขนาดใหญ่ผ่านมาถึงจุดนี้กลับกลายเป็นพายุขนาดเล็กลง ในหมู่ชาวประมงจึงเชื่อว่า รอยฝ่าพระหัตถ์พระพุทธเจ้าแห่งนี้คุ้มครองให้พวกเขารอดปลอดภัยจากพายุมาหลายต่อหลายลูก จึงถือเป็นฝ่าพระหัตถ์ให้ชาวประมงได้หลบภัยจากพายุกลางทะเล ส่วนนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมาก็ให้ความนับถือไม่ต่างกัน จนกลายมาเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นิยมเป็นอย่างมาก เราจึงไม่พลาดที่จะอธิษฐานขอพรและถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก


หนึ่งวันกับการนั่งเรือสัมผัสวิถีชาวเล เดินขึ้นเขาชมนกชมไม้ และดำน้ำดูปาการัง แม้ว่าจะครบรสแต่ยังไม่ถือว่าครบถ้วนสำหรับการท่องเที่ยวจังหวัดชุมพร วันรุ่งขึ้นเราจึงเดินทางไปที่ หาดทรายรี เพื่อไปกราบไหว้สักการะและย้อนรอยประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ใครๆ มาชุมพรแล้วต้องห้ามพลาด อนุสรณ์สถานของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาในอาณาบริเวณหาดทรายรี


จุดที่ตั้งศาลสักการะบูชา เป็นหัวเรือหลวงจำลองหันหน้าออกทะเล เมื่อกราบไหว้ขอพรเสร็จเรียบร้อยแล้วแนะนำให้ยืน ณ บริเวณหัวเรือจำลองนี้แล้วกวาดสายตาจากขวาไปซ้ายจะเห็นหาดทรายรี เรือประมงจอดเรียงราย ท้องฟ้า น้ำทะเล เกาะน้อยใหญ่ ถือว่าเป็นจุดชมทัศนียภาพที่ชัดเจนและสวยงาม
บริเวณเชิงทางขึ้นมี เรือรบหลวงชุมพร ที่ปลดระวางเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2518 ซึ่งกองทัพเรือได้มอบให้ จ.ชุมพร นำมาจอดที่หาดทรายรีในปี พ.ศ. 2522 เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่บิดาแห่งทหารเรือไทย ที่พระองค์สิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ. 2466 ณ สถานที่แห่งนี้


ทิวทัศน์และศรัทธา ‘เขามัทรี’


เอ่ยถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนชุมพรนับถือ นอกจากกรมหลวงชุมพรที่เป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาแล้ว ยังมีเจ้าแม่กวนอิมที่ประดิษฐานบนเขามัทรี และพระธาตุสวีที่ใครต่อใครต้องหาโอกาสมาสักการะ


เขามัทรี ถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของเมืองชุมพร นักท่องเที่ยวคนไหนไม่ได้ขึ้นมาถือว่าพลาด ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเล 400 ฟุต จุดชมวิวที่นี่สามารถชมเมืองชุมพรแบบ 360 องศา ไม่ว่าจะเป็นชุมชนปากน้ำโบราณ หรือชุมชนปากน้ำใหม่ ขึ้นมาบนนี้นอกจากได้กราบไหว้ขอพรเจ้าแม่กวนอิม พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรแล้ว ยังสามารถดื่มด่ำบรรยากาศโดยรอบ หรือถ้าใครอยากฟินกว่านั้นสามารถเลือกไปนั่งจิบกาแฟถ้ำสิงห์ หรือจะทานรังนกแท้เพื่อสุขภาพก็ได้ ตรงนี้เป็นอีกมุมที่มองเห็นหาดภารดรภาพ เห็นโค้งน้ำทะเลตัดเส้นขอบฟ้า ยามพระอาทิตย์ตก แต่ละวันแสงสีจะแตกต่างกัน ยิ่งเย็นยิ่งโรแมนติก จึงกลายเป็นมุมยอดนิยมของทั้งนักท่องเที่ยว ช่างภาพ และคู่รักที่ขึ้นมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง


เจ้าของสถานที่ใจดีอย่างคุณตี๋บ้านนก หรือคุณฉลอง เป็นเจ้าของธุรกิจรับสร้างบ้านนกนางแอ่น และยังเป็นผู้ส่งออกรังนกบ้าน รายใหญ่ของจังหวัดชุมพร บอกกับเราว่า “ขึ้นมาตรงนี้ นอกจากได้ทานรังนกแปะก๋วยของตี๋บ้านนกแล้ว ยังได้ชมบรรยากาศ พูดได้ว่าเป็นบรรยากาศการทานรังนกน่าจะฟินที่สุดในเมืองไทย ได้ทั้งอาหารปากและอาหารใจ” และถ้าใครอยากรู้ถึงขั้นตอนต่างๆ กว่าจะมาเป็นรังนกสำหรับรับประทาน คุณตี๋ยังเปิดศูนย์เรียนรู้รังนกนางแอ่นขึ้นมา โดยสามารถเข้าชมได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย


หลังจากอิ่มเอมกับบรรยากาศบนเขามัทรีแบบเต็มอิ่มแล้ว เราเดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันต่อ ณ สถานที่ซึ่งถือว่าสำคัญมากกับเมืองชุมพร วัดพระธาตุสวี วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง วัดแห่งนี้มีเจดีย์ทรงระฆังตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมสองชั้น ฐานชั้นล่างกว้าง 8.50 เมตร ประดับด้วยรูปข้างโผล่ศีรษะและขาหน้าเสมือนค้ำเจดีย์ไว้ด้านละสามซุ้มสลับกับรูปยักษ์ถือกระบอง และประดับด้วยเสาหล่อหกต้น (เว้นต้นทิศใต้) บันไดทางขึ้นมีช้างเพียงสองซุ้ม มุมทั้งสี่ของฐานเจดีย์จำลองแบบเจดีย์ประธาน ฐานชั้นบนมีพระพุทธรูปปางสมาธิประทับนั่งในซุ้มด้านละห้าซุ้ม มุมทั้งสี่ของฐานเจดีย์ เป็นทรงระฆังคว่ำ เหนือขึ้นไปเป็นเสาหารก้านฉัตร บัวเถา ปล้องฉัตรเจ็ดชั้น บนสุดเป็นปลียอดและเม็ดน้ำค้าง จากเอกสารข้อมูลภายในระบุถึงลักษณะของพระบรมธาตุสวี ไว้อย่างชัดเจน


‘2544’ ไม่ใช่จะมาใบ้หวยงวดต่อไป แต่เป็นปีที่กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดที่ดินวัดพระบรมธาตุสวีเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ซึ่งถือว่ามีความเก่าแก่มากที่สุดในจังหวัดชุมพร สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยความเก่าแก่จึงต้องบูรณะอยู่หลายครั้ง ส่วนศาลพระเสื้อเมือง เดิมเป็นอาคารไม้ก่อเป็นโรงเรือนปิดทึบ อาคารของเดิมโครงสร้างหลังคาไม้ถูกปลวกทำลายจนหมดสภาพการใช้งาน ต่อมากรมศิลปากรร่วมกับวัดพระธาตุสวีได้บูรณะออกแบบอาคารใหม่ทั้งหมด เสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ.2539


มีตำนานกล่าวถึงประวัติการสร้างพระบรมธาตุสวีว่า เมื่อครั้งที่พระเจ้าศรีธรรมโศกราช แห่งนครศรีธรรมราช เสด็จยกทัพมานำรี้พลมาพักที่วัดแห่งนี้ ได้พบกาเผือกและกาฝูงหนึ่งเกาะอยู่บนกองอิฐกระพือปีกและส่งเสียงร้อง พระองค์ทรงให้รื้อกองอิฐที่ทับกันออกจากฐานเจดีย์ใหญ่เมื่อขุดลึกลงไปได้พบผอบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจึงให้แม่ทัพนายกองไพร่พลช่วยกันสร้างเจดีย์ขึ้นมาใหม่แทนที่เดิม แล้วจัดงานสมโภชเป็นการใหญ่ เจ็ดวันเจ็ดคืน จากนั้นพระราชทานชื่อว่า พระบรมธาตุกาวีปีก (วีปีกแปลว่า กระพือปีก) ต่อมาเรียกกันว่าพระบรมธาตุกาวี และได้เพี้ยนจนกลายเป็น สวี ในปัจจุบัน


มาชุมพรครั้งนี้ได้สัมผัสครบทุกรูปแบบ ใครรู้สึกเหนื่อยๆ ลองแวะมาเพิ่มพลัง รับรองว่าจะกลับไปด้วยร่างกายที่พร้อมจะเดินสวนกับความวุ่นวายได้อย่างเต็มที่