Prince Igor ศาสตร์-ศิลป์ของนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่

Prince Igor ศาสตร์-ศิลป์ของนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่

บทวิจารณ์โอเปร่าชิ้นสำคัญของ โบโรดิน



มีข้อมูลในตำราทางดนตรีบางเล่มกล่าวว่า ทุกวันนี้อุปรากรเรื่อง ‘เจ้าชายอิกอร์’ (Prince Igor)ของ อเล็กซานเดอร์ โบโรดิน (Alexander Borodin) ดุริยกวีโรแมนติกชาวรัสเซียนั้น ปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยมในการนำออกแสดงเท่าใดนัก (แปลว่าหาดูยาก?) เพราะไปเน้นที่การขับร้องเพลงกันเสียมากกว่าที่จะเน้นคุณค่าลักษณะของความเป็นละคร (Dramatic)

ผมเองไม่ค่อยกระจ่างชัดนักว่า คำว่า ‘คุณค่าความเป็นละคร’ ในที่นี้เขาครอบคลุมในบริบทที่กว้างขวางแค่ไหน? แต่หลังจากที่ได้ชมการแสดงอุปรากรเรื่องนี้ โดยคณะ Samara Academic Opera and Ballet Theatre อำนวยการแสดงโดย อเล็กซานเดอร์ อะนิสสิมอฟ (Alexander Anissimov) ณ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (การแสดงในเทศกาล International Festival of Dance and Music ครั้งที่17) เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ.2558 แล้ว ผมคิดว่าเราได้รับคุณค่าและข้อคิดหลายประการจากอุปรากรเรื่องนี้อย่างแน่นอน

เค้าโครงเรื่องที่หากเราอ่านจากเรื่องย่อแล้ว ก็คงไม่มีอะไรที่ชวนน่าตื่นเต้น (นี่อาจเป็นที่มาของคำว่า “คุณค่าแห่งความเป็นละคร”) หากแต่เมื่อเราได้ชมอุปรากรเรื่องนี้ในรายละเอียดแล้ว มันมีทั้งคุณค่าและข้อคิดมากมาย โดยเฉพาะบทเจรจาที่สะท้อนลักษณะความเป็นมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ กันเป็นอย่างดี และฉากบัลเลต์-คอรัสอันอลังการและจัดเป็นจุดสูงสุดของอุปรากรเรื่องนี้ก็มิใช่เป็นการอวดความอลังการแต่เพียงประการเดียว หากแต่มันยังเป็นการแสดงนัยการ ‘ข่มข้าศึกด้วยวัฒนธรรม’ อย่างมีนัยสำคัญ

เค้าโครงเรื่องมีอยู่เพียงแค่ว่า นี่คือช่วงเวลาหนึ่งแห่งการต่อสู้ชิงอำนาจและความขัดแย้งระหว่างชาวรัสเซียและชนเผ่าโพลอฟท์ซี (Polovtsi) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ซึ่ง เจ้าชายอิกอร์ผู้นำรัสเซียยกทัพออกไปต่อสู้กับชนเผ่าโพลอฟท์ซี ภายใต้การนำของ ท่านข่านคอนชาค (Khan Konchak) แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ปราชัยอย่างไม่เป็นท่า, บาดเจ็บและถูกจับเป็นเชลย สุดท้ายก็ลักลอบขี่ม้าหนีกลับสู่เมืองปูตีฟล์ (Putivl) ที่ตั้งมั่นของรัสเซียได้ในที่สุด ด้วยความมุ่งมั่นว่าจะรวบรวมสมัครพรรคพวกให้มากกว่าเดิมเพื่อที่จะกลับไปปราบปรามชนเผ่าโพลอฟท์ซีให้จงได้ เรื่องจบลงแบบไม่สมบูรณ์เช่นนี้ (เสมือนกับเรื่องแนวมหากาพย์ทั้งหลายที่ยังคงมีภาคต่อไปให้ติดตาม) เรื่องมีเท่านี้จริงๆ หากแต่ภายในระหว่างดำเนินเรื่องกลับมีนัยเชิงสัญญลักษณ์มากมายที่สะท้อนถึง ปรัชญาการปกครองให้สำเร็จราบรื่น,ความคิดแบบผู้นำที่ยิ่งใหญ่ หรือการประเมินคุณค่าของเพื่อนมนุษย์.........ฯลฯ

อุปรากรเรื่องนี้สะท้อนบุคลิกภาพของมนุษย์ในแต่ละรูปแบบ เจ้าชายอิกอร์ พระเอกของเรื่องที่ดูจะเชื่อมั่นในตนเองถือดีเสมือนว่าชนเผ่ารัสเซียภายใต้ร่มเงาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกนั้น เจริญและยิ่งใหญ่กว่าชนเผ่าโพลอฟท์ซีที่มองว่าเป็นเพียงเสมือนคนป่า,คนเถื่อนที่ไร้อารยธรรม(และไม่มีศาสนา!) ทั้งๆ ที่ก่อนออกเดินทัพมีลางบอกเหตุ เกิดสุริยคราสกะทันหัน ท้องฟ้ามืดมิดทันทีทันใดในยามกลางวันแสกๆ ผู้รู้,ที่ปรึกษาพากันตักเตือนว่าเป็นลางร้าย แต่เจ้าชายอิกอร์ก็ไม่ฟังคำทัดทานใดๆ นี่คือบุคลิกภาพแบบผู้นำที่มุทะลุดุดัน,เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปหรือไม่? การเป็นผู้นำและผู้ปกครองย่อมต้องมีศิลปะขั้นสูงในตัวเอง รู้จักทั้งความเด็ดขาด,การผ่อนปรนประนีประนอม,มีความสุขุมรอบคอบ และในกรณีนี้คุณสมบัติผู้นำอย่างหนึ่งอาจต้องมี ‘สัมผัสที่หก’ ที่แม่นยำด้วยหรือไม่? การฝืนออกเดินทัพทั้งๆ ที่เกิดลางร้ายบอกเหตุ อาจมองได้ว่านี่คือความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว,ไม่เชื่อโชคลางอันงมงาย แต่สุดท้ายก็ต้องแพ้ยับเยิน นี่อาจเป็นกรณีสอนใจเราได้หรือไม่ว่า ลางบอกเหตุบางอย่างนั้นอาจไม่ใช่ความงมงายเสียทีเดียว บางทีมันอาจเป็นสิ่งเตือนภัยที่เกิดขึ้นในหลายชั่วอายุคน จนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ประสบการณ์สั่งสม’ ที่มนุษย์ต้องยอมฟังคำเตือนจากธรรมชาติเหล่านี้ ลางร้ายบอกเหตุอาจเป็นสิ่งงมงายสำหรับหลายๆ คน(รวมถึงเจ้าชายอิกอร์) แต่ในอุปรากรเรื่องนี้(และบ่อยครั้งในประสบการณ์แห่งชีวิตจริง) ลางร้ายบอกเหตุก็ส่งผลการทำนายที่แม่นยำจนคนที่ไม่เชื่อแบบเจ้าชายอิกอร์ก็ต้องรับหายนะอันแสนสาหัสอย่างหลีกเลี่ยงได้ แต่ไม่หลีกเลี่ยงหรือไม่?คำตอบสุดท้ายแบบเบ็ดเสร็จสำหรับเรื่องแบบนี้ คงไม่มีให้ ณ ที่นี้ และเราก็คงไม่จำเป็นต้องขบคิดให้เสียเวลาอีกต่อไป

ฉากเจรจาระหว่างข่านคอนชาคกับเจ้าชายอิกอร์ในค่ายเชลย เป็นบทเจรจาที่สะท้อนถึงวิถีการเป็นนักปกครองที่ยิ่งใหญ่ได้ดีเยี่ยม นักปกครองที่เหนือชั้นด้วยประสบการณ์และจิตใจที่เปิดกว้าง, จริงใจต่อผู้อื่น ตามท้องเรื่องข่านคอนชาคดูแลเจ้าชายอิกอร์ (ที่ได้รับบาดเจ็บและเป็นเชลย)อย่างให้เกียรติและสุขสบาย การเดินทางมาเยี่ยมถึงในค่ายเกลี้ยกล่อมให้เจ้าชายอิกอร์มาเป็นแนวร่วม นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าเขารู้ดีว่าการรบที่ชนะราบคาบในสมรภูมิ ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย การซื้อใจ, การได้ใจจากฝ่ายตรงข้ามมาครอบครองต่างหาก คือชัยชนะอันแท้จริงและยั่งยืนกว่า มีบทเจรจาที่กินใจในหลายตอน เช่น "ท่านมิใช่นักโทษ หากแต่เป็นแขกที่ข้ารักยิ่ง” นี่คือคำกล่าวของผู้ชนะที่กล่าวต่อผู้แพ้ในสภาพเชลย เขายังยื่นข้อเสนอพร้อมมอบม้าฝีเท้าดีที่สุดและกระบี่คู่ใจให้แก่เจ้าชายอิกอร์ อีกทั้งกล่าวยอมรับในหัวใจอันเด็ดเดี่ยวของเจ้าชายอิกอร์ว่า แม้จะบาดเจ็บตกอยู่ในสภาพเชลย แต่กลับไม่แสดงอาการหวั่นกลัวใดๆ ต่อเขาเลย และกล่าวย้ำอีกว่า ตัวเขาเองไม่เคยรู้จักกับ “ความรู้สึกกลัว” เพราะในชีวิตเขาไม่เคยกลัวใคร ไปถึงไหนมีแต่คนกลัวข่านคอนชาคทั่วทั้งแผ่นดิน

บทเจรจานี้ให้อะไรแก่เรา นักรบที่ประสบแต่ชัยชนะอย่างข่านคอนชาคที่ไม่เคยแพ้ใคร เหตุใดต้องลดตัวตนเดินทางมาเจรจาเกลี้ยกล่อม,ยื่นข้อเสนอสิ่งบรรณาการอันเป็น ‘ของคู่ใจ’ อย่างม้าฝีเท้าดีที่สุดและกระบี่คู่ใจให้แก่เจ้าชายอิกอร์ที่ตกอยู่ในสภาพเชลยศึกผู้แพ้,บาดเจ็บและไร้ทางเลือก ผมเองไม่ทราบว่าโบโรดินเคยอ่าน ‘สามก๊ก’ มาก่อนหรือไม่ ในตอนที่โจโฉมีชัยชนะและจับตัวกวนอูมาได้ สิ่งที่โจโฉปฏิบัติต่อกวนอูในสภาพเชลยศึก แทบจะไม่แตกต่างจากฉากที่ท่านข่านคอนชาคปฏิบัติต่อเจ้าชายอิกอร์เลย โจโฉมอบผ้าแพรชั้นดี,กระบี่คู่ใจและม้าเซ็กเทาว์ที่ขึ้นชื่อว่าวิ่งเร็วที่สุดในแผ่นดินให้แก่ กวนอู (ผู้แพ้และไม่มีทางเลือก)

ในบางมุมของผู้อ่านบางคนโจโฉคือตัวโกงหรือผู้ร้าย หากแต่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่เคยมีมนุษย์คนใดดีทั้งหมดหรือเลวทั้งหมด ตอนนี้แสดงถึงความเป็นนักปกครองที่ยิ่งใหญ่ของโจโฉยอมมอบ ‘ของรัก-ของหวง’ ที่สุด ให้แก่กวนอูผู้แพ้ก็เพราะเล็งเห็นถึงคุณค่าของคนนั่นเอง

‘การซื้อใจคน’ ต้องแสดงออกด้วยการให้เกียรติขั้นสูงสุด ทั้งด้วยมิตรไมตรี, คำพูดอันอ่อนน้อมและ...ความจริงใจ ที่ตั้งอยู่บนวิถีปฏิบัติที่สอดคล้องกันและพื้นฐานแห่งความเสมอภาคทัดเทียมกันอย่างแท้จริง ผู้ที่หยิบยื่นให้ต้องเป็นผู้ที่มีมากกว่าและในสถานะที่เหนือกว่าเท่านั้นที่จะเริ่มได้ หากจะกล่าวกันไปแล้วทั้งโจโฉและท่านข่านคอนชาคต่างก็ปฏิบัติตามหลักคำสอนของซุนวูในตำราพิชัยสงครามที่กล่าวไว้อย่างอมตะว่า “ชัยชนะอันสูงสุดก็คือชัยชนะที่ได้มาโดยไม่ต้องออกรบ” คำคมที่ดูเสมือนเป็นเพียงคำพูดสวยหรู หากแต่มันจะเป็นจริงสำหรับนักปกครอง,นักรบที่ยิ่งใหญ่และจิตใจสูงส่งพอเฉกเช่น ท่านข่านคอนชาคในอุปรากรเรื่องนี้ การแสวงแนวร่วมและได้มาซึ่งทรัพยากรบุคคลอันมีค่าย่อมต้องซื้อใจและลงทุนด้วยการเอาสิ่งมีค่าสูงสุดในใจเราเข้าแลก

ครั้นเมื่อเจรจาหว่านล้อมใดๆ ก็ยังไม่เป็นผล ข่านคอนชาคก็ปล่อย ‘ไม้เด็ด’ ด้วยฉากบัลเลต์-คอรัส (Ballet Chorus) อันเป็นเสมือนไคล์แม็กซ์ของเรื่อง เมื่อท่านเจ้าชายอิกอร์ยังดูแข็งขืนยืนกรานที่จะรบต่อ เราจงมาดูการแสดงของชนเผ่าโพลอฟท์ซีให้สำราญใจกันดีกว่า ฉากนี้เป็นระบำพื้นเมืองและการขับร้องของชนเผ่าโพลอฟท์ซีอันอลังการ ทั้งการแต่งกาย (เซ็กซี่,เย้ายวน), หลากหลาย ตระการตายิ่งใหญ่ ฉากนี้ได้รับการตัดตอนนำไปบรรเลง (บางครั้งก็มีการขับร้อง) ในฉบับคอนเสิร์ตที่รู้จักกันในนาม ‘Polovtsian Dances’ ที่นักฟังดนตรีคลาสสิกรู้จักกันดี แต่ในฉบับเต็มในอุปรากรนี้ ดูยิ่งใหญ่,น่าตื่นเต้น,น่าทึ่ง มันคือการข่มขวัญ (หรือแม้แต่เย้ยหยันในที) เจ้าชายอิกอร์ด้วยศิลปวัฒนธรรม มันบ่งบอกนัยว่า เจ้าชายอิกอร์แห่งรัสเซียประเมินค่าชนเผ่าโพลอฟท์ซีต่ำเกินไปมาก พวกเขามิใช่คนป่า,คนเถื่อน (แม้จะไม่มีศาสนายึดถือ) หากแต่พวกเขามีอารยธรรมที่เจริญเช่นกัน มีศิลปะการฟ้อนรำ, ขับร้อง, บรรเลงดนตรีอันวิจิตรงดงามและยิ่งใหญ่ตระการตาที่สามารถจะอวดหรือแม้แต่ข่มขวัญ-เย้ยหยัน ให้ต้องยอมรับในความเจริญและอวดความเป็น ‘ผู้มีอารยธรรม’ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

ชนชาติที่ยิ่งใหญ่และเจริญแล้วนอกจากจะต้องมีกองทัพอันเกรียงไกร, แข็งแกร่งและผู้นำที่ชาญฉลาดทรงภูมิปัญญาหยั่งรู้แล้ว ศิลปวัฒนธรรมย่อมแสดงถึงอำนาจและภูมิปัญญาความคิดได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน ฉากอันอลังการ,สุดยอดแห่งอุปรากรเรื่องนี้ตอบสนองวัตถุประสงค์ทางละครและบ่งบอกนัยสำคัญของเรื่องได้ถูกจุดเป็นที่สุด

มีประเด็น-เรื่องราวจากฉาก และตัวละครอื่นๆ ที่น่าจะนำมากล่าวไว้อีกมากมาย ผมเองขอแสดงความชื่นชมอย่างสูงกับความสามารถของนักแปลบทภาคภาษาไทยอย่าง คุณนรินทร์ ประสบภักดี ที่สามารถถอดบทภาคภาษาอังกฤษออกมาเป็นบทกวีภาษาไทยได้อย่างงดงามสละสลวย สมคุณค่ากับคำว่า ‘กวีบทละคร’อย่างแท้จริง บทละครที่ใช้ภาษาได้อย่างละเมียดละไมพร้อมสัมผัสเชิงกลอนชั้นครู ความสามารถของเขาอยู่ในระดับที่เรียกว่า ‘นายของภาษา’ โดยแท้จริง

หลังจากชมอุปรากรเรื่องนี้จบแล้วผมยังอดหวนไปคิดถึงข้อมูลในทางตำราดนตรีเล่มนั้นไม่ได้ว่า “ทุกวันนี้อุปรากรเรื่องนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมนำออกมาแสดงมากนัก เพราะไปเน้นที่การขับร้องเสียมากกว่าคุณค่าของความเป็นละคร” ผมเคยชมอุปรากรอิตาเลียนโรแมนติกมาก็หลายเรื่อง และเรื่องที่ว่ากันว่าได้รับความนิยมทุกยุคทุกสมัย บางทีก็ยังเป็นแค่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชาย-หญิงธรรมดาๆ นี่เอง แล้ว ‘คุณค่าแห่งความเป็นละคร’ เล่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่? ผมคิดว่าถ้าเรายังยึดและเชื่อมั่นในคำกล่าวของ โอมาร์ คัยยัม (Omar Khayyam) กวีโบราณชาวเปอร์เซียที่กล่าวไว้ในบทกวีสุดอมตะคลาสสิก ‘รุไบยาต’ ( Rubaiyat)ของท่าน ซึ่งมีวรรคทองที่ถอดความเป็นภาษาไทยว่า “ดูหนังดูละคร แล้วจงย้อนมาดูตัว” (ผมขอเติมว่า “จงย้อนมามองโลก”!)แล้ว อุปรากรเรื่องเจ้าชายอิกอร์นี้ เมื่อชมจบแล้ว มันได้กระตุกให้เราต้องย้อนหันกลับมาดูตัว, ดูสังคมและยังต้องย้อนไปนึกถึงประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรานี้ด้วยอย่างแน่นอน

............................................

เกี่ยวกับผู้เขียน : บวรพงศ์ ศุภโสภณ จัดรายการ Music Talk ทาง เอฟเอ็ม 100.5 อสมท. ทุกคืนเสาร์-อาทิตย์ เวลา 22.00-24.00 น. และเป็นอาจารย์สอนวิชา Music Critic วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดล