หลีเป๊ะถึงลังกาวี เรามีหัวใจเดียวกัน

สัปดาห์สุดท้ายเมื่อเดือนเมษายน ผมได้โอกาสเดินทางไปทัศนศึกษาที่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย
เป็นส่วนหนึ่งของการทำความรู้จักกับอาเซียน เส้นทางที่เลือกกันตามต้นทุน และช่วงเวลาที่น่าจะได้สัมผัส “ความงาม” ของปลายทางได้ดี เราเลือกเส้นทางทัวร์ออกทะเล เยี่ยมดินแดนที่เป็นเกาะของสองประเทศ จากเกาะหลีเป๊ะ-ตะรุเตา ที่จ.สตูล และข้ามทะเลไปยังประเทศเพื่อนบ้านมาเลเซีย บนเกาะลังกาวี
เหตุผลที่ตามใจคนเดินทาง แทนที่เราจะนั่งรถตู้เป็นวันๆ เพื่อมุ่งไปยังเกาะลังกาวีที่เดียว เรายังสามารถเลือกแวะนอนที่เกาะหลีเป๊ะ ทางชายฝั่งทะเลอันดามัน เพื่อสัมผัสชายหาดขาว ที่ร่ำลือกันว่า เนื้อละเอียดสวยงาม ก่อนจะไปเยี่ยมเยือนดินแดนตำนานของ พระนางเลือดขาว ที่ลังกาวี เพราะอย่างไรเสียเราก็ต้องไปลงเรือที่จ.สตูล อยู่แล้ว
การตั้งต้นจากภาคกลางของประเทศไทยใช้รถตู้ของบริษัททัวร์ ล้อหมุนเวลา 19.00 น. จากกาญจนบุรีและไปแวะพักทานอาหารเย็นที่ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และระหว่างทางแวะปั๊มไปเรื่อยๆ แน่นอนครับ การแวะปั๊มแต่ละครั้งนั้นก็คือ การกิน ซึ่งมีทั้งขนม น้ำ น้ำหวาน ลูกชิ้นและอื่นๆ อีกมากมาย
การเดินทางแบบนี้ ผมว่ามันตอบสนองคนติดโซเชียลมีเดียด้วยนะครับ เพราะเราได้แวะกิน ถ่ายภาพอาหารและเซลฟี่หลายมุมแบบไม่รู้เบื่อ จนกระทั่งหลับไปในแอร์ดับจิตบนรถตู้ของทัวร์นั่นแหละ
เราไปถึงจังหวัดสตูลเวลา 06.00 น. ของเช้าอีกวัน แวะอาบน้ำที่โรงแรมประจำจังหวัด หลังจากนั้นก็ทานอาหารเช้าที่โรงแรมและเก็บกระเป๋าสำรอง 1 กระเป๋า เพื่อข้ามไปนอนที่หลีเป๊ะ ส่วนกระเป๋าใหญ่ก็ทางโรงแรมก็จะเก็บไว้ที่ ท่าเรือปากบารา
ผมเห็นมีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวต่างประเทศและชาวไทยยืนรอข้ามไปที่เกาะหลีเป๊ะจำนวนมาก คณะเราต้องรอเรือเที่ยวที่ 3 จึงได้ออกทะเลกัน เดือนเมษาฯคงเป็นหน้าไฮซีซั่นของการเที่ยวทะเลสินะ ตอนนี้มีทั้งนักท่องเที่ยวจีน ญี่ปุ่นและยุโรปผมทองบางส่วน หลายคนที่เคยไปอาจจะเห็นด้วยกับผมว่า แค่ได้เห็นน้ำทะเลสีเขียวครามเหมือนสีมรกตสะท้อนสีท้องฟ้า ของฝั่งอันดามัน มันเป็นภาพที่ประเมินค่าไม่ได้ และเป็นคำตอบที่หลายคนดั้นด้นไปหา ความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายเช่นนี้
เวลา 12.00 น. เรือออกจากท่ามุ่งหน้าสู่เกาะหลีเป๊ะ ทุกคนสวมเสื้อชูชีพ แต่ฟ้าใส แดดจ้า ทะเลสีสดแบบนี้ ทำให้หลายคนทนนั่งอยู่กับที่ไม่ได้ เมื่อพ่อลูกผมทองคู่หนึ่งเดินออกไปถ่ายรูปที่หัวเรือ ผมก็ไปแจมกับเขาด้วย ทิวทัศน์ที่เห็นกับลมเย็นที่หัวเรือ ชดเชยความร้อนของแดดจัด และภาพรอบตัวในมุม 180 องศาที่สายตามองเห็น เกาะต่างๆ มียอดใบไม้สีเขียว-เหลืองระบายทาบทับเหนือเกาะ ทรายสีขาวละเอียดบนเกาะเล็กเกาะน้อยสะท้อนกับแสงดวงอาทิตย์ในช่วงบ่าย สะท้อนเข้าตาผมจนต้องหยิบแว่นกันแดดมาสวมใส่ (อย่าลืมแว่นกันแดดนะครับ แดดแรงจริงๆ)
ตำนานอิงธรรมชาติ
จุดจอดเรือจุดแรกจากแผ่นดินใหญ่ คือ เกาะตะรุเตา ที่นี่เป็นเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา รวมถึงเกาหลีเป๊ะ และเกาะอาดัง-ราวี (มีค่าตั๋วเข้าเขตอุทยานฯด้วยนะครับ อย่าลืมจ่าย)
ตะรุเตา เกาะที่ผมรู้จักจากนิยายอิงประวัติศาสตร์ตำนานโจรสลัดแห่งตะรุเตา ที่นี่ไม่มีรีสอร์ทหรือบังกะโล แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปเดินเล่นชมสถานที่ที่มีเรื่องเล่า ทุกคนได้เดินทางไปที่เกาะตะรุเตาแล้วก็ลงไปเดินถ่ายรูปร่วมกับสถานที่สำคัญ มัคคุเทศก์บรรยายถึงเกาะตะรุเตาในช่วงอดีตที่มีนักโทษถูกนำมาขังไว้ที่เกาะนี้ ในขณะเดียวกันก็มีการพูดถึงประวัติของนักโทษบางคน เช่น สอ เสถบุตร คนแต่งพจนานุกรมหรือดิคชันนารีไทย – อังกฤษ สำเร็จเสร็จสิ้นก็ตอนที่เขายังถูกกักขังในฐานะนักโทษการเมืองบนเกาะแห่งนี้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าถึงนักโทษการเมืองที่ถูกจับมาอยู่ที่คุกตะรุเตาแห่งนี้ พยายามหนีไปยังเกาะลังกาวีและประเทศอื่นๆ ใกล้เคียงเพื่อหนีโทษทางการเมืองในยุคสมัยก่อน พ.ศ.2500
ผมไม่ใช่คอการเมืองจึงฟังแบบผ่านๆ สมาธิล่องลอยไปไกล เพราะสายตาสะดุดกับความสวยงามของธรรมชาติบนเกาะที่ยังไม่มีถูกรุกด้วยสถานที่พักอาศัยมากนัก ผมไม่รู้ว่าตอนที่ท่านสอ เสถบุตร ถูกขังไว้ที่นี่มันทุรกันดารแค่ไหน แต่ถ้าทิวทัศน์เป็นแบบนี้ ผมก็ไม่แปลกใจหรอกที่ท่านจะเขียนตำราได้เป็นเล่มๆ เพราะบรรยากาศมันช่างเป็นใจ ได้พลังจากธรรมชาติมากมาย
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปเรือออกจากเกาะตะรุเตาไปที่ เกาะไข่ และก็หยุดให้พวกเราได้ลงไปเดินสัมผัสชายหาดบนเกาะเล็กๆ พื้นที่ไม่ถึง 1 ตารางกิโลเมตร เราสามารถเดินรอบเกาะได้ภายในเวลาแค่ 30 นาที และมีซุ้มประตูหิน ให้ลอดเล่นถ่ายรูปลงโซเชียลกันอย่างสนุกสนาน
ทรายบนเกาะนี้ขาวโอโม่มาก และเนื้อละเอียด จนอยากจะล้มตัวลงไปเกลือกกลิ้ง เด็กๆ กระโดดเล่นกัน ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน นักท่องเที่ยวต่างชาติบางคนออกอาการอิดออด อยากนอนเกาะนี้ ไม่อยากไปต่อถึงหลีเป๊ะแล้ว แต่ เวลา 15.00 น.แล้ว กัปตันเรียกพวกเขาขึ้นเรือ เพื่อไปให้ถึงหลีเป๊ะก่อนตะวันตกดิน
เรือเข้าท่าที่ หลีเป๊ะ แต่ไม่มีโป๊ะท่าเรือ เราต้องลงจากเรือใหญ่อาศัยเรือเล็ก และเดินลุยเท้าขึ้นเกยหาด กลิ่นน้ำมันเรือและคราบเล็กที่ปนอยู่กับน้ำที่ชายหาดพัทยา (หนึ่งในสามหาดบนเกาะนี้) กวนใจผมเล็กน้อย และแอบคิดถึงธรรมชาติสดใสบนเกาะไข่ที่เราเพิ่งจากมามากกว่า
ที่เกาะหลีเป๊ะ เรือประมง เรือนำเที่ยวจอดเรียงรายกันอยู่นับ 20 ลำ ผมมองขึ้นไปบนฝั่ง ความเจริญได้คืบคลานเข้ามาที่หลีเป๊ะ ที่นั่นมีร้านดื่ม-กิน ร้านนวด ร้านอาหารซีฟู๊ดและ7-11 ห้องพักผมเป็นห้องพักธรรมดา เรือนไม้ผสมปูนสไตล์บังกะโลหนึ่งชั้น แต่ราคา 2,400 บาทต่อหนึ่งคืน ในฝั่งหาดพัทยา
หลังจากมื้อค่ำในร้านซีฟู้ดเลียบหาด พวกเราออกไปเพลิดเพลินกับ “ถนนคนเดินกลางเกาะ” ซึ่งเป็นตลาดนัดโต้รุ่ง ที่นักท่องเที่ยวจาก 3 หาดของเกาะ ได้แก่ หาดพัทยา หรือ บันดาหยา, หาดชาวเล หรือ หาดซันไรซ์ (Sunrise Beach) และ อ่าวประมง (Sunset Beach) เดินทางเชื่อมหากันในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
ทุกคนจากทุกหาดจะมาหาแสงสีกันยามค่ำคืนที่ถนนคนเดินกลางเกาะ มีร้านโรตี ชาชัก ร้านขายของชำร่วยต่างๆ ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในเกาะอื่นๆ อากาศร้อนนิดหนึ่งเพราะว่าซอยถนนคนเดินตรงกลางเกาะหลีเป๊ะลมพัดผ่านน้อย
เวลา 22.00 น.โดยประมาณ บรรยากาศปาร์ตี้ชิลล์ๆ ริมหาดเริ่มคึกคัก มีร้านปูเสื่อตั้งโต๊ะพับบนหาด 3 - 4 ร้านให้เลือก แสงเทียนสลัว เป็นใจให้หนุ่มสาวมานั่งพลอดรักกัน มีโคมลอยบริการให้จุดแบบไม่จำกัดฤดู เสียงเพลงล่องลอยมามีทั้งเพลงป๊อปไทยเพลงเต้นรำฝรั่ง แต่ผมเดินออกไปไกลอีกหน่อย เพื่อปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงคลื่นของเกาะหลีเป๊ะ ก่อนจะกลับเข้าห้องพักในเที่ยงคืน
เช้าวันต่อมา หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ มัคคุเทศก์ก็เหมาเรือหาปลาของชาวประมง เพื่อพาเราไปดำน้ำดูปะการังตามเกาะเล็กเกาะน้อย และไปดูธรรมชาติมหัศจรรย์ของ “เกาะหินงาม” ห่างจากหลีเป๊ะประมาณ 20 นาที ไม่มีหาด มีแต่หินสีเทาดำที่ถูกคลื่นซัดมากองรวมไว้ ด้านหลังเป็นป่าไม้เขียวชอุ่มปกคลุมส่วนกลางเกาะไว้ ก็มีตำนานห้ามเก็บหินงามที่สะท้อนแดดขึ้นเงาออกจากเกาะ แต่มัคคุเทศก์เติมอารมณ์ให้นักท่องเที่ยวด้วยการเล่าเรื่องว่า หากเราก่อกองหินขึ้นมาและอธิษฐานว่าอยากได้อะไร เราก็จะได้แน่นอน
ผมกับพรรคพวกก็ไปก่อกองหินอธิษฐานและไม่อยากจะบอกครับว่าภายหลังผมได้ดังใจนึกจริงๆ
เรือตะลอนไปเกาะเล็กเกาะน้อย แวะให้ดำน้ำชมปะการังดูปลาแต่น้ำขุ่นไปนิด แต่ยังมองเห็นปะการังสวยงามและปลาที่ว่ายล้อมรอบตัวเรา หลังจากนั้นเราก็กลับไปอาบน้ำทานข้าวเที่ยงและเตรียมกระเป๋าเพื่อเดินทางออกจากเกาะหลีเป๊ะมาขึ้นท่าน้ำปากบาราที่จังหวัดสตูล เพื่อไป เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย
ล่องเรือไปบ้านพระนางเลือดขาว
13.00 น. ออกจากท่าเรือปากบารา ไปยังท่าเรือ ตำมะลัง จ.สตูล เพื่อข้ามไปยังลังกาวี เรือวิ่งเรื่อยๆ บรรยากาศในเรือ ที่มีทั้งชาวมาเลเซีย ชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆ ระหว่างการสนทนาฆ่าเวลา คณะทัวร์ที่ไปพร้อมกับเราคุยกันอย่างออกรสถึงเป้าหมายการไป “ชอปปิงสินค้าปลอดภาษี” ที่เน้นว่า เป็นสินค้าราคาถูก เดาๆ กันว่าสุราต่างประเทศที่ซื้อในร้านค้าปลอดภาษีต้องราคาถูกกว่าราคาติดภาษีแล้วถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวแล้วผมไม่นิยมชอปปิง แต่อยากรู้อยากสัมผัสความรู้สึกที่ได้เดินบนดินแดนแห่งตำนานพระนางเลือดขาวมากกว่า
เราไปถึงท่าเรือฝั่งลังกาวีเวลา 15.00 น. มีรถตู้จากโรงแรมเบลลา วิสตา ลังกาวี ซึ่งน่าจะเป็นที่พักที่ลูกค้าทัวร์ไทยจะได้ไปอาศัยกันมากที่สุดแห่งหนึ่ง แค่มองจากด้านนอกตึกยอดแหลมที่เหมือนปราสาทในเทพนิยายฝรั่ง ก็ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกถึงดินแดนแห่งตำนานแห่งนี้มากขึ้น
หลังจากเช็คอินเข้าห้องพัก มีเวลาช่วงบ่ายแก่ก่อนอาหารมื้อเย็น สิ่งแรกที่ผมขอก็คือ ผมขอลงไปดูสินค้าปลอดภาษีว่ามีราคาดีอย่างที่พูดถึงกันหรือไม่ แต่ไกด์ทัวร์กลับเชื้อเชิญพวกเราไปเยี่ยมบ้านของพระนางมัสสุหรีกันก่อน เพราะในโปรแกรมทัวร์ พรุ่งนี้มีเวลาไปชอปปิ้งได้ทั้งวัน ผมตกลงตามนั้น
จุดแรกที่ลังกาวี คือการเยี่ยมบ้านของ พระนางมัสสุหรี (Mahsuri House) ซึ่งเป็นบ้านเก่าสไตล์มาเลย์ถูกแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ภายในเขตสุสานพระนางมัสสุหรีที่ทางการลังกาวี ประเทศมาเลเซียได้อนุรักษ์ไว้ และเปิดให้ชาวมาเลเซียหรือชาวต่างประเทศได้เข้าไปเยี่ยมเยียน
ผมประทับใจในสินค้า การดูแลพิพิธภัณฑ์และการต้อนรับขับสู้นักท่องเที่ยวทั้งหลาย พิพิธภัณฑ์แห่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าและไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผมซาบซึ้งและก็ทำให้มั่นใจว่า เมื่อการอยู่ร่วมกันแล้วสิ่งที่ต้องทำก็คือ การที่เราจะต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน รวมทั้งรักษาวัฒนธรรมอันดีงามไว้ เพื่อที่จะส่งเสริมวัฒนธรรมให้เจริญก้าวหน้าต่อไป(แต่ผมไม่ได้ซื้ออะไรมาหรอกนะ ไม่ชอบชอปปิง)
พิพิธภัณฑ์ Perdona Gallery ที่อยู่นอกเมืองย่านที่พักของเราไปราว 10 กม.เป็นอีกหนึ่งความประทับใจ ศิลปะ สถาปัตยกรรม เป็นความเจริญตาเจริญใจ แหงนหน้ามองเพดานเห็นความวิจิตรอลังการที่แสดงว่า ดินแดนแห่งนี้เคยรุ่งเรืองมาก ในสมัยท่านนายกฯ มหาเธร์ โมฮัมหมัด มีของที่ระลึก ของขวัญจากประเทศต่างๆ ส่งมาให้ในสมัยท่านบริหารประเทศ
18.00 น. อาหารค่ำที่ลังกาวีเป็นอาหารไทยในภัตตาคารอาหารไทย เมนูเด็ดไม่ว่าจะเป็น ปลาทอดน้ำปลา ปลาสามรสหรือผัดคะน้าน้ำมันหอย หรืออาหารอื่นๆ เสิร์ฟกับข้าวสวยร้อนรสจัดจ้านถูกปากไม่รู้สึกสักนิดว่า กำลังทานอาหารที่ประเทศมาเลเซีย
เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้เป็นหญิงไทยยิ้มงามที่ได้แต่งงานกับตำรวจชาวลังกาวี เธอออกมาต้อนรับลูกค้าและทักทายเป็นภาษาไทย อุ่นใจแบบไม่ต้องหาเหตุผล
เยือนถิ่นนกอินทรี
เช้าวันที่สอง เราเดินทางไปดูการให้อาหารของนกอินทรี และทำให้ทราบว่าลังกาวี แปลว่า เกาะแห่งนกอินทรี
รูปปั้นนกอินทรีสีน้ำตาลแดงที่กางปีกสยายต้อนรับคนมาเยือนบริเวณ จตุรัสนกอินทรี ( Eagle Square) ที่เห็นตอนเรือเฟอร์รี่เข้าท่า ณ Jetty Point ก่อนได้เหยียบดินแดนนั้น ไม่ใช่แค่การสร้างภาพจากจินตนาการ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่มาจากธรรมชาติ และเจ้าของถิ่นนี้ซึ่งก็คือ นกอินทรี ที่เคยอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ชื่อ “ลังกาวี” มาจากภาษามาเลย์ คำว่า “เฮอลัง ” หมายถึงนกอินทรี และ “กาวี” สีน้ำตาลแกมแดง
แม้กระทั่งในปัจจุบัน ก็ยังต้องมีนกอินทรีปรากฏตัวให้เห็น อย่างวันนี้คณะทัวร์ของเราได้เห็นนกอินทรีสองฝูงที่ลงมากินเนื้อปลา และเนื้อสดที่ทิ้งไว้
ต่อด้วยการไปชมกระชังปลาและการแสดงอื่นๆ ที่สะท้อนวิถีชาวเกาะลังกาวีที่ Oriental Village แต่น่าเสียดายช่วงที่เราไป ไม่สามารถขึ้น “กระเช้าลอยฟ้า” หรือ Lungkawi Cable Car เพื่อชมความงามเกาะแห่งนี้จากมุมมองของนกอินทรี(เบิร์ดอายส์วิว) ได้ เพราะกระเช้าลอยฟ้าปิดบริการ เนื่องจากโดนฟ้าผ่าชำรุดปิดซ่อม 3 วัน ก็เลยได้แค่เก็บรูปที่ฐานปล่อยกระเช้าไว้เป็นที่ระลึก
และปิดท้ายวันนี้ด้วยร้านสินค้าปลอดภาษี ตลาดกัวห์ ที่นี่ไม่มีคิงพาวเวอร์ แต่ในเมื่อลังกาวีเป็นเมืองปลอดภาษี พวกเราจึงอยากสำรวจให้ทั่ว ใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการเดินดูทุกชั้น แต่ละคนก็ได้สินค้าไปตามที่ต้องการ เช่น กระเป๋า สุราต่างประเทศ บุหรี่ต่างประเทศ ส่วนผมได้น้ำหอมมา 2 ขวด กลิ่นถูกใจใช้มา 2 ปีแล้วก็ยังไม่หมดสักที ถือว่าคุ้มนะ
คืนสุดท้าย(คืนที่สอง)ที่ลังกาวี ผมลองไปดูตลาดโต้รุ่ง หรือตลาดกัวห์ที่เมืองกัวห์ของเกาะลังกาวี ซึ่งแปลกใจไม่น้อยว่า อาหารขึ้นชื่อที่ตลาดนี้เป็น Thai food นั่นเอง แต่มาประทับตราข้ามแดนมาเลเซียแล้วก็อยากลิ้มรสอาหารมาเลเซีย
นอกจากนี้ผมยังสงสัยว่า มอยซุปคืออะไร เขาบอกว่ามันก็คือข้าวต้มนั่นแหละ เช่น ข้าวต้มหมู ข้าวต้มปลา ผมก็ถึงบางอ้อ คนที่นี่เน้นการกินบะหมี่ ก๋วยเตี๋ยวและข้าวต้ม อาหารที่ถูกปากคนที่นี่มากที่สุดก็คือ อาหารไทย
หลังจากนั้นเช้าวันต่อมาผมขึ้นเรือกลับไปที่สตูล ผมคิดว่าลังกาวีกับสตูลไม่ได้ห่างไกลกันมาก การท่องเที่ยวที่ลังกาวี ทำให้เราเห็นวัฒนธรรมของอิสลาม
ถือว่าการเดินทางครั้งนี้มีสีสันได้ครบทุกรส ทั้งธรรมชาติสวย สีสันชีวิตที่มีทั้งภาพเล่าจากอดีต และได้เห็นดินแดนในประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกับไทย แม้จะต้องตีตราเข้าเมือง แต่ผมก็ได้สัมผัสตำนานของเกาะเหล่านี้ด้วยหัวใจที่เริงร่า เพราะเราเป็นประชาคมเดียวกัน
..................
การเดินทาง
กรุงเทพฯ-เกาะหลีเป๊ะ อุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตา จ.สตูล สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินไปลงสนามบินหาดใหญ่ จากนั้นต่อรถแท็กซี่ เพื่อไปลงเรือที่ปากบารา เดินทางไปเกาะ หรือจะเดินทางด้วยรถตู้จากบริษัททัวร์ มุ่งตรงไปท่าเรือปากบารา ก็ได้เช่นกัน
จากเกาะหลีเป๊ะ ไปเกาะลังกาวี ขึ้นเรือที่ท่าเรือปากบารา มุ่งหน้าท่าเรือตำมะลัง
จากท่าเรือตำมะลัง -ลังกาวี มีเรือโดยสารเฟอรีหลายบริษัทเปิดให้บริการเดินเรือ วันละ 3-4 เที่ยว ตั้งแต่ 09.30 น 13.30 น. และ 16.30 น. ขากลับจากลังกาวี 08.30 น. 12.00 น. และ 16.00 น. ระยะเวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง
ลังกาวีใช้เงินสกุลริงกิตของมาเลเซีย การเข้าชมพิพิธภัณฑ์มีค่าบัตรเข้าชม (เฉลี่ยที่ 10 ริงกิต) และบางแห่งเก็บค่ากล้องถ่ายรูปเพิ่มเติม







