สองกาย...ลมหายใจเดียว

เรื่องราวของ 2 พี่น้องผู้เป็น “ครึ่งชีวิต” ซึ่งกันและกัน อีกแรงบันดาลใจของการใช้ชีวิตที่ปลายด้ามขวาน
คนหนึ่งมีเรือนร่าง ไร้แขนขา จำต้องใช้ชีวิตอยู่แต่บนรถเข็น โดยมีใครอีกคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ภาพนี้ถือเป็น “ของชินตา” สำหรับคนบ้านปลักปลา อ.เมือง จ.นราธิวาสมากว่า 20 ปีแล้ว
อากัปกิริยาการดูแลซึ่งกันและกันระหว่างเด็กหญิงพี่น้องมุสลิมที่เปลี่ยนสายตาแปลกใจ ให้กลายเป็นความชื่นชม และตรึงอยู่ในหัวใจผู้คน
ทั้งสองเป็น “คู่ชีวิต” เสมือนคนๆ เดียวกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
........
“เป็นตั้งแต่เกิดค่ะ” ตอยยีบะห์ สือแม หรือ โอ๋ ตอบคำถามถึงความบกพร่องของร่างกายที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่จำความได้
ถึงจะไม่มีแขน-ขา แต่ด้วยขนาดของหัวใจที่ไม่ได้ถูกความพิการตีกรอบเอาไว้ การใช้ชีวิตของเธอจึงเป็นไปอย่างปกติที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะทำได้ ตั้งแต่ชั้นอนุบาล จนถึงรั้วมหาวิทยาลัย
“คุณแม่ก็จะคอยเตือนเวลาที่เราท้อ ก็จะบอกว่า เราเกิดมาไม่เหมือนเพื่อน แต่เราก็อย่าท้อ เราสามารถใช้ชีวิต ทำทุกอย่างเหมือนคนอื่นๆ เขาได้” คำสอนนั้นฝังใจโอ๋มาโดยตลอด
ขณะที่ โซเฟีย สือแม หรือ หนูเฟีย น้องสาวคลานตามกันมา เธอเปรียบเสมือนอีกครึ่งชีวิตที่ติดเงาตามตัวของโอ๋
น้องสาวคนนี้จะคอยจัดการทุกอย่างในเรื่องส่วนตัวที่พี่สาวไม่สามารถทำเองได้ ทั้งอาบน้ำ แต่งตัว ป้อนข้าว เข็นรถเข็น ทั้งขณะอยู่ที่บ้านและโรงเรียน ซึ่งเฟียและโอ๋ร่วมชั้นเรียนเดียวกันมาโดยตลอดจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี
“ปกติแล้วก็คือ... เราจะพาพี่ไปด้วยตลอด อยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนมากกว่า เราทิ้งเพื่อนไม่ได้อยู่แล้ว กับพี่เราก็ทิ้งไม่ได้เหมือนกัน เราก็ดูแลกันและกัน”
กิจวัตรประจำวันของทั้งคู่ ถือเป็นความผูกพันที่ค่อยๆ ถักทอให้กันเรื่อยมา
“ตื่นมาตอนเช้า ต้องทำหน้าที่ดูแลการใช้ชีวิตประจำวันให้พี่สาวให้เสร็จก่อน” เฟียบอก
เธอหมายถึงการอาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว แต่งหน้า การเข้าห้องน้ำ ดูแลธุระเหล่านี้ของพี่ให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยจัดการภารกิจของตัวเอง หลังจากนั้น ทั้งคู่จะพร้อมกันบนโต๊ะอาหาร และเริ่มต้นวันใหม่ไปพร้อมๆ กัน จนกระทั่ง หัวถึงหมอน
ที่โรงเรียนนราสิกขาลัย และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด
ยิ่งไปกว่านั้น การที่เสาหลักของบ้านอย่างพ่อของพวกเธอต้องจากไปตั้งแต่ยังแบเบาะทำให้ทั้ง 3 ชีวิตต่างคอยเป็นแรงผลักดันซึ่งกันและกันอยู่เสมอ
โอ๋พยายามที่จะช่วยตัวเองให้ได้มากที่สุด เพราะเข้าใจดีว่า แม่มีภาระในการหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ขณะที่เฟียจะรับผิดชอบดูแลพี่สาวของเธอ และงานบ้านทั้งหมด
“เรามีกันแค่ 3 ชีวิตเพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องไม่สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นในครอบครัวและต้องห่วงใยซึ่งกันและกัน” เฟียเล่า
พอๆ กับความรู้สึกที่โอ๋ต้องแบกรับในแง่การเป็น “ปมด้อย” ของตัวเอง ครอบครัวก็เป็นที่พึ่งพิงที่ดีที่สุดเหมือนกัน
“เวลาว่างเฟียจะพาพี่โอ๋ไปเที่ยวนอกบ้านหรือต่างจังหวัด เพื่อเป็นการผ่อนคลาย และอยากให้พี่โอ๋ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่อยากให้พี่โอ๋เห็นตัวเองมีปมด้อย แค่อยากให้พี่โอ๋เห็นว่า ตัวเองสามารถไปไหนมาไหนได้เหมือนคนปกติทั่วไป แถมยังมีคนเข็นรถให้นั่งด้วย และพยายามให้กำลังใจให้พี่โอ๋ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข” เธอถ่ายทอดพร้อมรอยยิ้ม
ภาพการใช้ชีวิตที่ยิ่งกว่า “ตัวติดกัน” จึงกลายเป็นสิ่งที่ชาวนราธิวาสพบเจออยู่เสมอ
........
“ก็เรียบเรียงข่าวประชาสัมพันธ์ ข่าวประกวดราคาหรือข่าวอื่นๆ ตามรับมอบหมายค่ะ” โอ๋แจกแจงเนื้องานในหน้าที่ที่เธอ และเฟียรับผิดชอบร่วมกันในสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนราธิวาส 2 บัณฑิตใหม่ถอดด้ามจากรั้ว มอ.ปัตตานีได้รับโอกาสให้เข้ามาทดลองงานที่นี่ ซึ่งทั้งคู่ยอมรับว่า เป็นสิ่งที่ชอบ และสนใจมาแต่ไหนแต่ไร
เฟียพูดถึงพี่สาวว่า โดยพื้นฐาน โอ๋จะเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน ส่วนตัวเธอก็ถือว่าเป็นนักกิจกรรมตัวยงคนหนึ่ง งานประชาสัมพันธ์จึงถือว่าเป็นวิชาชีพด้านการสื่อสารที่ถูกโฉลกกับพวกเธอเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็ยังหมายถึงความท้าทายไม่ว่าจะเป็นการจัดรายการวิทยุ หรือกระทั่งการได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พิธีกรรายการโทรทัศน์เพื่อทำข่าวประชาสัมพันธ์ งานของดีเมืองนรา 2558 งานใหญ่ประจำปีของจังหวัดที่จัดขึ้นในเดือนกันยายนนี้
“เป็นความชื่นชอบส่วนตัว และถือว่าเป็นความท้าทายด้วยค่ะ” โอ๋ยอมรับถ้าเป็นในมุมของผู้พิการมาโดยกำเนิด
แต่ถ้าในมุมของนักวิชาชีพสื่อสารมวลชนแล้วล่ะก็ นี่ถือเป็น “จังหวะสำคัญ” ของการนำสิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาใช้ใน “สนามจริง”
แน่นอนว่า กว่าจะถึงวันนี้ เส้นทางของเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อย่างน้อยๆ สิ่งที่เข้ามาปะทะกับความรู้สึกลำดับแรกๆ คงจะหนีไม่พ้นความรู้สึกเป็น “ภาระ” ของครอบครัว ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต และครอบครัวของเธออยู่ตรงการได้เข้าเฝ้ารับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมพสกนิกรที่โรงเรียนบ้านเขาตันหยง อ.เมือง จ.นราธิวาส
โอ๋ได้รับการพิจารณาให้ความช่วยเหลือจากโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทำให้เธอ และครอบครัวสามารถลุกขึ้นยืนหยัดได้อีกครั้ง
เธอได้รับการส่งตัวเข้าไปอบรมที่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูสวางคนิวาส ก่อนจะได้รับพระราชทานเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ และโต๊ะ 1 ชุด คณะทำงานจัดทำอุปกรณ์ Head Stick ให้ทดลองใช้ ฝึกการใช้ Mouse keys แทน Mouse นอกจากนั้น ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ยังได้เปลี่ยนรถเข็นให้เธอเอาไว้ใช้งานอีกด้วย
"โอ๋สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณตลอดมา ที่พระองค์ท่านได้ช่วยเหลือ โชคดีที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้ารับเสด็จฯ พระองค์ได้ให้ความสนพระทัยเป็นอย่างมาก เกี่ยวกับการพิการไร้แขนและขาของโอ๋ และได้มีกระแสรับสั่งให้ คณะทำงานโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ให้เข้ามาช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งด้านครอบครัว และการศึกษา
“โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา พระองค์ได้ให้ความสำคัญมาก เราเลยได้มีโอกาสเข้าเรียนหนังสือในห้องเรียนและหลักสูตรปกติเหมือเด็กนักเรียนโดยทั่วไป ไม่มีความรู้สึกแปลกแยกหรือเป็นปมด้อยที่ตัวเองร่างกายไม่เหมือนคนอื่น และที่โชคดีมากไปกว่านั้น คือโซเฟีย น้องสาว ก็ได้รับสิทธิเข้ามาเรียนร่วมชั้นเรียนกับเรา เพื่อคอยช่วยเหลือจนจบมหาวิทยาลัย แม้กระทั่งเข้าทำงานก็ยังอยู่ทำงานที่เดียวกัน” โอ๋กล่าว
จนถึงวันนี้ โอ๋ก็ยังคงยืนยันความเชื่อเดิมนั่นก็คือ ความพยายาม อดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทางร่างกาย เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า เธอสามารถใช้ชีวิตได้ไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ ในสังคม
........
หากถามถึงเรื่องราวของโชคชะตา โดยเฉพาะความบกพร่องที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด โอ๋ ยอมรับว่า ความไม่เหมือนคนอื่น อาจไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอย่างคนอื่น เพราะเธอไม่เคยเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นตอกย้ำปมด้อยให้กับตัวเองเลย
ในทางกลับกัน การเดินทางมาจนถึงวันนี้ ความรู้สึกภูมิใจทั้งในตัวเอง และที่ครอบครัวมีให้ ยิ่งทำให้ตัวเธอมั่นใจว่า เส้นทางนี้เลือกถูกแล้ว
“การจบการศึกษาก็หมายความว่ามีคุณค่าทางความคิดในระดับหนึ่ง และไม่ทำตัวเป็นภาระของสังคมและครอบครัว บางคนอาจมองว่าโอ๋ เป็นเด็กพิการคนหนึ่ง แต่โอ๋มองตัวเองว่า โอ๋เป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่ท้อได้ บางครั้งโอ๋ก็ท้อ แต่มีครอบครัวอยู่ข้างหลัง คอยมองความสำเร็จ โอ๋แม้จะพิการแค่ร่างกาย แต่จิตใจไม่ได้พิการตามไปด้วย ขอบคุณทุกๆ โอกาสที่หยิบยื่นมาให้ ความสำเร็จในครั้งนี้ คือบันไดขั้นสุดท้ายที่คนพิการไร้แขนขาจะทำได้ แต่ในเมื่อเรามีความพยายาม และอดทนกับมัน เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตของตัวมันเอง” โอ๋เผยความรู้สึก
ไม่ต่างจากโซเฟีย บ่อยครั้งที่เธอมักได้ยินคำถามถึงการต้องทิ้งชีวิตตัวเองเพื่อดูแลพี่สาว
...มันคุ้มแล้วหรือ
“เราไม่เคยคิดว่าเขาเป็นภาระ” สั้นๆ แต่ได้ใจความ หรือถ้ามองในมุมของโชคชะตา โซเฟียก็ยังรู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เธอเดินทางมาเจอกับพี่สาวคนนี้
“ขอบคุณที่ทำให้หนูได้ดูแลพี่สาวที่เป็นคนที่มหัศจรรย์มาก อาจจะไม่เหมือนเพื่อนคนอื่น แต่พี่โอ๋เป็นคนที่มหัศจรรย์กว่าคนอื่น เป็นแบบอย่างที่คนอื่นนึกไม่ถึงเลยทีเดียว ถ้าพูดถึงในเรื่องของความผูกพัน เราสองคนผูกพันกันมากค่ะ อาจเรียกว่า ฝาแฝดเลยก็ได้ เพราะเราสองคนมีอะไรที่เหมือนกันและชอบในสิ่งที่คล้ายๆ กัน เราสองพี่น้องเป็นครึ่งชีวิตของกันและกันก็ว่าได้”
หลายเรื่อง เธอเรียนรู้เป็นบทเรียนชีวิตจากพี่สาว โดยเฉพาะกำลังใจ
“พี่โอ๋แค่พิการร่างกายแต่มีใจที่เข้มแข็งมาก จะมีสักกี่คนทำได้อย่างพี่สาวเฟีย เฟียพยายามยิ้มอยู่ตลอดเวลา จะได้รู้สึกดีขึ้นถ้าเรายิ้ม พยายามมีความสุขกับชีวิต เพราะเรามีอีกคนที่เป็นครึ่งชีวิตของเรา”
ถึงวันนี้ ตัวเธอจะแต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาในการที่จะต้องทำหน้าที่ภรรยาที่ดูแลสามี และน้องสาวที่ดูแลพี่สาว ซึ่งทั้งหมดเกิดจากความรัก และความเข้าใจ
“แกบอกเฟียว่า ถ้าเฟียไม่มีพี่สาวแบบนี้ แกอาจจะไม่จีบเฟียก็ได้” เธอเย้าด้วยเสียงหัวเราะ
แน่นอนว่า กับพี่สาวคนเดียวของตัวเอง โซเฟียสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า โอ๋เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นอีกครึ่งของลมหายใจที่ “ขาดกันไม่ได้”
“เขาคือส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนร่างกายเดียวกัน ลมหายใจเดียวกัน หนูคือแขนขาของพี่ ที่จะมาเติมเต็มให้ชีวิตเขา และจะอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง” โซเฟียบอกด้วยรอยยิ้มเปื้อนน้ำตา บ่งบอกถึงภาคภูมิใจในหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่ใครก็ไม่สามารถทำแทนเธอได้...
“จะร้องไห้ไปทำไม ฉันยังไม่ตายซักหน่อย” ตอยยีบะห์ เย้าขึ้นมาบ้าง ระหว่างนั้น น้องสาวก็ป้ายน้ำตาจับช้อนตักข้าวป้อนเข้าปากให้พี่
ก่อนที่จะพากันหัวเราะหยอกเย้ากัน ประสาพี่น้อง







