ยินดีต้อนรับสู่...อิหร่าน

ยินดีต้อนรับสู่...อิหร่าน

ก่อนอื่นขอยอมรับว่าอิหร่านเป็นประเทศในฝัน

ดินแดนที่หลับใหลจากการปิดประเทศ อารยธรรมเปอร์เซีย พรมล้ำค่า และอาหารเลิศรส ที่สำคัญคือภาพยนตร์ที่น่าหลงใหล ที่ชวนให้คิดมาตลอดในทุกครั้งที่ซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังอิหร่าน ว่าทำไมประเทศที่มีข้อห้ามมากมายเต็มไปหมด ถึงผลิตภาพยนตร์ออกมาได้ลุ่มลึกถึงขนาดนี้


ฝันผมเป็นจริงจนได้ เมื่อมาถึงสนามบินเตหะรานตอนประมาณตีสามครึ่ง...


ผมเกร็งมากตอนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ไม่ได้ทำผิดอะไร แค่รู้สึกกดดันกว่าทุกสนามบินอื่น ส่วนหนึ่งอาจเพราะความขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เข้ายาก แต่กลับผิดคาด เจ้าหน้าที่ใช้เวลาตรวจพาสปอร์ตผมไม่ถึงสองนาที ก่อนยิ้มแฉ่งแล้วบอกว่า “ยินดีต้อนรับสู่อิหร่าน”


ขณะอยู่ในห้องน้ำทำการล้างหน้าล้างตา ก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากข้างหลัง พี่พนักงานทำความสะอาดยิ้มกว้าง ก่อนสอบถามประวัติที่มาที่ไปของผมเล็กน้อย แล้วจึงปิดท้ายด้วยคำว่า “ยินดีต้อนรับสู่อิหร่าน”


เดี๋ยวนะ...ศึกษาข้อมูลมาบ้างเหมือนกันว่าแม้จะดูเป็นประเทศเคร่งครัด แต่จริงๆ แล้วชาวอิหร่านเป็นมิตรมาก แต่ไม่คิดว่าจะเป็นมิตรกันสุดๆขนาดนี้ ผมเหมือนดาราฮอลลีวูดในสนามบิน ที่ทุกคนมองตามแล้วโบกมือทักทาย แอบเขินเล็กน้อย...


ผมแอบงีบไปตื่นหนึ่งในสนามบิน ก่อนต่อรถเข้าเมือง แล้วแวะหาที่แลกเงินก่อนเข้าไปยังที่พัก เขาว่ากันว่าให้ไปแลกตามร้านที่ไม่ใช่ธนาคาร จะได้เรทดีกว่าเยอะ แต่แน่นอนว่าผมหลงทางทันทีที่ลงจากรถ


ระหว่างเดินทำหน้างงพอเป็นประมาณ ก็มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง ขับรถมอเตอร์ไซค์มาเทียบข้างๆ แล้วบอกผมว่า “นั่นแน่...! หลงทางล่ะสิ”


ผมตกใจเล็กน้อย หน้าตาเราออกอาการขนาดนั้นเชียวหรือ... แต่ก็ยอมรับไปแต่โดยดีว่ากำลังหาร้านแลกเงินอยู่ ผลปรากฏว่า คุณพี่คนนั้นจอดรถ ลงมาวิ่งเข้าวิ่งออกร้านค้าอยู่หลายร้าน เพื่อช่วยผมหาที่รับแลกเงิน


แอบคิดในใจว่า เอาละ...เดี๋ยวได้โดนฟันค่าช่วยเหลือแน่นอน แต่จะไปหยุดพี่เขาตอนนี้คงไม่ทันแล้ว เมื่อได้แลกเงินเรียบร้อย ใจผมก็ตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าเขาจะคิคผมเท่าไหร่


สิ่งที่ชายคนนี้ทำจะทำให้คุณต้องอึ้ง! (พาดหัวเหมือนเว็บข่าวที่ชอบหลอกให้คนคลิกเข้าไปอ่าน)


เขาจับมือผมมาเขย่าสามที แล้วบอกว่า “ยินดีต้อนรับสู่อิหร่าน ช่วยฝากบอกไปยังผู้คนในประเทศของคุณด้วยว่า พวกเรายินดีต้อนรับคุณทุกคน” แล้วก็กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับหายไป


.....



พูดตามตรงว่าน้ำตาผมแทบจะไหลตรงนั้น อะไรจะเฟรนด์ลี่กันขนาดนี้ นี่เป็นสิ่งที่น่ารักที่สุด ติดอันดับ 1 ใน 10 ที่ผมเคยเจอในชีวิต ในเวลาไม่ถึง 5 ชั่วโมง ที่ผมอยู่ในประเทศนี้ ความรู้สึกที่ผมมีให้อิหร่านก็บวกไปแล้ว 100 แต้ม


พักความประทับใจไว้ เพื่อไปเก็บของในที่พักก่อน ที่นี่ผมได้เจอเพื่อนร่วมห้องจากประเทศเช็ก “แมทที” อดีตโปรแกรมเมอร์ที่โดนแฟนทิ้ง เลยปั่นจักรยานรอบโลก ช่างเป็นเหตุผลสุดคลาสสิค... วันที่เจอกันนี่ปั่นมาได้ 100 วันพอดี โดยจุดหมายครึ่งทางของเขาอยู่ที่ออสเตรเลีย ประเทศที่เขาได้ Working Visa เพื่อพักหางานทำเก็บเงินซักระยะ ก่อนจะปั่นไปยังประเทศอื่นของโลกต่อไป


พอสอบถามเบื้องต้นแล้ว ตารางที่ที่เราอยากไปในเตหะรานค่อนข้างใกล้เคียงกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ ร่วมทางกันไปกับคนเพิ่งรู้จักอีกครั้งก็แล้วกัน!
เราใช้รถไฟใต้ดินเป็นพาหนะ และระหว่างที่ผมกำลังงกๆ เงิ่นๆ กับการแลกบัตรเติมเงินจากเครื่องอัตโนมัติ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เรียกผมเข้าไป แล้วใช้บัตรของเขาเปิดทางเข้าให้ผมฟรี… ใจดีอีกแล้ว


รถไฟใต้ดินในกรุงเตหะรานช่วงชั่วโมงเร่งด่วนนั้น เป็นอะไรที่มันส์มาก คำว่าคนเยอะยังน้อยไป BTS ยังชิดซ้าย MRT ยังชิดขวา แต่เขาแยกตู้รถไฟเป็นชาย หญิง ชัดเจน ซึ่งทำให้สุภาพสตรีสบายใจได้เลยว่า ไม่ต้องมายืนเบียดเสียดร่วมกับผู้ชายแน่นอน


สถานที่แรกที่ไปคือสถานทูตสหรัฐฯ ใช่แล้วครับ สถานทูตสหรัฐฯอเมริกานั่นแหละ แต่ความน่าสนใจอยู่ที่สถานทูตแห่งนี้ปิดทำการไปแล้วนานโข สาเหตุเนื่องจากความขัดแย้ง ที่นักศึกษากลุ่มหนึ่งบุกเข้ายึด และจับเจ้าหน้าที่สถานทูตเป็นตัวประกัน จนทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศขาดสะบั้นลงจนมาถึงทุกวันนี้ อย่างที่หลายคนอาจเคยได้ดูจากหนังเรื่อง Argo


แม้จะเข้าไปไม่ได้ (จริงๆ แอบตีเนียนเดินหน้ามึนเข้าไป แต่โดนเจ้าหน้าที่ไล่ออกมาอย่างรวดเร็ว อย่าทำตามนะครับ ไม่ดี) แต่กำแพงล้อมรอบสถานทูต ที่เต็มไปด้วยภาพกราฟฟิตี้ ที่แสดงออกถึงความคิดที่ชาวอิหร่านมีต่อสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่คุ้มค่าต่อการไปให้เห็นด้วยตา


ต่อจากสถานทูต ก็ได้ไปเยี่ยมชมพระราชวัง Niyavali ข้างในสวยงามอลังการงานสร้าง แต่ส่วนตัวผมไม่อินกับของหรูหราเท่าไหร่นัก จึงไม่ค่อยตื่นเต้นอะไร


เราแพลนโปรแกรมกันว่า ก่อนแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์จะหมด เราจะไปถ่ายรูปกันที่ Azadi Tower อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเตหะรานกัน เราเลือกโบกแท็กซี่ เพื่อจะไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน แมททีอยู่ในช่วงรัดเข็มขัดสุดๆ เพราะเหลือเงินไม่มาก แต่คนขับเรียกราคามา 1 พัน ซึ่งเราคิดว่าถูกพอที่จะจ่ายได้ จึงใช้บริการไป


แต่นั่งไปไม่ทันไร แมททีก็หันไปถามคนขับอีกครั้งว่า 1000 เรียลใช่ไหม แต่คนขับบอกว่า 1000 ทูมาน ซึ่งมีค่าเท่ากับการใส่เลข 0 เข้าไปข้างหลังอีกสามตัว เพราะค่าเงินของที่นี่ต่ำมาก เขาจึงใช้วิธีนี้ เพื่อให้ง่ายต่อการคิดเงิน (แต่ยากสำหรับเรา) ตีเป็นเงินไทยประมาณ 120 บาท แต่ยังเกินงบที่แมททีตั้งไว้ เราจึงขอเปลี่ยนใจลงเดินดีกว่า


พอเปิดประตูลงจากรถ สิ่งแรกที่แมททีทำ คือทำกล้องตก...


ผลคือเลนส์พังไปเลย เพราะเป็นกล้องเก่าแก่รุ่นแรกๆ ที่เปลี่ยนจากฟิล์มมาเป็นดิจิตอล และได้รับสืบทอดมาจากคุณพ่อ แน่นอนว่าเขาไม่มีเงินพอจะซื้อเลนส์ใหม่ หรือกระทั่งซ่อม... ความเครียดจึงครอบงำชีวิตเขาทันที เพราะต้องเดินทางไปต่ออีกหลายประเทศ...


ถึงจะเสียเวลาไปมาก แต่จนแล้วจนรอด เราก็มาถึง Azadi Tower แม้ไม่ทันแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ แต่แสงไฟที่เปิดสาดส่องสถาปัตยกรรมที่ใหญ่โตนี้ ก็ชวนรื่นรมย์อยู่เหมือนกัน


แมททีที่ยังตกอยู่ในอาการเศร้าที่เสียกล้องไป ก็เริ่มรำพึงรำพันถึงแฟนเก่า… วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับเรา แต่เศร้าสำหรับคนอื่น


ผมไม่ถนัดปลอบคนอกหัก เลยเปลี่ยนเรื่องไปแนะนำเขาว่าให้ลองใช้วิธีขอบริจาคกล้องทางอินเทอร์เน็ตดู


หวังว่าตอนนี้เขาคงมีกล้องใหม่ใช้ อยู่บนที่ใดซักแห่งบนโลก