โลกร้ายออนไลน์ Cyberbullying

โลกร้ายออนไลน์ Cyberbullying

ภัยความมั่นคงทางจิตใจนี้กำลังคุกคามเด็กและเยาวชนทั่วโลก เป็นเงามืดที่ซ่อนอยู่ภายใต้การเข้าถึงอย่างไร้ขอบเขตของโซเชียลเน็ตเวิร์ค

เด็กชายวัย 10 ขวบ ผวาตื่นขึ้นมากลางดึก ภาพนั้น...ร่างเปลือยเปล่าที่ถูกแอบถ่ายยังติดตาและติดอยู่ในใจ

“ใครจะเห็นบ้าง”, “เพื่อนจะล้อมั้ย”, “มีภาพอื่นอีกหรือเปล่า” คำถามเหล่านี้วนเวียนรบกวนเขามาหลายคืนจนแทบไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากเจอหน้าใคร

......

เรื่องแบบนี้ดูเหมือนไม่ได้รุนแรงอะไร แต่สำหรับเด็กที่โดนกระทำแล้วมันรบกวนจิตใจและอาจกลายเป็นรอยด่างในชีวิต เพราะหากความอับอายเกิดขึ้นในชั้นเรียน คงมีแค่เพื่อนร่วมชั้นเท่านั้นที่รู้ แต่เมื่อมันถูกเผยแพร่ไปสู่โลกออนไลน์ เขาไม่รู้เลยว่าจำนวนคนที่เห็นจะมากมายสักเท่าไหร่ อีกนานแค่ไหนที่เสียงหัวเราะเยาะจะจางหายไป และมากกว่านั้นคือคำถามที่ติดค้างในใจ...‘ใคร’ เป็นคนทำ

 

-1-

เพราะโลกออนไลน์เปิดโอกาสให้ผู้คนซ่อนตัวตนที่แท้จริงไว้เบื้องหลัง การปิดหน้าแกล้งจึงเกิดได้เพียงแค่มีเครื่องมือที่‘พร้อม’กับใจที่‘พร่อง’ หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นอันป็นผลมาจากโซเชียลมีเดียมาแล้ว ซึ่งในเมืองไทยแม้ปรากฎการณ์นี้จะยังไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ความรุนแรงของการกลั่นแกล้งรังแกกันบนโลกออนไลน์ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังลุกลามไปในกลุ่มเด็กที่มีอายุน้อยลง

ชัชฎาภรณ์ พรมนอก นักศึกษาปริญญาโท หลักสูตรจิตวิทยาเด็ก วัยรุ่น และครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ทำการวิจัยเรื่อง ‘พฤติกรรมการข่มเหงรังแกเด็กบนโลกไซเบอร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร’ เล่าถึงเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งที่ตกเป็น‘เหยื่อ’ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่า

“เด็กบอกว่าก่อนหน้านี้มีผู้ชายคนนึงแอดเฟซบุ๊คมา ก็ไม่ได้สนใจโพรไฟล์อะไร แกก็รับเป็นปกติ สักพักผู้ชายคนนั้นก็โพสต์รูปโป๊ของเด็กที่หน้าวอลล์ในเชิงลามก รูปที่โพสต์เป็นรูปเด็กตอนอาบน้ำ เห็นด้านหลังเปลือย ซึ่งเด็กไม่แน่ใจว่ามีใครมาแอบถ่าย หรือรูปมันไปได้ยังไง แล้วเด็กก็ลบออกไปคิดว่าจบ แต่มันเป็นลักษณะว่าผู้ชายคนนี้เอาไปโพสต์ที่อื่นอีก เด็กก็เลยปรึกษากับเพื่อนสนิท เพื่อนบอกว่าอย่าไปบอกครู อย่าไปบอกผู้ใหญ่นะ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวเขาจะแจ้งตำรวจ ก็คุยกันสองคน ไม่มีใครรู้ เด็กเลยใช้วิธีส่งข้อความไปบอกคนที่โพสต์รูปว่าให้ลบรูปผมซะ เขาก็บอกว่าจะลบให้ แต่จริงๆ คือรูปมันถูกแชร์ออกไปแล้ว และเด็กค่อนข้างได้รับผลกระทบทางจิตใจ กลางคืนตอนนอนก็จะผวาตื่น คิดถึงเรื่องนี้ว่ารูปมันไปถึงไหน เขาถ่ายอะไรได้มากกว่าข้างหลังมั้ย”

นี่ไม่ใช่เรื่องขำๆ แต่เป็นเรื่องซ้ำๆ ที่กำลังคุกคามเด็กและเยาวชน ด้วยเหตุผลที่ว่าคนทุกเพศทุกวัยทุกระดับศีลธรรมต่างเข้าถึงโซเชียลเน็ตเวิร์คได้จากทั่วทุกมุมโลก และบนโลกไซเบอร์นี้ก็ได้สร้างรูปแบบใหม่ๆ ของการกลั่นแกล้งที่ไม่ใช่แค่ล้อชื่อพ่อแม่ ดึงกางเกงหรือเปิดกระโปรง แต่สร้างความอับอายระดับเวิร์ลไวด์และความเสียหายด้านจิตใจอย่างคาดไม่ถึง

การกระทำในลักษณะนี้ถูกเรียกว่า Cyber bullying หรือการกลั่นแกล้งรังแกกันบนโลกไซเบอร์ ผศ.ดร วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ซึ่งศึกษาเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง อธิบายถึงองค์ประกอบสำคัญ 3 ข้อว่า

“อย่างแรกต้องเป็นเด็กรังแกกับเด็ก ถ้าเป็นผู้ใหญ่ทำกับเด็กนี่ไม่ใช่แล้ว ต้องเด็กทำกับเด็กเท่านั้น ข้อสองก็คือใช้เครื่องมือสื่อสาร ใช้อุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ทั้งหลายในการทำ ข้อสามคือ เจตนาทำให้เจ็บปวด ไม่ได้เล่นกันนะคะ เมื่อมีเจตนาก็หมายความว่าเวลาที่เขากระทำจะทำซ้ำๆ ไม่ได้ทำครั้งเดียวเลิก อย่างนี้ก็จะเข้าข่าย Cyber bullying ทีนี้เนื้อหาที่กระทำก็มีตั้งแต่ด่าทอ ใส่ความ พูดในเรื่องที่ไม่จริง หรือเอาเรื่องจริงที่เป็นความลับออกมาเปิดเผย กีดกันออกจากกลุ่ม เป็นต้น”

จากการศึกษาวิจัยของ ดร.วิมลทิพย์ เมื่อปี พ.ศ. 2552 พบว่าในกลุ่มนักเรียนมัธยมและอาชีวศึกษา มีการกลั่นแกล้งออนไลน์มากถึง 52 เปอร์เซนต์ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเรื่องชู้สาว แต่ล่าสุดเมื่อมีการสำรวจกรณีเดียวกันในระดับประถมศึกษา พบว่าเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ต้องเผชิญกับความรุนแรงในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน

“อย่างเด็กสังกัดกทม. เราก็รู้ว่าค่อนข้างจะยากจนใช่มั้ยคะ แต่ปรากฎว่าเด็กเกือบร้อยเปอร์เซนต์มีมือถือที่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งเด็กจะไม่ค่อยใช้ที่โรงเรียน เพราะโรงเรียนมีกฎระเบียบเข้มงวด อนุญาตให้ใช้มือถือได้เฉพาะตอนพักกลางวันกับหลังเลิกเรียน เด็กจะไปใช้ที่บ้าน แล้วก็เข้าร้านอินเตอร์เน็ต แล้วแทบทุกคนจะมีเฟซบุ๊ค ซึ่งจากการที่ได้คุยกับเด็ก 200 คน เขารู้สึกเฉยๆ มากกับการโกงอายุเพื่อให้มีบัญชีเฟซบุ๊ค เด็กบอกว่าถ้าเราไม่มีเราก็จะไม่ทันสมัยเหมือนเพื่อน บางคนก็สมัครเอง บางคนก็ให้เพื่อนสมัคร ทำให้คนอื่นรู้รหัสของตัวเอง”

เพราะความไม่รู้เท่าทันทำให้การใช้อินเตอร์เน็ตของเด็กๆ สร้างพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การใช้บริการร้านอินเตอร์เน็ตแล้วลืมล็อคเอาท์ การรับเพื่อนใหม่แบบไม่มีการกลั่นกรอง การแชร์รูปตัวเองหรือเพื่อนพร้อมเบอร์โทรศัพท์

“มีเด็กผู้หญิง ป 5 คนหนึ่ง อายุ 11 ปี เขาไปเล่นเน็ตที่ร้านแล้วลืมล็อคเอาท์ มีคนสวมรอยใช้เฟซบุ๊คเอาไปโพสต์ข้อมูลตามกรุ๊ปที่ขายบริการทางเพศ ประมาณว่า ‘สาววัยใสวัยประถมยังไม่เคยเสียสาว สนใจติดต่อผ่านอินบ็อกเฟซบุ๊คนี้’ ด้วยความที่เด็กไม่รู้เรื่อง พอมีคนแอดเฟรนด์มาก็รับเลย คือเด็กวัยนี้เขายังไม่ได้คิดถึงอันตรายหรือภัยต่างๆ เขาคิดแค่ว่าใครมีจำนวนเพื่อนเยอะๆ แสดงว่าคนนั้นป็อบปูลาร์ ทีนี้ปรากฎว่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายส่งข้อความมา เด็กบอกว่าตอนแรกก็คุยดีๆ อยู่นะคะ ไปสักพักก็ถามว่า อยู่ที่ไหน เคยรึยัง ขอเบอร์โทรติดต่อหน่อย จะนัดขึ้นห้อง เด็กก็กลัว กลัวมาก แต่ดีที่เด็กคนนี้สัมพันธภาพกับพ่อแม่ค่อนข้างดี ก็เลยมาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ก็รับฟัง ช่วยซัพพอร์ท”

แต่โชคดีไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้งกับทุกคน หลายๆ กรณีอาจจบลงแบบไม่มีความเสียหายทางร่างกาย ทว่าในโลกออนไลน์ซึ่งเรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นแทบทุกนาที แน่ใจได้อย่างไรว่าความสูญเสียอย่างที่หลายคนกังวลจะไม่เกิดขึ้นกับลูกหลานหรือคนใกล้ชิด ที่สำคัญจะรู้ได้อย่างไรว่าบาดแผลในใจของเด็กผู้ถูกกระทำนั้นหนักหนาเพียงใด

-2-

เมื่อโลกที่เคยสดใสด้วยมิตรภาพใหม่ๆ กลับดูน่าหวาดกลัวและไร้ทางออก ความตายดูจะเป็นผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุดของ Cyber bullying

กรณี อแมนดา ท็อดด์ (Amanda Todd) เด็กสาววัย 15 ปี ชาวแคนาดา ที่ได้เล่าความเจ็บช้ำผ่านแผ่นกระดาษเพื่อขอความช่วยเหลือลงในยูทูบ ก่อนจะตัดสินใจจบชีวิตตนเองในที่สุด คือตัวอย่างที่พูดถึงกันไปทั่วโลก แต่ดูเหมือนว่าความสงสารนี้จะไม่ได้ส่งผลอย่างจริงจังต่อการทำความเข้าใจเงื่อนปมที่ไม่ใช่แค่เรื่องเด็กรังแกเด็ก

“เด็กที่ถูกกระทำในลักษณะ Cyber bullying ถ้ากระเทือนต่อกลุ่มเพื่อนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยทุกวัน แล้วอาจไปกระเทือนกับชุมชนแวดล้อมที่เขาอาศัยอยู่ ทำให้อับอายหรือทำให้เกิดการล่อลวงอะไรก็แล้วแต่ ความรุนแรงทางด้านจิตใจ สังคม และอารมณ์จะมีได้กว้างกว่า แล้วก็หยุดไม่อยู่ ผิดกับกรณีที่โดนกลั่นแกล้งเแบบตัวเป็นๆ เพราะตัวเป็นๆ มันก็จบตรงนั้น จริงอยู่ที่ในแง่ความรุนแรงทางกาย กรณีของตัวเป็นๆ ย่อมแรงกว่า แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่จะทำให้เด็กมีความรู้สึกซึมเศร้า แล้วนำไปสู่ความคิดฆ่าตัวตาย หรือหลีกหนีจากสังคม ไม่สามารถจะอยู่ในสังคมได้ มิติที่เรากังวลมากที่สุดคือ สภาวะทางจิตใจ ไม่ใช่ทางด้านร่างกายเลย” รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านวัยรุ่น แสดงความเห็นและว่า ยิ่งผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในโลกไซเบอร์มากขึ้นเท่าไหร่ ปัญหาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น หนักขึ้น กว้างขวางมากขึ้น และอาจจะนำไปสู่พฤติกรรมลอกเลียนแบบได้อย่างไม่ยากเย็น

สอดคล้องกับผลการเก็บข้อมูลในเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาของชัชฎาภรณ์ เด็กที่ถูกแกล้งส่วนหนึ่งบอกว่าอยากให้อภัยให้เรื่องจบๆ ไป ไม่ได้คิดจะแกล้งต่อ แต่ก็ทิ้งท้ายไว้ว่า “เพราะวันนี้ยังไม่สะดวกที่จะแกล้ง ถ้ามีโอกาสก็อาจจะแกล้งคืนเหมือนกัน”

“โดยเฉพาะเด็กผู้ชายจะบอกว่าก็ไม่แน่เหมือนกันนะครับ ถ้าผมมีปัญหากับใครสักคน ผมอาจลอกวิธีที่ผมเคยถูกแกล้งไปแกล้งเขาก็ได้เหมือนกัน อันนี้ก็น่ากลัวนะคะว่าเมื่อเขาโตเป็นวัยรุ่นเขาจะพัฒนาเป็นผู้แกล้งได้หรือเปล่า”

ดังนั้นเพื่อตัดวงจรความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Cyber bullying อย่าง ดร.วิมลทิพย์ เรียกร้องให้ผู้ใหญ่ใส่ใจกับความทุกข์ของเด็ก อย่ามองว่าการด่าทอล้อเลียนในโลกออนไลน์เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

“ผู้ใหญ่มักบอกว่าไม่เห็นเป็นอะไรเลย แต่จริงๆ แล้วเมื่อมองย้อนไปตอนที่เราเป็นเด็ก จะรักเพื่อนมากต้องอยู่กับเพื่อน การที่ถูกทำอะไรแบบนี้สำหรับเด็กคนหนึ่ง มันเสียใจ เสียเซลฟ์ แล้วมันเป็นความบาดเจ็บทางใจ ซึ่งจริงๆ เป็นอะไรที่รุนแรงกว่าทางกาย เพราะเราจะไม่มีทางเห็น ไม่มีทางรู้เลย แล้วความเซนซิทีฟของแต่ละคนกับเรื่องนี้ต่างกัน ถ้าเด็กคนนั้นมีความเซนซิทีฟอยู่แล้ว ตรงนี้จะเป็นตราในใจที่ทำให้เขาเซไปเยอะเลย”

เหมือนกับเหตุการณ์ที่เด็กสาวคนหนึ่งต้องเผชิญ เมื่อแฟนเก่าโพสต์ภาพตัดต่อในลักษณะโป๊เปลือยของเธอพร้อมกับข้อความเสนอขายบริการทางเพศ แม้จะแจ้งลบโพสต์ไปแล้ว แต่ด้วยอานุภาพของการแชร์และความอ่อนแอของมาตรการทางกฎหมาย ความลวงในโลกไซเบอร์ยังคงตามหลอกหลอนเธอ จากเด็กสาวที่ร่าเริงเข้ากับคนง่าย กลายเป็นคนหวาดระแวง เธอถามแม่เสมอๆ ว่า

“เราจะเชื่อใจคนอื่นได้อีกเหรอ”

ดร.วิมลทิพย์ บอกว่าแม้จะยังไม่เคยมีงานวิจัยที่ตามติดคนกลุ่มนี้จริงๆ จังๆ ว่ามีผลกระทบในระยะยาวต่อจิตใจมากแค่ไหน แต่ตัวอย่างเล็กๆ เหล่านี้ก็ทำให้คาดการณ์ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้

“สำหรับมนุษย์คนหนึ่ง ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นเรื่องสำคัญ อยู่บ้านก็ต้องไว้เนื้อเชื่อใจคนในบ้านได้ อยู่โรงเรียนก็ต้องไว้เนื้อเชื่อใจเพื่อนได้ แต่ทุกวันนี้เรากำลังปล่อยให้สังคมของความไม่ไว้ใจ ความหวาดระแวงมันขยายออกไป”

“ถ้าเรามองไปที่สังคมในภาพใหญ่ การที่ผู้ปกครอง ครู ผู้ใหญ่มองว่าเป็นเรื่องเด็กเล่นกัน ไม่มีอะไร แล้วปล่อยไปเลย ขณะที่เด็กยังโดนกระทำอยู่ อันนี้คือความรุนแรงอย่างหนึ่งนะ เรายอมรับให้เด็กเติบโตมาท่ามกลางเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร สำหรับเด็กถ้าเราไม่ทำอะไร ก็เท่ากับมันปกติ เรากำลังฟูมฟักสังคมแห่งความรุนแรง สร้างให้ความรุนแรงมันกลายเป็นเรื่องรูทีน เป็นวิถีชีวิตปกติ ซึ่งในระยะยาวมันไม่โอเค ในต่างประเทศเขาใช้เงินเต็มที่ ใช้วิธีการต่างๆ เต็มที่ เพราะเขามองว่า เราจะปล่อยให้สังคมอยู่ท่ามกลางความรุนแรงไม่ได้”

-3-

แม้จะมีคำแนะนำมากมายในการปกป้องตัวเองจากการถูกกลั่นแกล้งออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น การไม่ตอบสนอง ไม่การตอบโต้ เก็บหลักฐานไว้ บล็อกคนกลั่นแกล้ง แจ้งขอความช่วยเหลือ ใช้เครื่องมือรายงาน หรือถึงขั้นแจ้งความดำเนินคดี แต่เมื่อเหยื่อเป็น‘เด็ก’ ดูเหมือนว่าขั้นตอนเหล่านี้แทบจะใช้ไม่ได้หรือไม่ได้ถูกใช้ด้วยซ้ำ

คนแรกที่เด็กผู้ถูกกระทำจะนึกถึงเสมอก็คือเพื่อนในวัยเดียวกัน “เด็กบอกว่าคนที่จะไม่ปรึกษานอกจากพ่อแม่แล้วก็คือครู เพราะเขามองว่าครูไม่มีเวลา แล้วก็ไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์” ชัชฎาภรณ์ ให้ข้อมูล ซึ่งผลจากการปรึกษาเพื่อน คำแนะนำที่ได้ก็จะเป็นการแกล้งคืนหรือลบข้อความทิ้ง กระทั่งเมื่อไม่สามารถรับมือกับปัญหาได้ เรื่องจึงถูกส่งต่อถึงผู้ใหญ่ที่ไว้ใจ

“อยากให้ผู้ใหญ่ผู้ปกครองเปิดใจว่า เดี๋ยวนี้มันมีภัยทางโซเชียลเน็ตเวิร์คที่มีโอกาสเข้าถึงเด็กเล็กๆ อย่างชั้นประถมได้ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ต้องรอถึงมัธยมหรือมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นต้องสอดส่องดูแล ช่วยแนะนำ เป็นเพื่อนที่รับฟัง เวลามีปัญหาเขาจะได้มาเล่าให้ฟัง อย่างน้อยเราจะได้ช่วยเขาได้ ไม่ใช่ต่อว่า ซ้ำเติม มันจะไปกันใหญ่”

ทั้งนี้ความใส่ใจและเข้าใจจากพ่อแม่ผู้ปกครอง นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่งแล้ว ยังลดความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นกับจิตใจเด็กได้ด้วย แต่แน่นอนว่าดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เด็กต้องตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง

“พ่อแม่ผู้ปกครองต้องสอดส่อง เวลาให้เครื่องมือสื่อสารปั๊บ พ่อแม่คนไทยมักตัดความยุ่งยากไปเลยว่าฉันให้แกแล้ว เอาละ ฉันจะได้มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่น ตอนที่ทำวิจัยเปรียบเทียบระหว่างพ่อแม่คนไทยกับญี่ปุ่น พ่อแม่คนญี่ปุ่นบอกว่ากว่าจะตัดสินใจซื้อเครื่องมือเหล่านี้ให้ลูก เขาคิดนานมาก เพราะมันเป็นความรับผิดชอบที่ต้องงอกขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เขาต้องดูแลลูกมากขึ้น เพราะว่าเครื่องมือนี้มันเอาข้อมูลทั้งหลายแหล่เข้ามาหาลูกได้ตลอด 24 ชั่วโมง คือเป็นมุมมองที่ต่างกันเลย”

เมื่อเครื่องมือในการเปิดประตูสู่โลกไซเบอร์ไม่ได้มาพร้อมกับความรู้เท่าทัน ปัญหาสารพัดจึงพ่วงมาด้วย ทั้งสื่อลามก การล่อหลวง รวมถึงการกลั่นแกล้งกัน ปัจจุบันแม้จะมีกฎหมายดูแลเรื่องเหล่านี้ แต่ที่ผ่านมามักไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดี มาตรการทางสังคมจึงเป็นด่านแรกๆ ที่ต้องช่วยกันเสริมสร้างให้แข็งแรง นพ.สุริยเดว ให้กุญแจสำคัญที่เรียกว่า ‘กัลยาณมิตร’

“จะทำอย่างไรให้เด็กเองมีภูมิคุ้มกันทางด้านจิตใจที่เข้มแข็ง แล้วก็มี Support system หรือหน่วยงานที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ หน่วยงานในที่นี้ก็รวมถึง ครอบครัว โรงเรียน หรือแม้แต่กัลยาณมิตร ซึ่งจำเป็นมากที่ต้องสร้างกองกำลังแบบนี้ไว้เพื่อมาช่วยให้คำแนะนำกับเด็ก”

พร้อมกันนั้นก็ต้องสร้างความรู้เท่าทันสื่อสังคมออนไลน์ ไม่เฉพาะกับเยาวชน แต่รวมถึงผู้ปกครองและครู เพื่อลดช่องว่างและสร้างความไว้วางใจให้กับเด็กในเวลาที่เขาต้องการที่ปรึกษาด้วย

ส่วนตอนนี้ถ้าใครเริ่มกังวลว่าเด็กในความดูแลอาจกำลังเผชิญกับปัญหา Cyber bullying คุณหมอแนะนำให้สังเกตพฤติกรรมว่าผิดแปลกไปหรือไม่

“วิธีที่ดีอย่างหนึ่งคือต้องคอยพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเขา คอยสังเกตอากัปกิริยา ความผิดปกติทางพฤติกรรมมีได้ทั้งสองแบบ ไม่ว่าจะเป็น ก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้น หรือหงอยๆ แยกตัวเองกลายเป็นภาวะซึมเศร้า พวกนี้คนใกล้ชิดทั้งครู เพื่อน พ่อแม่ต้องช่วยกันสังเกต”

เติมความรักให้กันสักนิด ใส่ใจมากขึ้นอีกหน่อย อย่ามองความทุกข์ของเด็กเป็นเรื่องเล็กน้อย และอย่าปล่อยให้เขาต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง เท่านี้ก็เป็นเกราะคุ้มกันทางจิตใจให้เด็กออกไปสู่โลกออนไลน์ได้แบบมั่นๆ แล้ว