‘นครศรี’ เมืองแห่งธรรม ต้องห้ามพลาด
โอกาสดีมาถึง เมื่อ จ.นครศรีธรรมราช ร่วมกับ กลุ่ม สห+ภาพ โดย จิระนันท์ พิตรปรีชา
จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว จ.นครศรีธรรมราช ขึ้น 3 วัน 2 คืน โดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัด พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ให้การต้อนรับ
หลายคนที่แวะมาเมืองนครจะรู้จักแต่เพียงมาสักการะพระบรมธาตุ พระธาตุไร้เงา ที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จากนั้นก็อิ่มหนำกับขนมจีนแล้วก็เดินทางต่อไปจังหวัดอื่น การเดินทางครั้งนี้จึงไม่ใช่การมาเยือนทั่วๆ ไปอย่างที่หลายคนรู้จัก แต่จะไปในที่ๆ หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
ผลไม้หลากลายกินได้ไม่อั้น
ลงเครื่องบินมาเราถูกต้อนขึ้นรถตู้วิ่งตรงดิ่งเข้าไปใจกลางสวนเลยทันที ลงจากรถก็พบกับกองผลไม้มหึมา พร้อมคำเชื้อเชิญให้รับประทาน เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจทุกคนเลยคว้าหมับ กินกันไม่หยุดปาก ทั้งทุเรียน มังคุด แก้วมังกร เงาะ ลืมไปเลยว่าเรามาทำอะไร จนได้ยินเสียงใสๆ จาก “พี่จี๊ด” จิระนันท์ ประธานกลุ่มสห+ภาพ กล่าวถึงการเดินทางครั้งนี้ว่า
“เราอยากนำเสนอจังหวัดนครศรีธรรมราชในวิถีธรรมชาติ เพราะว่าปีที่มังคุดล้นโลก ไม่มีที่ไหนในโลกที่ผลไม้กองอยู่ข้างถนน แล้วเขียนว่า โลละ 3 บาท แถม 1 โล ทำให้คิดว่า ถ้ามันอุดมสมบูรณ์ปลูกผลไม้ได้ขนาดนี้ น่าจะลองทำอย่างนี้ มีต้อนรับ เอาตระกร้าผลไม้วางไว้ กินเสร็จ ค่อยเก็บ”
“นี่เป็นผลไม้ฤดูร้อน เวลาออกก็ออกพร้อมกันหมด คนจะแห่มาเที่ยวไร่ แล้วก็มีโฮมสเตย์ มีอะไรอีกมากมาย หลายจังหวัดที่พังไปแล้วเพราะคิดว่าคนมาทะเลต้องสร้างตึกใหญ่ๆ อย่างนั้นมันไม่เหลือกลิ่นอายท้องถิ่น คนที่มาเที่ยวก็หนีไปที่อื่นต่อ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ มันยั่งยืน ด้านเกษตรเราก็ได้ ด้านท่องเที่ยวเราก็ได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเลย”
ชุ่มฉ่ำน้ำตกอ้ายเขียว
อิ่มหนำสำราญกับผลไม้ ชมสวนผลไม้ และการเก็บผลไม้แล้ว ยังสดชื่นไม่พอ ขบวนของเรามุ่งตรงต่อไปยัง น้ำตกอ้ายเขียว ต.ทอนหงส์ อ.พรหมคีรี เป็นน้ำตก 9 ชั้น ช่วงที่เราไปเป็นช่วงน้ำเยอะ เปิดให้ชมได้เพียง 3 ชั้น เพราะน้ำไหลแรง ชั้น4 และ 5 จะอันตรายไม่ปลอดภัย น้ำไหลมากจากยอดภูเขาหลวง ชั้นที่สวยที่สุดคือชั้น 9 มีการลดหลั่นของน้ำลงมาเป็นหน้าผาชัน ส่วนที่สงสัยกันมากในหมู่พวกเราคือที่มาของชื่อ
ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่า เดิมมีต้นทุเรียนอยู่ต้นหนึ่ง มีหนามสีเขียว แต่ตอนนี้มันยืนต้นตายไปแล้ว “อ้ายเขียว” คือชื่อต้นทุเรียนต้นนั้น น้ำตกแห่งนี้ ชาวบ้านดูแลกันเอง จัดตั้งเป็นชมรมอนุรักษ์เมื่อปีพ.ศ. 2544 คนที่ไม่มีรถ ถ้าจะมาท่องเที่ยว สามารถขึ้นรถสองแถว “นคร-ดอนคา” มาลงที่ปากทางน้ำตกได้เลย คนละ 20 บาท
นครศรีฯ ก็มีทะเล
ชุ่มฉ่ำกับสายน้ำตกก็เดินทางต่อ ระหว่างทางฝนตกหนัก เก้าอี้พลาสติกปลิวว่อนมากลางถนนจนเกรงว่าจะหมดสนุกซะแล้ว แต่ที่ไหนได้ เมื่อเรามาถึง “เขาพลายดำ” หาดทรายสิชล ที่สมเด็จย่าตอนเสด็จมาเรียกว่า “หัวหินสิชล” มองเห็นทะเลกว้างใหญ่ กลับไม่ปรากฏว่ามีฝนตกเลย อากาศแจ่มใส ที่นี่มีอีกชื่อหนึ่งว่า “มังกรทะเลใต้” คือภูเขาที่ติดกับชายทะเลระหว่าง อ.ขนอม กับ อ.สิชล เป็นที่ตั้งของสถานีพัฒนาสงเสริมอนุรักษ์สัตว์ป่า ที่อาศัยของ กระจง, เก้ง, กวาง, ลิง, ค่าง, นก, ผีเสื้อ
ชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์พื้นที่แห่งนี้ มีการวางปะการังเทียมตั้งแต่ปีพ.ศ.2542 ในทะเลมีอาหารทะเล ในป่ามีสัตว์หลายชนิด เป็นห้องเรียนธรรมชาติที่มีครบทั้ง ป่าชายเลน, ทะเล, ภูเขา เป็นที่เดียวที่มี “ปลาโลมาสีชมพู” เห็นได้ก็ตอนที่ฝนตกชะแพลงตอนจากภูเขาลงทะเล เพราะปลาโลมาจะมาหาอาหารกิน ส่วนเวลาค่ำคืน เหล่าเก้ง กวาง จะออกมาเดิน จนชาวบ้านตั้งกฎว่า “ใครยิงนกปรับ 500 ใครฆ่ากวางปรับ 15,000” จะว่าไปมันก็ถูกอยู่นะ น่าจะปรับหนักๆ กว่านี้อีก
ค่ำคืนนี้เราพักผ่อนปาร์ตี้กันริมทะเลที่ “หาดหินงาม” ห่างจากอ่าวท้องยางออกมาไม่ไกล ทะเลนครฯแถบนี้มีหาดมีอ่าวเยอะมาก สลับกับภูเขาสูง มีจุดชมวิวมากมาย ไม่ว่าจะเป็น หาดหน้าด่าน, หาดในเพลา,หาดในเปร็ด, หาดคอเขา,หาดด่านภาษี, หาดสวนสน ฯลฯ ส่วนอ่าวก็มี อ่าวท้องเนียน, อ่าวท้องหยี,อ่าวเตล็ด, อ่าวท้องยาง ฯลฯ
ประมงพื้นบ้าน บ้านปลายทอน
ยามเช้าเรามีนัดหมายไปสัมผัสวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านดั้งเดิม ชุมชนอิสลาม พวกเขาออกเรือไปหาปลาตั้งแต่ตี 3-4 ด้วยเรือหัวโทง แล้วกลับมาขายกันที่ริมชายหาดกันอย่างเรียบง่าย อาหารทะเลสดๆ เป็นๆ ว่ากันว่าปลาที่อร่อยที่สุดคือ “ปลาโคกมัน” แต่แค่ได้เห็นสิ่งที่เขาจับได้ก็ตะลึงเสียแล้ว “กั้ง” ตัวใหญ่ๆ ยังมีชีวิต กุ้ง หอยเม่น ไม่นับปลาที่มีมากที่สุด
วัดเจดีย์ อะเมซิ่งไทยแลนด์
อพยพโยกย้ายสัมภาระใส่รถตู้ เดินทางต่อไปที่ “วัดเจดีย์” ต.ฉลอง อ.สิชล เมื่อเข้าใกล้วัดได้ยินเสียงประทัดระเบิดเสียงดังยาวติดต่อกันไม่หยุดหย่อน ข้างทางเต็มไปด้วยรูปปั้นไก่ วัดนี้ชาวบ้านเรียกว่า “วัดไอ้ไข่” เดิมเป็นวัดร้าง มาฟื้นฟูบูรณะเมื่อ 20-30 ปีนี้ เพราะคนมาบนบานศาลกล่าวกันมาก สร้างรูปแกะสลัก ทำเหรียญ คนบูชาเกิดอภินิหารทำให้คนมาบนบานกันทั่วประเทศ ดังจะเห็นได้จาก ภูเขากองประทัด, ไก่ชนมากมาย มีเรื่องเล่าว่า ถ้าของหาย บนบานแล้วจะมาตั้งไว้เอง ถ้าเป็นสัตว์วัวควายหายไป บนบานก็จะกลับมา บางคนพอจับได้ คนถามว่าบนไอ้ไข่ใช่มั้ย ตอบว่า “ไม่ใช่จับเอง” วัวควายวิ่งเตลิดหายไปอีก ทุกวันนี้คนไม่บนบานเรื่องนี้แล้ว บนบานเรื่องถูกหวย, ให้ค้าขายได้มากกว่า ผู้คนมาจากทุกสารทิศ ทั้งหาดใหญ่ มาเลเซีย อเมริกา บางครั้งคณะเดียว 1,700 คนก็มี
ปากพนัง เมืองท่าโบราณ
เราเดินทางต่อไปที่ “โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” เยี่ยมชม “พิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติฯ” แล้วมาสุดพื้นดินที่ริมน้ำ ก้าวขึ้นเรือ “ส.ภักดี” ตรงท่าน้ำนนท์ ล่องแม่น้ำปากพนัง ย้อนอดีตไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เสด็จมาเปิดโรงสีไฟ ณ ที่แห่งนี้
แม่น้ำปากพนัง เป็นเส้นเลือดใหญ่ของคนนคร เป็นเมืองท่าสำคัญในอดีต ไหลผ่านหลายอำเภอจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เชื่อมโยงไปยังทะเลสาบสงขลา, ทะเลน้อย พัทลุง เป็นลุ่มน้ำใหญ่ 1 ใน 25 ลุ่มน้ำของประเทศไทย เรือมุ่งตรงไปต้นน้ำทางทิศใต้ มองเห็นปล่องโรงสีมากมายที่หลงเหลือ
แม่น้ำนี้อยู่ด้านในของอ่าวไทยห่างจากทะเลนอก 5 กิโลเมตร พื้นที่เป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การทำนาปลูกข้าว ที่นี่ปลูกข้าวได้มากที่สุดในภาคใต้ ส่งข้าวใส่เรือสำเภาไปขายเมืองจีน, มลายู มีโรงสีทั้งหมด 19 โรง ที่สำคัญคือ โรงสีที่ 8 ที่รัชกาลที่ 5 เสด็จมาเปิดด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2448 ระหว่างทางล่องเรือมองเห็นชาวประมงหาปลาอยู่ริมน้ำ ปากพนังเป็นเมืองสามน้ำ น้ำเค็ม น้ำจืด น้ำกร่อย คนปากพนังเป็นคนสามสายเลือด คนพื้นเมือง, จีน, แขก
ตักบาตรยามเช้า วัดพระมหาธาตุฯ
วัดแห่งนี้เดิมชื่อ “วัดพระบรมธาตุ” สมัยอาณาจักรตามพรลิงค์ เจ้าชายธนกุมารและพระนางเหมชาลา นำเสด็จพระบรมธาตุมาประดิษฐาน ณ หาดทรายแก้ว สร้างเจดีย์องค์เล็กๆ ไว้รายรอบ ต่อมาเมื่อพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชสร้างเมืองนครศรีธรรมราช จึงสร้างเจดีย์องค์ใหม่สถาปัตยกรรมลังกาทรงโอคว่ำ ครอบพระธาตุองค์เดิม มีความสูง 55.78 เมตร ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ในปี พ.ศ.2538 กรมศิลปากรบูรณะปลียอดเป็นทองคำ จากฐานบัวคว่ำบัวหงายถึงปลียอด 6.80 เมตร พระอารามหลวงชั้นเอกนี้เป็นปูชนียสถานสำคัญของภาคใต้และของประเทศไทย และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวนคร ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนจะมีรูปพระบรมธาตุติดตัวไว้สักการะอยู่ด้วยเสมอ
เครื่องถมนคร ศิลปะชั้นสูง
รับอรุณเมืองนครฯด้วยการไหว้พระ ตักบาตร กินอาหารเช้าที่ร้านโกปี๊ ก่อนไปชมศิลปะเครื่องถม ที่บ้านอาจารย์นิคม นกอักษร วิชาเครื่องถมเป็นเอกลักษณ์ของนครศรีธรรมราช ท่านเจ้าคุณวัดท่าโพธิ์กลัวว่าจะสูญหายจึงใช้ทุนส่วนตัวเปิดเป็นโรงเรียน หาผู้สนใจมาเรียน จ้างช่างทำเครื่องถมมาสอน โอนเข้าสังกัดกรมอาชีวศึกษาปี พ.ศ.2456 ยกระดับเป็นวิทยาลัยศิลปะประจำภาคใต้ ปัจจุบันที่นี่เป็นศูนย์เรียนรู้ ค้นคว้าวิชาเครื่องถม อาจารย์นิคมบอกว่า
“เครื่องถมนคร วัสดุหลักทำด้วยเงิน 95 ทองแดง 5 เปอร์เซ็นต์ ช่างสมัยก่อนหลอมแล้วรีดด้วยมือทั้งหมด ลวดลายที่ใช้มีลายกนก เปลวไฟ ใบเทศ ปัจจุบันคนเรียนลดลงเรื่อยๆ จนต้องมีทุนให้คนถึงมาเรียนเพิ่มขึ้น เมื่อเขียนลวดลายเสร็จแล้วจะสลักด้วยสิ่วเล็กๆ ปรับแต่งขึ้นรูป
“การลงยาถม” เป็นหัวใจสำคัญ ช่างโบราณจะหวงวิชายาถมมาก ปัจจุบันเปิดเผย มีส่วนผสม3อย่าง เงิน ทองแดง ตะกั่ว หลอมเข้ากัน ใส่กำมะถันลงไป 3-5 ชั่วโมง คนให้เข้ากันตลอดเวลา ละลายเหลวแล้วเทใส่ในรางเหล็ก เอายาถมมาละลายลงไปในร่อง แช่กรด ขัดด้วยลูกประคำดีควาย
สีขาวคือสีของเงิน สีดำคือยาถม เรียกว่า “ถมเงิน” ส่วน “ถมทอง”จะซื้อทองมาผสมกับปรอท ทาเคลือบผิวถมเงิน แบบที่สามคือ “ถมตาดทอง” มีทองบางส่วนเฉพาะที่ต้องการ เครื่องถมมีราคาแพงกว่าเครื่องเงิน 3 เท่า เป็นงานฝีมือราคาไม่ตก เป็นของสะสม แต่เอาไปจำนำไม่ได้ กำไลวงเมื่อก่อน 2000-3000 บาท ปัจจุบันราคาเกือบหมื่น ผมต้องต่อสู้กับคนในวัดพระธาตุเขาขายของเทียมเยอะเลย เราขายแต่ของแท้ทั้งหมด”
บ้านหนังตะลุง
ชมความสวยงามของเครื่องประดับหลากหลายลวดลายแล้ว เดินทางไปชมศิลปะประจำจังหวัดนี้อีกอย่างหนึ่งนั่นคือ หนังตะลุง ที่ ”พิพิธภัณฑ์หนังตะลุง สุชาติ ทรัพย์สิน” ของศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ปี 2549 ที่นี่มีตัวหนังตะลุงหลายเชื้อชาติ พร้อมจัดแสดงให้ชมด้วย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสอนเด็กเชิดหนัง ทำหนังตะลุง อีกต่างหาก ได้ความรู้เพิ่มว่าหนังตะลุงทำได้แต่หนังวัวเท่านั้น หนังควายทำไม่ได้เพราะว่ามันแข็งเกินไป
เพลินกับการดูโน่นชมนี่ยังไม่ทันไรเวลาก็หมดซะแล้ว จังหวัดนี้ยังมีสิ่งล้ำค่า “อันซีน” ที่เรายังไม่ได้สัมผัสอีกมาก ได้แต่หวังว่าโอกาสดีคงได้มาเยือนอาณาจักรโบราณที่ยังคงรุ่งเรืองถึงปัจจุบันแห่งนี้อีกครั้ง







