โลก “ซึมเศร้า” ของ “ดาวดวงนั้น”

ไม่ใช่แค่ “คนดัง” เท่านั้นที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แต่คนข้างๆ หรือแม้กระทั่งตัวเราก็อาจเป็น “คนป่วย” เหล่านั้นเช่นกัน
อาจมีบางวันที่เราต้องห่างไกล ให้เธอรู้เอาไว้ในใจของฉันจะไม่เปลี่ยน เนิ่นนานเท่าไรให้เธอรู้ไว้ว่าแค่เพียง รู้ไว้แค่เพียงว่าเธอยังมีฉัน ... ฉันจะคงย้ำในคำตอบ นานแค่ไหนฉันจะบอก ว่าฉันนั้นรัก รักเธอ และจะรักอย่างนี้เรื่อยไป รักเธอจนวันสุดท้ายที่ยังลืมตา จะรักเธอแม้นานแค่ไหนให้เธอกลับมา จะขอรออย่างนี้ ฉันจะรอให้เธอ กลับมา ไม่หวั่นแม้วันและเวลาจะแสนนาน...
เสียงเพลง “จนวันสุดท้าย (Till I Die)” ของวงสควีซ แอนนิมอล ยังคงดังกึกก้องอยู่ในหัวใจของแฟนเพลงที่เพิ่งสูญเสีย “ศิลปิน” ที่พวกเขารักไป แม้ไม่เคยสนิทชิดเชื้อ แม้ไม่เคยพูดจา แต่การจากลาแบบไม่มีวันกลับก็สร้างความสะเทือนใจให้กับทุกคนได้เป็นอย่างดี
ไม่บ่อยครั้ง แต่แทบทุกครั้งที่ศิลปิน ดารา หรือคนดัง ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองลงด้วยการ “ฆ่าตัวตาย” ก็มักจะทำให้ทุกคนหันกลับมาสนใจ “ต้นเหตุ” ของการกระทำนั้นเสมอ ทว่า สถิติการฆ่าตัวตายก็ไม่เคยลดลงเลย
ยังคงมีศิลปิน ดารา และคนดัง เลือกเดินทางไกลแบบไม่ตีตั๋วกลับอีกคน และอีกคน
......................
ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ระบุว่า 2 ใน 3 ของคนที่ฆ่าตัวตายมีอาการของโรคซึมเศร้าที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือการรักษา และจากการศึกษาในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา พบว่า นักเขียนและศิลปิน เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไปมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า 8-10 เท่า และมีโอกาสฆ่าตัวตายมากกว่าคนทั่วไปถึง 6-18 เท่า
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สาเหตุที่กลุ่มศิลปินมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้า และฆ่าตัวตายสูงกว่าคนปกติ เพราะบุคลิกของตัวศิลปินเอง เช่น มีความสันโดษมากกว่าผู้อื่น มีอารมณ์ร่วม หรืออ่อนไหวต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้ง่าย บวกกับสภาพแวดล้อมต่างๆ
นอกจากนี้ เรื่องการรักษาภาพพจน์ก็เป็นสาเหตุหนึ่งด้วย เพราะศิลปินที่มีชื่อเสียงบางครั้งไม่สามารถแสดงออกหรือระบายปัญหาของตนให้ใครรับทราบได้ และเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตได้ยาก เพราะกลัวกระทบภาพลักษณ์ของศิลปิน ซึ่งคนทั่วไปมองว่าศิลปินดาราจะต้องสมบูรณ์แบบ รวมไปถึงได้รับความคาดหวังสูงจากคนในสังคม ทำให้บางคนรับแรงกดดันไม่ไหว
ส่วนในต่างประเทศจะพบว่าศิลปินที่ประสบความสำเร็จในระดับสูงมีเงินใช้มากมาย มักมีปัญหาเรื่องการใช้ยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง จนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตและการฆ่าตัวตายได้ในที่สุดเช่นกัน
“ต้องทำความเข้าใจคนทั่วไปก่อนว่า การปรึกษาจิตแพทย์ไม่จำเป็นต้องป่วย อาจเป็นการปรึกษาเพื่อแก้ปัญหาชีวิต และศิลปินดาราก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่สามารถรับความเครียดได้เหมือนกับคนปกติ แต่หากศิลปินดาราที่กังวลไม่กล้าปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต เพราะกลัวคนนำไปขยายความ จริงๆ แล้วก็มีสถานบริการเอกชนหลายแห่งที่ให้บริการทางด้านนี้ ก็สามารถนัดเวลานอกเวลาราชการ หรือในวันที่คนไม่เยอะได้ เพื่อคลายความกังวลใจ” นพ.วรตม์ กล่าว
โรคซึมเศร้าถือเป็นภัยเงียบที่น่ากลัว เพราะมันสามารถดึงคนคนหนึ่งให้ตกอยู่ในสภาพหดหู่จนนำไปสู่ภาวะการฆ่าตัวตายได้
แน่นอนว่า โรคซึมเศร้ามีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การฆ่าตัวตาย แต่คนที่ฆ่าตัวตายทุกคนไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า
มีศิลปินในวงการบันเทิงทั้งในและต่างประเทศจบชีวิตตัวเองลงเพราะไม่สามารถเอาชนะโรคซึมเศร้าที่เผชิญอยู่ได้ แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่เข้ารับการรักษาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้น
อลิษา ขจรไชยกุล อดีตนางเอกที่เคยโด่งดังในวงการบันเทิงไทย เคยเผชิญกับโรคร้ายที่ว่านี้เพราะหมดสิ้นทุกอย่าง งานไม่มี แถมยังเป็นหนี้นัวเนีย แฟนที่คบอยู่ก็ไม่สนใจ ความโหดร้ายในชีวิตประดังเข้ามาจนเข้าขั้นโคม่า อลิษาจึงตัดสินใจทำร้ายตัวเองด้วยวิธีกินยา แต่โชคดีที่มีคนช่วยเหลือไว้ทัน ที่สุดแล้วเธอเลือกที่จะยอมรับในความผิดปกติของตัวเอง และค่อยๆ รักษา โดยใช้เวลานานถึง 10 ปี
“บางช่วงที่แย่มากๆ ก็จะขับรถไปดูคนตามป้ายรถเมล์ เห็นบางคนร้องไห้ บางคนทะเลาะกัน บางทีก็จะขับเข้าไปนั่งดูคนบ้าที่ศรีธัญญา ซึ่งเขาก็ดูเหมือนคนปกติแต่คงเครียดจนแย่ ก็กลับมามองตัวเอง ถ้าเราเครียดเราเศร้ามากๆ แล้วเป็นอย่างเขา ใครจะมาดูแลเราล่ะ พอคิดแบบนี้ก็จะมีแรงฮึดขึ้นมาทันที
อีกวิธีที่ใช้บ่อยคือ พยายามมองคนที่ด้อยกว่าแล้วจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เพราะถ้ามัวมองคนที่เหนือกว่าเราก็จะยิ่งรู้สึกแย่ ที่สำคัญต้องพยายามเปิดตัวเอง เพราะปัญหาหลักของแหม่มคืออยู่คนเดียวมากเกินไป พออยู่คนเดียวมันก็คิดมาก ฟุ้งซ่าน ก็ต้องออกไปข้างนอก ไปหาเพื่อน คุยกับเพื่อนบ้าง” อลิษา หรือ แหม่ม เคยกล่าวไว้ใน Mamy Pedia
ด้าน อาทิตย์ ตังสวัสดิ์รัตน์ หรือ อาทิตย์ ริว นักแสดงขวัญใจวัยรุ่นยุค 90 ก็ออกมาเปิดเผยว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า และหมดค่ารักษาไปมากมายหลายล้านบาท สุดท้ายได้กำลังใจจากครอบครัวและคนรอบข้าง ทำให้เขาสามารถฝ่าฟันกับความเจ็บปวดที่ได้รับได้
ส่วนดาราสาว แตงโม-ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ที่พยายามยื้อชีวิตกับมัจจุราชจนที่สุดก็กลับมาสู่โลกความเป็นจริงได้ เธอเป็นหญิงไทยที่กล้าประกาศว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า และเข้าสู่กระบวนการรักษา
“ตอนนี้โรคซึมเศร้าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ คุณหมอเปลี่ยนยาให้ จนบางทีเราเล่นละครก็ร้องไห้ไม่ออก บางวันต้องแอบหักยาครึ่งหนึ่ง เพราะรู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องเล่นฉากร้องไห้ทั้งวัน” แตงโม เผยอาการล่าสุด
ไม่ต่างจาก เอ-ไชยา มิตรชัย ที่เคยทำงานแบบบ้าคลั่งจนระบบร่างกายแปรปรวน กลายเป็นคนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หงุดหงิดกับทุกอย่างรอบตัว กระทั่งไปตรวจพบว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า เครียดมากถึงขั้นจะประกาศอำลาวงการ แต่สุดท้ายพระเอกลิเกและนักร้องดังก็เลือกที่จะรักษาตัวเอง เพื่อให้กลับมายืนอย่างสง่างามอีกครั้งบนเวที
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคซึมเศร้าสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย และทุกสาขาอาชีพ แต่ศิลปินดาราอาจจะเป็นข่าวมากหน่อย เพราะเป็นคนที่อยู่ในแสงไฟ ใครๆ ก็เห็น แต่ไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือฆ่าตัวตายมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ
“เขาแค่เป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสเป็นข่าวสูง แต่ความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าไม่ต่างจากคนอื่น เพราะหมอว่าเรื่องโรคซึมเศร้าเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล โดยอาชีพของแต่ละคนมีความเครียดต่างกัน อย่างหมอทำงานก็มีความเครียด ดาราเองเขาก็มีแรงกดดันตามอาชีพของเขา หรือนักข่าวเองก็มี ขึ้นอยู่กับว่าเราจัดการตัวเองอย่างไร”
รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวต่อว่า โรคซึมเศร้าเป็นโรคเรื้อรังที่พบประมาณ 350 ล้านคนทั่วโลก ทุกวันนี้มีผู้ป่วยชาวไทยที่เป็นโรคซึมเศร้าร้อยละ 2.3 หรือประมาณ 1.2 ล้านคน ปี 2557 กรมสุขภาพจิตมีการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงถึง 12 ล้านคน พบมีแนวโน้มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า 6 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตาย 6 แสนคน แต่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าเพียง 5 แสนคนเท่านั้น
“จริงๆ ปริมาณของผู้ป่วยไม่ได้เพิ่มขึ้นแบบผิดปกติหรืออะไร เพียงแต่คนรู้จักโรคนี้กันมากขึ้น และมีการพบหมอมากขึ้นเท่านั้นเอง”
ถามว่าซึมเศร้ากับเศร้าซึมต่างกันแค่ไหนในแง่จิตวิทยา พญ.พรรณพิมล อธิบายว่า เวลาเป็นโรคซึมเศร้าอาการเศร้าจะยาวนานกว่า ซึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์เป็นหลัก อาการของโรคซึมเศร้าจะยาวนาน 2 อาทิตย์ขึ้นไป ซึ่งจะมีอาการอื่นร่วมด้วย แต่เศร้าซึมจะเป็นภาวะของความไม่สบายใจ ไม่นานอาการเหล่านั้นก็จะหายไป
“คนเราทุกคนเศร้าหมดแหละ แต่จะเศร้าแบบไหน ถ้าเศร้าแล้วหายก็เป็นแค่เศร้าซึม แต่ถ้าเศร้านานเกินไปเราต้องมาวิเคราะห์ดูองค์ประกอบ ดูว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสมเหตุสมผลมั้ย มีตัวกระตุ้นให้เกิดโรคหรือเปล่า
เช่น เราเป็นคนรักสัตว์มาก พอสัตว์ตาย คนที่รักสัตว์มากจะเศร้ามาก คนที่ไม่ได้รักสัตว์มากมายเขาก็ไม่เศร้าอะไรกับเรา แต่ความเศร้าที่เรามีมันจะค่อยๆ หายไป อยู่ไม่นาน แต่ถ้าเวลาผ่านไปแล้วอารมณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ดีขึ้น แถมยังแย่ลงอีกก็ต้องสังเกตอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เบื่ออาหารมั้ย น้ำหนักลดลงหรือเปล่า นอนไม่ได้ วิธีคิดต่างๆ จะเป็นไปในด้านลบ มองทุกอย่างลบไปหมด แบบนี้ควรปรึกษาแพทย์ทันที”
สำหรับสาเหตุหลักๆ ที่นำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตว่า มีอยู่ 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยทางชีวภาพ เช่น พันธุกรรม หรือโรคทางกายบางอย่าง เช่น โรคไทรอยด์ สารเสพติดต่างๆ และปัจจัยด้านจิตสังคมและอุปนิสัยต่างๆ เช่น มองตนเองในแง่ลบ หรือมองโลกในแง่ร้าย รวมทั้งความตึงเครียดทางอารมณ์ เช่น ความตึงเครียดในครอบครัว การเจอกับเหตุการณ์สะเทือนใจอย่างรุนแรง ความผิดหวัง ชีวิตโดดเดี่ยว สูญเสียคนที่รัก ตกงาน หย่าร้าง เป็นต้น
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร กล่าวว่า โรคซึมเศร้ารักษาได้ แต่ถ้าเป็นมากๆ แล้วไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ต่อเนื่อง จะมีแนวโน้มสู่การฆ่าตัวตายได้สูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์จะลดอัตราการฆ่าตัวตายได้มาก เหลือเพียงไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
สำหรับการรักษาสามารถทำได้โดยการใช้ยาต้านอารมณ์เศร้า ซึ่งไม่ใช่ยานอนหลับอย่างที่เข้าใจ การใช้ยานอนหลับจะใช้เมื่อผู้ป่วยมีอาการนอนไม่หลับรุนแรง นอกจากนี้ยังต้องทำจิตบำบัดเพื่อปรับวิธีคิดในแง่ลบ ส่วนคนรอบข้างและสิ่งแวดล้อมก็มีส่วนช่วยให้กำลังใจ ซึ่งต้องดำเนินการไปควบคู่กันทั้ง 3 วิธี และรักษาอย่างต่อเนื่องประมาณ 1-2 ปี
“คนไข้จะบอกหรือไม่บอกญาติหรือคนใกล้ชิดอันนี้แล้วแต่ความสบายใจของเขา บางคนยังกดดันตัวเองอยู่ก็ไม่อยากบอก แต่หมอแนะนำให้บอกคนใกล้ชิด เช่นคนในครอบครัว หรือเพื่อนสนิท ให้เขาร่วมรับรู้ดูแล เพราะบางทีความคิดของคนไข้จะวกวนมาก อาจจะต้องมีคนดูแลจิตใจบ้าง”
นอกจากนี้ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต ยังแนะนำอีกว่า ให้ทุกคนสำรวจจิตใจตัวเองทุกวัน และพยายามผ่อนคลายความเครียดที่เกิดขึ้นในแต่ละวันให้ดี ซึ่งการดูแลอย่างนี้ถือเป็นการเฝ้าระวังสภาพจิตใจของตัวเองในขั้นแรก แต่ถ้าดูแลไม่ไหวการขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์ก็เป็นสิ่งจำเป็น ที่สุดแล้วเราต้อง “ยอมรับ” ตัวเองหากจิตแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคซึมเศร้าจริงๆ
อย่างไรก็ตาม การเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่เป็นโรคนั้นเป็นคนอ่อนแอ คิดมาก หรือเป็นคนไม่สู้ปัญหา แต่ทั้งหมดเกิดจาก “โรค” ที่เขาเป็น ซึ่งถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมอาการก็จะทุเลา และกลับมาเป็นคนปกติในสังคมได้ดังเดิม
..................
สำรวจก่อนมั้ย ใครเป็นซึมเศร้า
การสงสัยเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ เพราะฉะนั้น กรมสุขภาพจิต จึงได้ทำ “แบบคัดกรองภาวะซึมเศร้า” ให้ทุกคนสามารถตรวจสอบตัวเองในเบื้องต้น
ลักษณะคือ เป็นคำถามสั้นๆ จำนวน 15 ข้อ โดยผู้ตอบคำถามจะต้องสำรวจตัวเองและประเมินเหตุการณ์ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “มี” อาการตามข้อต่างๆ นี้หรือไม่
1. รู้สึกจิตใจหม่นหมองหรือไม่ (เกือบตลอดทั้งวัน)
2. รู้สึกเป็นทุกข์จนอยากร้องไห้
3. รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
4. รู้สึกไม่มีความสุข หมดสนุก กับสิ่งที่เคยชอบและเคยทำ
5. รู้สึกผิดหวังในตนเอง และโทษสิ่งที่เกิดขึ้น
6. รู้สึกสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง
7. รู้สึกอยากอยู่คนเดียวไม่อยากสุงสิงกับใคร
8. รู้สึกตนเองไม่มีคุณค่า
9. คิดอะไรไม่ออก
10. หลงลืมง่าย
11. คิดอะไรได้ช้ากว่าปกติ
12. ทำอะไรอืดอาด เชื่องช้ากว่าปกติ
13. รู้สึกอ่อนเพลียง่ายเหมือนไม่มีแรง
14. รู้สึกเบื่ออาหาร กินได้น้อยกว่าเดิม
15. นอนหลับๆ ตื่นๆ หลับไม่สนิท
การแปลผลการทดสอบในเบื้องต้น หากตอบว่า “มี” ตั้งแต่ 6 ข้อขึ้นไป หมายถึง มีภาวะซึมเศร้า ควรได้รับบริการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หรือพบแพทย์เพื่อการบำบัดรักษา และคัดกรองความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายควบคู่กันไปด้วย







