โปรแกรมหน้า “มีชีวิต”

โปรแกรมหน้า “มีชีวิต”

บทบาทใหม่ของโรงหนังเก่า ที่ไม่ได้หยุดแค่การเป็นแหล่งบันเทิง แต่ยังฉายภาพเล่าเรื่อง ‘ชีวิต’ ได้ตลอดไป

หากให้คนยุคเก่าเล่าถึงการดูหนัง คงมีกลิ่นอายความทรงจำเมื่อครั้งได้นั่งหน้าจอยักษ์ติดมาด้วย

จะชวนกันแต่งตัวเก๋ๆ เพื่อไปดูหนัง จับมือกันครั้งแรกที่โรงหนัง หรือพาลูกเข้าไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวที่พื้นโรงหนัง ก็เป็นหลักฐานทางความทรงจำได้ดีว่า การเกิดขึ้นของโรงหนังในยุคแรกเริ่มทำให้ชีวิตโรแมนติกขึ้นไม่น้อย

“หนัง” หรือ “ภาพยนตร์” เป็นที่รู้จักในฐานะมหรสพชนิดใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงแรกเริ่มจะจัดฉายกลางแจ้งแบบมหรสพทั่วไป จากนั้นก็มีการใช้โรงละครเป็นสถานที่ขึงจอใหญ่ และพัฒนากลายเป็น “โรงหนัง” ตั้งขึ้นหลายแห่งเมื่อมีบริษัทใหญ่ คือ พยนตร์พัฒนากร และรูปพยนต์กรุงเทพ เริ่มลงทุน

เมื่อโรงหนังเริ่มขยายตัวไปตามถนนที่สำคัญหรือย่านพาณิชย์ โรงหนังก็กลายเป็นศูนย์รวมของคนในชุมชนนั้นๆ ซึ่งส่วนมากที่ตั้งของโรงหนังก็จะเป็นแหล่งรวมกิจกรรมอื่นไว้ข้างเคียงกัน เช่น มีตลาด หรือห้างร้านให้เลือกซื้อของ มีโรงบ่อน โรงหวย สำหรับนักเลงการพนัน

ทว่าสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป พฤติกรรมการดูหนังที่ก็เปลี่ยนตาม ส่งผลให้ “โรงหนัง” แบบที่เคยมีมา หรือ “สแตนด์อโลน” (Stand Alone) ต้องปรับตัว กระทั่งรับไม่ไหว ค่อยๆ โบกมือลาตามกันไปตามกาลเวลา ปล่อยให้โรงหนังแบบมัลติเพล็กซ์ (Multiplex) ที่มีอยู่เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ต่อสู้กับแผ่นดีวีดี หรือวิดีโอที่ขยันอัปโหลดให้ชมไม่เว้นวัน

ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด โรงหนังแบบสแตนด์อโลนถูกปล่อยให้ร้าง บ้างก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่น จนหมดความสำคัญ ทั้งๆ ที่ภายในตึกเก่าๆ เหล่านั้นมี “ชีวิต” ฉายไว้มากมาย

..เป็นไปได้ไหมที่โรงหนังแบบนี้จะเดินเครื่องฉายอีกครั้ง?

สแตนด์ อโลน

หากเอ่ยถึง เฉลิมไทย, แมคเคนยา (ราชเทวี), ดาวคะนองรามา, เอเชียรามา (พระโขนง), มงคลรามา (สะพานควาย), นครนนท์รามา (นนทบุรี), ศรีสยาม (พระประแดง), กรุงสยามรามา (สะพานใหม่), ธนบุรีรามา ฯลฯ ตอนนี้ก็เหลือเพียงความทรงจำสำหรับคนเมืองไปแล้ว

ชะตากรรมของโรงหนังสแตนด์อโลน ทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสองเหล่านี้ (ชั้นหนึ่ง – ฉายหนังใหม่, ชั้นสอง – ฉายหนังที่เริ่มออกจากชั้นหนึ่งแล้ว) เป็นไปในทางเดียวกัน ในช่วงไม่ถึง 10 ปีที่ผ่านมา อาจเรียกได้ว่า เป็นยุคสุดท้ายก็ว่าได้ โรงหนังที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่งได้พากันแขวนป้ายปิดกิจการ แม้จะงัดกลยุทธ์ลดแลกแจกแถมมาใช้ หรือเปลี่ยนตัวเองเป็นโรงฉายหนังติดเรทเพื่อความอยู่รอด แต่สุดท้ายก็ไม่รอด

“ตั๋วสุดท้าย ราคา 40 บาท ตอนนั้นมีคนเฉลี่ยต่อวัน 50 ก็ยังไม่ถึง” สุทธิพงษ์ ชื่นภักดี เจ้าของกิจการโรงหนัง ธนบุรีรามา ในยุคที่สาม เอ่ย

โรงหนังธนบุรีรามาก่อตั้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 ที่บริเวณใกล้แยก 35 โบวล์ อาคารมีสองชั้น รวมแล้วมีที่นั่งเกือบ 800 ที่ คาดว่า หนังเรื่องแรกที่ฉายคือ “ไอ้หนุ่มซินตึ้ง”

ช่วงเวลาที่สุทธิพงษ์มารับช่วงกิจการต่อจากพ่อและพี่สาว เรียกได้ว่า ไม่ได้อยู่ในยุคที่โรงหนัง “บูม” เท่าแต่ก่อน การบริหารก็ต้องยืนหยัดต่อสู้พอสมควร แต่ก็ไม่มีการฉายหนังติดเรทเพราะเป็นเจตนารมณ์ของพ่อ

“ช่วงที่ซบเซา จากใบปลิวก็เปลี่ยนเป็นบัตรลด ไว้ซื้อตั๋วครึ่งราคา 10 บาท 20 บาท... ถ้าหนังแรงอยู่ 2 อาทิตย์ 3 อาทิตย์คือเต็มที่ ถ้าไม่แรง สามวันก็ต้องถอด เอาหนังเก่ามาผสม” สุทธิพงษ์เล่าถึงวิธีการพยุงโรงหนังให้อยู่ก่อนจะตัดสินใจปิดไปเมื่อเดือนเมษายน 2556 ซึ่งหลังจากนั้น โรงหนังสแตนด์อโลนทั้งชั้นหนึ่งและสองย่านชานเมือง อย่าง นครนนท์รามา ก็ปิดตามกันไป เพราะขาดเครือข่ายที่จะส่งหนังต่อให้

“เรามาเจอทางตันตรงที่เปลี่ยนระบบ มันเป็นพัฒนาการของหนัง การเลิกใช้ฟิล์มคือเรื่องใหญ่ของโรงหนังชั้นสอง กับสายหนังกลางแปลง แล้วการที่จะเปลี่ยนจากฟิล์มเป็นดิจิทัล ต้นทุนมันสูง เครื่องฉายเขาแพง เริ่มแรกเข้ามาก็ราคายี่สิบล้าน ช่วงที่ตัดสินใจเลิกก็ตกมาอยู่ที่ห้าล้าน แต่มันก็ไม่ไหวหรอกสำหรับโรงชั้นสอง” สุทธิพงษ์บอก

 

โรงเก่า บทบาทใหม่

“โรงหนังเก่าจะมีบทบาทใหม่ได้ไหม” นี่คือสิ่งที่ ฟิลิปส์ จาบลอน (Philip Jablon) เจ้าของโครงการ The Southeast Asia Movie Theater ตั้งคำถามไว้ หลังจากศึกษาและลงพื้นที่สำรวจโรงหนังในหลายจังหวัดของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

“ในสมัยที่สร้างโรงหนังสแตนด์อโลน ตอนนั้นคนมีอุปกรณ์บันเทิงที่บ้านน้อย โรงหนังก็สร้างแบบหรูหรามาก เพราะเป็นที่พิเศษ เป็นศูนย์รวมของชุมชน บางที่เคยฉายหนังควบ แต่สุดท้ายแล้วโรงหนังก็ปิดหมด” ฟิลิปส์เล่าถึงความเป็นไปของโรงหนังในไทยที่คล้ายกับที่อเมริกามาก ในการสนทนาเรื่อง “การชุบชีวิตโรงภาพยนตร์เก่า” โดยหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)

จากการศึกษาของฟิลิปส์ พบว่า ฟังก์ชั่นของโรงหนังตามย่านหรือเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดเกือบจะทุกที่ได้เปลี่ยนไป ส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนเป็นสถานที่จอดรถ เป็นโกดังเก็บของ หรืออย่างที่ภาคใต้กลายเป็นรังนกนางแอ่น เพราะทำเงินได้ดีกว่า

จะมีก็โรงหนัง ไทยรามา ที่ศรีสะเกษ ที่ยังเปิดให้คนในชุมชนได้ดูหนังอยู่ในราคา 20 บาท

หรือหากมองหาในกรุงเทพฯ ก็ยังมี สกาล่า ที่ยังเป็นโรงหนังในดวงใจเด็กสยามอยู่ (บ้าง) ส่วนที่อื่นๆ ก็ไม่มีให้ดูแม้แต่อาคาร

“ตอนนี้หยุดกิจการแล้ว ก็รอว่าจะทำอะไรต่อไป” สุทธิพงษ์บอกถึงสถานะของธนบุรีรามาที่ตอนนี้กลายเป็นสถานที่ให้เช่าทำกิจกรรมต่างๆ

ป้ายหน้าโรงหนังธนบุรีรามาได้เขียนไว้ว่า ให้เช่าสถานที่ จัดดนตรี จัดฉายหนังรอบพิเศษ ถ่ายละคร จัดประชุม... แม้จะไม่มีใบประกอบกิจการการภาพยนตร์แล้ว แต่ลักษณะทางกายภาพยังคงสภาพเป็นโรงหนังแต่เดิมอยู่

“ใบประกอบฯ เพิ่งหมดอายุไปเมื่อปีที่แล้ว คือเราเตรียมจะเลิกกิจการเกี่ยวกับโรงหนังอย่างถาวร โรงหนังสแตนด์อโลนชั้นสองนี่หมดแล้ว”

ก่อนหน้าจะปิดธนบุรีรามา ครอบครัวของสุทธิพงษ์ก็ตัดสินใจปิด ราชเทวีรามา กิจการโรงหนังอีกแห่งของครอบครัวไปก่อน ซึ่งสภาพของโรงหนังเวลานี้ก็เหลือเพียงตึกที่ไร้อุปกรณ์ฉายหนังหรือแม้แต่เก้าอี้ และเขาเองก็บอกว่า ธนบุรีรามาก็อาจจะกลายเป็นแบบเดียวกันภายในอีกไม่กี่ปี

การจะเปลี่ยนบทบาทไป แน่นอนว่า เจ้าของคือคนสำคัญที่ต้องตัดสินใจ หากมั่นใจแล้วว่าไม่คุ้มทุน ก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยง

“ตอนนี้ก็มีรับฝากจอดรถชั่วคราวด้วย ปลายปีนี้อาจจะรื้อเก้าอี้ออก ทำเป็นพื้นราบ ก็กะจะให้เช่าเป็นพื้นที่ อาจจะเป็นที่จอดรถ หรือให้เช่าห้อง อันนี้เราจะลงทุนเบื้องต้น แล้วงานใหญ่ค่อยว่ากันอีกที หลังจากแถวนี้สร้างรถไฟฟ้าเสร็จ” สุทธิพงษ์เล่าแผนที่มีอยู่ในใจ ซึ่งไม่ได้มองเรื่องการกลับไปฉายหนังหรือแม้แต่การเปลี่ยนเป็นแหล่งบันเทิงไว้เลย

โรงหนังเก่าที่เปลี่ยนบทบาทไปที่มีให้เห็นมานานก็คือ ศาลาเฉลิมกรุง โรงหนังขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสฉลองกรุงเทพฯ ครบ 150 ปี ใน พ.ศ. 2475 ที่ขณะนี้ถูกเปลี่ยนเป็นเวทีส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นโขน คอนเสิร์ต หรือการแสดงต่างๆ ทั้งนี้อยู่ในความดูแลของสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

หรืออย่างในต่างประเทศก็เช่น ลูคัส เธียเตอร์ ที่สร้างขึ้น พ.ศ. 2464 ที่มลรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกาที่มีการบูรณะเพื่อใช้เป็นโรงหนังแบบเดิมและใช้เป็นศูนย์ศิลปะการแสดง หรือแคโรไลน่า เธียเตอร์ ของสหรัฐฯ ที่อายุไล่เลี่ยกัน ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ให้ความรู้แก่ชุมชนในเชิงศิลปะ ซึ่งทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นได้เพราะประชาชนและนโยบายที่ต้องการเก็บอนุรักษ์มรดกของชุมชนไว้

“การบูรณะโรงหนังมีที่ทำเป็นโรงหนังอย่างเดียวก็มี หรือไม่ก็มีโรงเรียนมาขอทำกิจกรรมต่างๆ หรือให้เช่าเป็นครั้งๆ บางที่ก็ปรับเปลี่ยนสภาพของโรงหนัง ปรับการใช้งานเป็นด้านอื่นๆ เป็นศูนย์การค้า หรือทำอะไรให้ได้เงินมากที่สุด ก็อยู่ที่กฎหมายด้วยว่าทำอะไรได้” ดร.รังสิมา กุลพัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการมรดกทางสถาปัตยกรรม เล่าถึงไอเดียของการฟื้นฟูโรงหนังที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา

 

ชุบชีวิตนางเลิ้ง

ขณะที่อีกฟากของโลกกำลังเห็นความสำคัญของโรงหนังเก่า ในไทยเอง เสียงที่เอ่ยถึงการปรับปรุงโรงหนังเก่าในหลายปีที่ผ่านมาก็เป็นเสียงจากชุมชนที่เคยเป็นย่านเฟื่องฟูมากอย่าง “นางเลิ้ง”

โรงหนังนางเลิ้ง เปิดฉายภาพยนตร์เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2461 โดยบริษัทพยนต์พัฒนากร และเมื่อบริษัทสหศีนีมาเข้ามาดำเนินกิจการได้เปลี่ยนชื่อเป็น “โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมธานี” ฉายหนังหลากหลายทั้งข่าว สารคดี และหนังบันเทิง สถานที่แห่งนี้จึงเป็นแหล่งนัดพบปะของบรรดารุ่นเล็กรุ่นใหญ่ที่เติบโตอยู่ในย่านนี้

“เรามองเห็นโรงหนัง ก็คิดถึงความสุข เรามองเห็นปู่ย่าตายาย นึกถึงย่านสมัยก่อนที่สนุกสนาน จำได้เลย หนังเรื่องแรกไปดูกับย่าเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ยังจำความทรงจำนั้นได้ ย่าจูงมือไปนั่งหลังๆ ชั้นล่าง” สุวัน แววพลอยงาม ชาวนางเลิ้งวัย 56 ปี ที่เป็นผู้นำชุมชนแห่งนี้มานานเล่าความทรงจำที่มีต่อบ้านของเธอ

ความซบเซาของย่านเกิดขึ้นเพราะผู้คนย้ายออกไปพื้นที่อื่น โรงหนังนางเลิ้งจึงได้เลิกฉายหนังไปเมื่อ ปี พ.ศ. 2536 ปัจจุบันโรงหนังแห่งนี้อยู่ในการดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

แม้โรงหนังไม้สักอายุเกือบ 100 ปี ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกจะยังคงสถาปัตยกรรมไว้อย่างสมบูรณ์ แต่กลับไม่มีการใช้ประโยชน์จากโรงหนังอีกแล้ว การบูรณะโรงหนังจึงเป็นความหวังของทั้งคนในชุมชน คนใกล้เคียง หรือแม้กระทั่งนักวิชาการที่ได้ศึกษาความเป็นมาของพื้นที่

“ถือว่าเป็นการอนุรักษ์เพื่อโลกด้วยซ้ำไป ไม่ใช่แค่คนนางเลิ้ง เพราะว่าได้อนุรักษ์ทางกายภาพ แล้วก็ความรู้ทางมรดกที่จับต้องไม่ได้” ดร.รังสิมากล่าวระหว่างการอธิบายโครงการฯ ในอนาคตที่จะปรับปรุงโรงหนังนางเลิ้งให้กลับมา โดยมีโรงหนังเก่าที่สหรัฐฯ เป็นตัวอย่าง

ข้อเสนอจาก “การศึกษาความเป็นไปได้ของการบูรณะและฟื้นฟูโรงภาพยนตร์เฉลิมธานี” นั้นบอกว่า ทางเลือกของการเปลี่ยนโฉมครั้งนี้ ได้แก่ เป็นโรงมหรสพและสถานที่ประกอบการทางธุรกิจ, เป็นโบราณสถาน, เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต (Living Museum) ควบคู่กับโบราณสถาน ซึ่งอย่างหลังคือแนวโน้มที่อยากให้เป็นมากที่สุด เพราะจะได้ทั้งการถ่ายทอดเรื่องราวของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ การเปิดให้ชมภาพยนตร์ในแบบหนึ่งร้อยปีก่อน และการเปิดให้ชมอาคารประวัติศาสตร์ด้วย

“มาถึง ณ วันนี้ จะเป็นอะไรก็ได้แล้ว” เสียงจากสุวันบอก สำหรับเธอที่ฝันเรื่องการบูรณะโรงหนังที่ชุมชนมานานนั้นขอเพียงอย่างเดียว คือ ให้ชุมชนมีที่ยืน

“อาจจะเป็นพื้นที่ที่ทันสมัย ให้เด็กมาทำธีสิสหลุดโลก มีศิลปะ ดนตรีอะไรก็ได้ แต่ผลที่ได้คือชุมชนต้องดีขึ้น ชุมชนจะได้สร้างอาชีพ การจัดกิจกรรมก็อยากให้มีเรื่องของชุมชนบ้าง ให้เกียรติชุมชน เวลามีคนอื่นเข้ามา มันก็โอเคนะ” สุวันบอก

ไม่ต่างจาก นวรัตน์ แววพลอยงาม ลูกสาว วัย 29 ปี ที่แม้จะเกิดขึ้นในยุคของการออกไปดูหนังในห้างดัง แต่ก็อินและเข้าใจความเป็นมาของชุมชนและโรงหนังนางเลิ้งเป็นอย่างดี

นวรัตน์บอกว่า ตอนนี้เธอมองสภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชนเป็น “วัตถุดิบ” อย่างหนึ่งที่เธอ ตลอดจนคนรุ่นใหม่จะช่วยดันไปให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้

“มันอาจจะเป็น co-working space ที่คนมากัน เพราะวัยรุ่นเริ่มมองหาที่ใหม่ อาจจะมากกว่าการรีโนเวทแล้วฉายหนังเหมือนเดิม พื้นที่ตรงนี้ถ้ามันจะเกิดขึ้น เรามอง 50-50 ระหว่างให้คนรุ่นใหม่กับคนแก่ เพราะคนแก่มักมีเรื่องเล่า การเล่าของเขาสร้างอินสไปเรชั่นได้มาก ซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งที่จะเป็นพลังให้คนรุ่นใหม่” นวรัตน์อธิบาย

ความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ในชุมชนและโรงหนังที่ทรุดโทรมให้มีคุณค่าที่จริงแล้วใช้เวลาไม่นาน แต่ความสำคัญอยู่ที่การตกลงกันระหว่างชุมชนและผู้พัฒนา สำหรับ โดม สุขวงศ์ ผู้ก่อตั้งหอภาพยนตร์ นั้น การจะทำให้โรงหนังมีความยั่งยืนได้ ต้องเปลี่ยนความคิดให้หนังมีคุณค่าเทียบเท่า “ศาสนา” เพราะหากเราดูหนังดีที่ดี ก็ทำให้เกิดสติปัญญาได้เช่นกัน

“ทำไมโรงหนังต่างๆ ถึงถูกทุบทำลายไปโดยคนไม่รู้สึกอะไร เพราะคิดว่า มันเป็นสถานบันเทิงชั้นต่ำ ราคาถูก เต้นกินรำกิน ทำไมเขาไม่ทุบโบสถ์” โดมตั้งคำถาม

ฉะนั้นถ้าโรงหนังนางเลิ้งจะกลับมา ง่ายที่สุด คือจะต้องฉายหนังเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งไม่ใช่แค่นางเลิ้ง หรือ โรงหนังอื่นๆ แต่ยังหมายรวมถึงทุกๆ ที่ที่ยังอยากให้ มีชีวิต