มาปันใจให้หนังสารคดี

มาปันใจให้หนังสารคดี

แม้เป็นเพียงกลุ่มผู้ชมเล็กๆ แต่อย่ามองข้าม เพราะกระแสความสนใจของผู้คนที่มีต่อหนังสารคดีวันนี้กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยศักยภาพของตัวเอง




-1-


เมื่อถามถึงกระแสหนังสารคดี (Documentary Film) ที่กำลังผงาดขึ้นมาในความสนใจของอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกในเวลานี้ ผู้สันทัดกรณีอย่าง เกรียงศักดิ์ ศิลากอง ผู้อำนวยการเทศกาลภาพยนตร์โลกกรุงเทพฯ ตอบได้ในทันควันว่า

“เหตุที่ documentary กลับมาอยู่ในกระแสความสนใจมากขึ้น เป็นเพราะหนังแนว fiction (หนังเล่าเรื่อง หรือ feature film) เริ่มหมดมุขแล้วน่ะสิ เพราะทำกันมาทุกอย่างแล้ว เริ่มตีบตันกันแล้ว ดังนั้น จึงกลายเป็นว่า documentary กำลังเป็นทางรอดทางเดียว”

“เพราะ documentary มีเนื้อหากว้างขวาง มีหัวข้อให้เลือกมากมาย หากหัวข้อไหนถูกใจผู้กำกับ ถูกใจนายทุน โอกาสสร้างก็สูงขึ้น อีกทั้งยังใช้ทุนสร้างไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับหนังเล่าเรื่องแนว fiction ดังนั้น โอกาสจึงรออยู่ ยิ่งในเมืองไทย เกิดช่องทีวีดิจิตัลมากมาย ย่อมต้องการหนังสารคดีดีๆ อีกเยอะ”

มาถึงบรรทัดนี้ หลายคนที่คุ้นชินกับหนังสารคดีแบบเดิมๆ ที่มีวิธีการถ่ายทำและวิธีการเล่าเรื่อง เป็นไปตามแบบแผนของ “ข้อเท็จจริง” อย่างเคร่งครัด ในแบบฉบับ traditional อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะ เกรียงศักดิ์ บอกว่า โลกของคนทำหนังสารคดี “ก้าวล้ำ” ไปไกลกว่าความเข้าใจเดิมๆ อย่างมาก

“เอาเข้าจริง ๆ documentary มันก้าวหน้ามาเยอะแล้วนะ มันมี sub-genre มีการทดลองในแนวทางต่าง ๆ เหนืออื่นใด สาเหตุที่ทำให้มันป๊อปปูลาร์ยิ่งขึ้น ยังเป็นเพราะมีผู้กำกับดังๆ ทั้งหลาย หันมาทำ documentary อีกด้วย ลองเอ่ยชื่อดูก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น มาร์ติน สกอ์เซซี , วิม เวนเดอร์ส ...”

ด้านความเห็นของนักวิจารณ์หนัง อย่าง ‘กัลปพฤกษ์’ ตอกย้ำว่า “โมเมนตัม” ของหนังสารคดีมีที่ทางชัดเจนมายาวนานแล้ว อีกทั้งหลายๆ เรื่องยังส่งผลสะเทือนในวงกว้างอีกด้วย

“ในต่างประเทศ มีขนบในการดูหนังสารคดีมานานแล้ว มีหนังดีๆ มากมาย ยกตัวอย่าง เช่น Citizenfour ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน เรื่องสิทธิของประชาชนกับการถูกล้วงข้อมูลส่วนตัว ซึ่งถือว่ามีความเป็นสากลมากๆ วิธีการเล่าเรื่องของหนังสารคดีเรื่องนี้ ทำได้เหมือนหนังเขย่าขวัญเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว มีความลุ้นระทึกตลอดเวลา ทั้งที่เป็นเรื่องจริง ดังนั้น เมื่อมีหนังสารคดีที่เล่าเรื่องได้ดีมาก ๆ เข้มข้นมากๆ ไม่แพ้หนังเล่าเรื่อง มันจึงเป็นทางเลือกให้คนดูหนังได้เช่นเดียวกัน”

พื้นฐานของ “หนังสารคดี” แม้จะอิงกับ “ข้อเท็จจริง” ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักที่แตกต่างจาก “หนังเล่าเรื่อง” แต่ด้วยแนวคิดและวิธีการในการนำเสนอที่มีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา ทำให้วันนี้ “หนังสารคดี” มีแนวทางแยกย่อยออกไปหลายแบบ ดังที่นักวิจารณ์คนเดียวกันมองว่า บางทีอาจจะไปไกลกว่า “ความจริง” ด้วยซ้ำ

“เมื่อมาถึงจุดนี้ จึงเกิดการแยกย่อยแนวทางต่างๆ มีหนังในแบบ fake documentary ตระกูลของหนังสารคดีก็แยกออกมา บางเรื่องทำไปทำมา กลายเป็นว่าหลอกคนดู ว่าที่ทำมาทั้งหมดนั้น เป็นเรื่อง fake (ปลอม) ก็มี หรือมีหนังโน้มน้าวความคิดความเห็น ในแบบ propraganda (โฆษณาชวนเชื่อ) มุ่งปลุกใจ จูงใจ ซึ่งอาจจะเห็นได้ทั่วไปในบ้านเรา หรือหนังสารคดีบางจำพวก ที่ผู้สร้างเลือกจะหมกเม็ดบางข้อเท็จจริง หรือเล่าความจริงเพียงครึ่งเดียว”

“ในกลุ่มนี้ เราจะเห็นได้ว่า ผลงานของผู้กำกับ อย่าง Michael Moore ไม่มีความเป็นกลาง เขาโด่งดังเพราะความบ้ามุทะลุ ซึ่งเมื่อเจอกับหนังลักษณะนี้ ผู้ชมก็ต้องฟังหูไว้หูเหมือนกัน เพราะฟุตเทจก้อนเดียวกัน ตัดต่อออกมา 3 ครั้ง อาจจะไม่เหมือนกัน จะสร้างให้เรื่องเป็นไปในทิศทางไหนก็ได้ สุดท้าย คนดูต้องใช้วิจารณญาณอยู่ดี ซึ่งถึงที่สุดก็พอจับความได้ เพราะเราสัมผัสได้จากน้ำเสียง วิธีการถ่ายทอดว่าผู้สร้างต้องการอย่างไร”

-2-

แน่นอนทีเดียวว่า เทรนด์ของหนังสารคดีในต่างประเทศ ย่อมส่งผลกระทบต่อทิศทางการสร้างสรรค์และการเสพชมหนังสารคดีในบ้านเรา ฟังจากน้ำเสียงของบางคนที่เกี่ยวข้องกับแวดวงคนทำหนังสารคดี มักลงเอยด้วยความหวังที่ว่า “ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนนะ”

อย่างน้อยๆ ทุกวันนี้ เราไม่ได้มีเพียงหนังสารคดีที่ออกฉายในทีวีเท่านั้น แต่ยังมีความพยายามจากหลายๆ ส่วน ที่ผลักดันให้เกิดกิจกรรมฉายหนังสารคดีในโรงภาพยนตร์ มีการเก็บค่าบัตรชมในลักษณะกึ่งๆ เชิงพาณิชย์ หรือมีการผลักดันเป็นโครงการ “คราวด์ ฟันดิ้ง” ชัดเจน ดังกรณีของ Documentary Club คลับหนังสารคดีที่คนไทยควรได้ดู ที่มี ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ และ สุภาพ หริมเทพาธิป เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ


ยังไม่นับรวมกิจกรรมฉายหนังสารคดี ตามเทศกาลต่างๆ หรือในลักษณะของ stand alone ซึ่งล่าสุด เรื่องที่กำลังสร้างความเกรียวกราวในเวลานี้ คือ หนังสารคดี Y/OUR MUSIC ที่เกี่ยวข้องกับเสียงและดนตรีของแต่ละปัจเจก

“วงการนี้มันแคบ ยังไม่ได้ใหญ่โตอะไร ทุกคนก็รู้จักกันหมด เดินไปเดินมาก็ชนกันอยู่แค่นี้ หน้าเดิมๆ ทั้งนั้น แต่โดยภาพรวมถือว่าการรับรู้ของคนไทยที่มีต่อหนังสารคดีดีขึ้นมาก ดังเห็นได้จากการให้รางวัลสุพรรณหงส์ประเภทหนังสารคดี หากเป็นเมื่อ 3-5 ปี ก่อน ก็ยังไม่แน่ใจว่า จะมีคนดูมั้ย ... ” วราลักษณ์ หิรัญเศรษฐวัฒน์ ผู้ร่วมกำกับหนังสารคดี Y/OUR MUSIC แสดงความเห็น

นับตั้งแต่หนังสารคดีเรื่อง ‘สวรรค์บ้านนา’ ของอุรุพงษ์ รักษาสัตย์ (รางวัล ยูเนสโก จากเวที เอเชีย แปซิฟิก สกรีน อวอร์ดส์) เปลี่ยนทัศนคติให้คนดูรับรู้ว่า ยังมีหนังสารคดีถ่ายทำสวยงาม มีศิลปะในการเล่าเรื่อง กระทั่งมาถึงหนังสารคดี ‘ฟ้าต่ำแผ่นดินสูง’ (The Boundary) ของ นนทวัฒน์ นำเบญจพล ที่เคยสร้างความฮือฮาด้วยการถูกแบนจากกองเซ็นเซอร์มาแล้ว หนังสารคดีในเมืองไทย จึงกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ
ครั้งหนึ่ง นนทวัฒน์ นำเบญจพล เจ้าของผลงาน “สายน้ำติดเชื้อ” (By The River) ที่สร้างความฮือฮาในระดับเวทีโลก ด้วยการคว้ารางวัล Special Mention สาย Concorso Cineasti del presente หรือ ผู้กำกับหน้าใหม่ จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโลการ์โน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Locarno international film festival Switzerland) เคยให้สัมภาษณ์ “จุดประกาย” ว่า 

“ผมอยากให้คนทำสารคดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกวันนี้ อะไรมันก็ง่ายขึ้น กล้องก็ถูกมาก คุณมีไอโฟน คุณก็ทำหนังได้แล้ว Full HD ด้วยซ้ำ แล้วก็ตัดต่อด้วยคอมฯ มันอยู่ที่ว่าคุณจะจับประเด็นอะไร และจะนำเสนออย่างไร แค่นั้นเอง อยากให้คนทำหนังเยอะๆ เพราะทุกวันนี้ การใช้กล้องง่ายเหมือนการใช้ปากกาสมัยก่อนแล้ว เพราะฉะนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของคนอยากทำหนัง การทำหนังดี ไม่จำเป็นต้องมีทุนสูง ไม่จำเป็นต้องไปจ้างคนแสดง แค่คุณมีกล้องหนึ่งตัวก็สามารถพาไปในที่ๆ มีประเด็น แค่กดอัดแล้วก็ถ่ายได้ แต่ถ้าทำจริงๆ มันก็มีทุนของมันอยู่แหละ”

จากก้าวแรก ไปสู่ก้าวที่สอง และก้าวต่อๆ ไปนั้น คนทำหนังสารคดี ก็ยังมีโจทย์อื่นๆ รออยู่

“โรงหนังยากเหมือนกัน ถ้าไม่มีดีกรี ก็คุยยาก แต่โชคดีที่ Social Media เข้าถึงทุกคน ถ้าเราไม่อยากจะฉายใน Social Media เราก็สามารถไปหาพื้นที่ของเราฉายเองได้ ผมทำเพจโปรโมท ทุกคนก็สามารถทำได้ แค่ถ่ายแล้วเอามาลง มันไม่ได้ยากเหมือนแต่ก่อนแล้ว” นนทวัฒน์ บอก

ขณะที่ วราลักษณ์ ผู้กำกับร่วม Y/OUR MUSIC มองว่า หนึ่งในปัญหาหลักๆ ยังเป็นเรื่องความคิดความเข้าใจของคนทั่วไปที่มีต่อหนังสารคดีมากกว่า

“ในทางปฏิบัติ ยังมีคนดูทั่วไปที่เคยชินกับหนังตลาด อย่าง Jurassic เขาบอกว่ายังไม่ไว้วางใจ ยังมีความข้องใจกับหนังสารคดีอยู่ เขาใช้คำว่า ‘กลัว’ ด้วยซ้ำ คือยังมีความทรงจำเก่าๆ อยู่ ทั้งที่แวดวงหนังสารคดีในเมืองนอก มีการแยกย่อยออกเป็น sub-genre ต่างๆ มากมาย และหลากหลาย”

“ดังนั้น เมื่อมามองการโปรโมทหนังสารคดี ทุกวันนี้ มันจึงมี pattern ที่เราจะต้องเดินตาม พูดง่ายๆ คนไทยยังไม่ยอมรับอะไรใหม่ๆ การสร้างความยอมรับ เท่ากับว่าต้องมีที่มาจากที่อื่นๆ ก่อน บางที เวลาทำพีอาร์ เราไม่อยากขายมาก ถึงขนาดว่าเคยได้รับเครดิตอะไร มาจากเวทีไหน เทศกาลอะไร มันเหมือนดูถูกคนดู มันคล้ายๆ กับว่า เวลาเราจะคุยกับใครสักคน คุณจะต้องเอาใบปริญญามาตั้งเรียงให้เขาเห็น” วราลักษณ์ เปรียบเปรยให้เห็น

-3-

แม้บริบทในสังคมไทยจะมีข้อจำกัดเพียงใด แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังมีคนที่เล็งเห็นคุณค่าเหล่านี้ ‘กัลปพฤกษ์’ ในฐานะคอหนังตัวจริง เป็นอีกคนหนึ่งที่ตื่นเต้นกับความเคลื่อนไหวของหนังสารคดีในเมืองไทย

“เดิมทีแล้ว คนไทยคุ้นเคยกับสารคดีทางทีวีมากกว่า มองว่าเป็นเรื่องของความจริง เรื่องที่ไม่มีการปรุงแต่ง ทำให้รู้สึกว่าเหมาะจะอยู่ในทีวี มีให้ดูฟรี ดังนั้น เมื่อมีหนังสารคดีไปฉายตามโรงภาพยนตร์ และมีการเก็บเงิน ถือว่าได้แหวกมุมมองและทัศนคติของคนไทยพอสมควร นั่นหมายว่ามันต้องน่าสนใจจริงๆ คนถึงตั้งใจไปดู ซึ่งหากมองในแง่ของคนทำงานสร้างสรรค์แล้ว หนังสารคดีที่สนุก เรียกความสนใจไม่แพ้หนังเล่าเรื่องก็มีอยู่ไม่น้อย ดังนั้น นี่จึงเป็นทิศทางที่ดี”

“ถ้ามองในแง่รายละเอียด หนังสารคดีที่ฉายทางทีวี อาจจะมีแบบแผนอยู่มาก ตรงข้ามกับสารคดีที่ฉายในโรง ซึ่งคนทำสามารถใส่ลีลา ใส่ศิลปะได้มากกว่า ตัวอย่างของ นนทวัฒน์ ถือเป็นการเล่าเรื่องของหนังสารคดีที่แหวกแนวมาก ไม่มีการให้ข้อมูลอะไรมากมาย มีเพียง synopsis เรื่องย่อ ให้พอเข้าใจ หรืออย่าง The Master ของ นวพล (ธำรงรัตนฤทธิ์) ก็มีมุมยียวน ขำขัน หรรษา ไม่ได้ให้แค่ข้อมูลอย่างเดียว”

“หนังสารคดีทางทีวี เน้นการฉายในวงกว้าง ดังนั้น จึงออกเป็น traditional แต่สารคดีตามโรง แม้จะมีผู้ชมจำกัด แต่จะมีลายเซ็นของผู้กำกับปรากฏ บ่งบอกถึงความตั้งใจ ความพยายาม และความเป็นตัวของตัวเอง เสมือนหนึ่งเป็น ประพันธกร เลยทีเดียว” ‘กัลปพฤกษ์’ บอก

คุณค่าของหนังสารคดี ยังสะท้อนได้จากประโยคที่ว่า

“In feature films the director is God; in documentary films God is the director.”
“ในหนังเล่าเรื่อง ผู้กำกับคือพระเจ้า ในหนังสารคดี พระเจ้าคือผู้กำกับ”

นั่นคือ คำกล่าวของปรมาจารย์แห่งวงการภาพยนตร์ อัลเฟรด ฮิทช์ค็อก ที่ เกรียงศักดิ์ ศิลากอง ยกมาอ้างให้เห็น ว่าถึงที่สุดแล้ว หนังสารคดี คือที่สุดของความยาก เพราะมีหลายปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการถ่ายทำหนังเล่าเรื่องทั้งหลาย

“ตอนนี้ คนดูใจกว้างมากขึ้นนะ จะเห็นว่ามีกลุ่มคนดูที่คอยติดตามชมการฉายหนังตามโรงต่างๆ ” เกรียงศักดิ์ เพิ่มเติม ก่อนจะสรุปท้ายว่า

“ต้องขอบอก ขอรับรองเลยว่า หนัง documentary ทุกเรื่องที่คุณไปชม คุณจะได้รับความสุข ความเบิกบานมากกว่าหนัง fiction ดาดๆ แล้วคุณจะหลงรักหนัง documentary ไปเลย”