ฝันไกล ฝันไปสีคิริยะ

4,000 คน คือ ตัวเลขโดยประมาณของประชาชนที่อยู่บนเขาสีคิริยะ ณ เวลานี้
ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตา ไม่ได้ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าก็คงจะไม่เชื่อ เจ้าหน้าที่ประจำโบราณสถานอธิบายว่าวันนี้เป็นวันหยุดเนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา ชาวศรีลังกาจึงพากันมาเที่ยวที่นี่ ทางที่ดีมาพรุ่งนี้จะดีกว่านะ
หลายคนอาจจะสับสนว่า วันวิสาขบูชา จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ หากที่ศรีลังกาจัดให้มีการเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ชาวพุทธที่ศรีลังกาเข้าวัด สวดมนต์ ทำบุญกันแล้ว ก็ถือโอกาสในช่วงวันหยุดพาครอบครัวไปท่องเที่ยวตามสถานที่สำคัญต่างๆทั้งวัดวาอาราม รวมทั้งโบราณสถานที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก เช่น สีคิริยะ และวัดถ้ำดัมบุลลาที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
หลังจากยอมพ่ายต่อจำนวนนักท่องเที่ยวเจ้าถิ่นในวันแรก เรากลับมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นสายกว่าเวลาเปิดทำการ 7.30 น.เล็กน้อย หลังจากมัวอ้อยอิ่งอยู่กับธรรมชาติสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่และฝายน้ำล้นที่ยามรถยนต์แล่นผ่านมองเห็นระดับน้ำสูงกว่าตัวรถ นับเป็นภาพที่ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้น บริเวณที่จอดรถนักท่องเที่ยวคลาคล่ำไปด้วยผู้คนและยานพาหนะ คราวนี้เป็นชาวยุโรปล้วนๆ คาดว่าคงได้รับการบอกเล่าให้มาแต่เช้าเช่นกัน
เอาล่ะ คะเนแล้วจำนวนผู้ที่จะขึ้นเขาวันนี้ยังอยู่ในหลักร้อย น้อยกว่าเมื่อวานเยอะ
ฝันไปสีคิริยะ เริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ นับย้อนไปได้ไกลถึงสมัยเป็นนักเรียนประจำ เสาร์-อาทิตย์ไหนที่ไม่ได้กลับบ้าน จะได้รับอนุญาตให้ยืมหนังสือจากห้องสมุดไปอ่านได้แล้วค่อยมาคืนวันจันทร์
ทางรักของโรสลาเรน เป็นนวนิยายเล่มแรกที่หัดอ่านตามคำแนะนำของเพื่อนที่ได้รับทุนเรียนเก่งทุกปี ระดับหัวกะทิแนะนำย่อมต้องดีมิใช่หรือ จากนั้นก็เริ่มติดหนึบ จบเรื่องนี้มาต่อเรื่องนั้นจนมาพบกับ สิคิริยา ไพรัชนิยาย เขียนโดย โสภาค สุวรรณ
คุณโสภาค กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการเขียนนวนิยาเรื่องนี้ว่า เกิดจากการได้อ่านประวัติศาสตร์ศรีลังกาสมัยเมืองอนุราธปุระ เพียง 3-4 หน้า ประกอบกับการได้ขึ้นไปชมพระราชวังลอยฟ้าที่เรียกกันว่า สีหะคีรี ที่แม้ว่าจะเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ทำให้เธอเกิดความฝัน และนำจินตนาการมาผสานกับประวัติศาสตร์ เกิดเป็นจินตนิยายอิงประวัติศาสตร์ มิใช่นิยายประวัติศาสตร์
ยุคนั้นยังไม่มีระบบปฏิบัติการกูเกิ้ล ทั้งนวนิยายยังไร้ภาพประกอบ มีเพียงภาพปกหลังที่คุณโสภาค ถ่ายรูปคู่กับจิตรกรรมฝาผนังรูปนางอัปสร ภาพพระราชวังลอยฟ้า เสื้อผ้า อาภรณ์ สภาพแวดล้อมของเมืองโบราณจึงเป็นมโนภาพกันไปตามประสาเด็กๆ
จนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย มีโอกาสได้เห็นภาพนางอัปสรบนสีคิริยะ อีกครั้งในวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะลังกา จึงได้รู้ว่าจิตรกรรมฝาผนังรูปนี้มีความงดงามระดับโลกเลยทีเดียว
แถมพระราชวังลอยฟ้าที่ตั้งอยู่บนนั้นเมื่อพันกว่าปีก่อนยังมีทั้งอ่างเก็บน้ำ โรงละคร และที่อัศจรรย์คือ มีการปล่อยม่านน้ำให้ไหลลงมาด้านหลังของแท่นหินที่ตัดเป็นพระแท่นของพระราชา เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนของอากาศ หรือ เรียกง่ายๆว่าเป็นแอร์คอนดิชั่นภูมิปัญญาของคนโบราณ...ได้แต่หวังว่าคงจะมีโอกาสไปเยือนสักครั้ง
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก หลังจากได้พบนักเขียนในดวงใจในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ฝันอยากจะไปสีคิริยะ ผุดขึ้นมาอีกครั้ง ว่าแล้วก็ลองชวนเพื่อนในกรุ๊ปไลน์ว่ามีใครสนใจไปตามฝันกันบ้างมั้ย ไม่น่าเชื่อ ! ไม่มีเสียงค้านมีแต่เสียงขานรับและทัวร์ตามฝันที่สีคิริยะก็เป็นจริงขึ้นมา ...และแล้วก็ได้มายืนอยู่ตรงเชิงเขาสีคิริยะแล้ว ตื่นเต้น ..ตื่นเต้น
สระบัวหน้าจุดขายบัตรสวยมาก ใครจะเข้าห้องน้ำกรุณาเดินไปฝั่งตรงข้าม เพราะข้างบนเขาจะไม่มีห้องน้ำให้เข้าอีกแล้ว หมวก แว่นกันแดด ร่ม กล้องถ่ายรูป และน้ำดื่ม เตรียมไปให้พร้อม
เมื่อพร้อมแล้ว เราก็เดิมข้ามคูน้ำกว้าง 10 เมตร เดิมคงเป็นคูเมืองที่ขุดไว้ล้อมรอบพระราชฐาน เล่ากันว่าสมัยก่อนเลี้ยงจระเข้เอาไว้สำหรับป้องกันศัตรู
เมื่อผ่านคูน้ำแล้ว เข้าสู่เขตพระราชฐาน เราเดินผ่านสวนที่ล้อมรอบด้วยสระน้ำ อุทยานหิน บริเวณที่มีถ้ำ หน้าผา และโขดหินใหญ่น้อย สถานที่สำราญในอดีต มุ่งหน้าสู่อุทยานระเบียง เพื่อยลโฉมนางอัปสร ที่บางท่านกล่าวว่าเป็น โมนาลิซ่า แห่งศรีลังกา
เราค่อยๆเดินตามขั้นบันไดที่ชันขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มาถึงไฮไลท์บันไดวนที่สูงตั้งฉากขนานไปกับภูเขา ตรงนี้แหละที่จะนำเราไปพบกับภาพจิตรกรรมอันเลื่องชื่อ มองที่ขั้นบันได อย่ามองต่ำลงไป แล้วจะไปถึงเอง
ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล อธิบายว่าเป็นภาพที่วาดขึ้นในสมัยพระเจ้ากัสสป ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 11 เป็นภาพของนางอัปสรวาดอยู่เป็นคู่ๆกัน อาจกำลังนำดอกไม้ไปบูชาพระพุทธรูป ตัวนายไม่สวมเสื้อแต่ตัวบ่าวจะสวมเสื้อ
มีผู้สันนิษฐานว่าเดิมมีถึง 500 ภาพ ปัจจุบัน ม.จ.สุภัทรดิศ กล่าวว่าเหลือเพียง 15 รูปเท่านั้น
แม้จะรู้สึกเสียดายที่ภาพเขียนเหลือเพียงเท่านี้ แต่ก็รู้สึกเต็มอิ่มที่ได้ชมภาพเขียนที่ยังงดงามไม่ว่าจะเป็นเส้น หรือสี รวมทั้งฝีมือของจิตรกรโบราณที่วาดภาพขึ้นมาได้ราวกับมีชีวิต ที่ได้ร่ำเรียนมาว่าภาพจิตรกรรมที่สีคิริยะ อยู่ร่วมสมัยกับภาพจิตรกรรมในถ้ำอชันตา ที่อินเดีย กล่าวคือ มีการแสดงอารมณ์ และใช้เทคนิค perspective ด้วยการเติมสีเข้มในบริเวณที่ต้องการให้เกิดความลึก ตรงไหนต้องการให้นูนใช้สีอ่อน ทำให้ภาพมีมิติ มีชัดลึก ชัดตื้น
จากที่เคยมโนจากภาพถ่าย วันนี้ได้เห็นของจริงแบบประจักษ์แจ้งเต็มตา แทบจะไม่อยากเดินไปไหนเลย แต่ยังมีปราการสุดท้ายที่ต้องไปต่อ
ระหว่างทางเดินไปสู่พระราชวังชั้นบนสุด มีกำแพงสีเหลืองขัดมัน เรียกขานกันว่า กำแพงกระจก ว่ากันว่ายามแสงอาทิตย์ส่องมากำแพงจะทำหน้าที่สะท้อนแสงไปยังหน้าผาและขุนเขาให้เกิดแสงสว่าง น่าทึ่งเป็นที่สุด
คราวนี้ก็มาถึงการปีนป่ายครั้งสุดท้าย อุ้งเท้าสิงห์ระหว่างบันไดอิฐ ต่อด้วยบันไดเหล็ก เส้นทางที่สร้างขึ้นมาใหม่สำหรับนักท่องเที่ยว แต่เดิมนั้นนักโบราณคดีบันทึกไว้ว่าบันไดเดิมนั้นอยู่ใต้รูปสิงห์นั่งนี้
นักท่องเที่ยวหลายรายตัดใจหยุดพักที่ตรงนี้ ในขณะที่เราตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องขึ้นไปดูว่าข้างบนนั้นเป็นเช่นไร
บนยอดเขาเป็นพื้นที่ราบที่มีชั้นลดหลั่นกันไปทั้งซากของอาคาร และอ่างเก็บน้ำขนาด 27 x 21 เมตร
นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าฐานอาคารชั้นบนสุดน่าจะเป็นที่ประทับของพระเจ้ากัสสป ผู้สร้างสีคิริยะ ในขณะที่อาคารถัดไปเป็นที่ประทับของพระมเหสีและสนมกำนัล
ส่วนด้านทิศตะวันออกมีพระแท่นสำหรับทอดพระเนตรการแสดงมหรสพ และทอดพระเนตรลงไปชมประชาชนที่รอเฝ้าอยู่ที่เบื้องล่าง
โบราณสถานยิ่งใหญ่ หลายแห่งสร้างขึ้นเนื่องจากความกลัว สีคิริยะก็เช่นกัน บางคนเล่าว่าสถานที่แห่งนี้เป็นอนุสรณ์ของคนบาป เนื่องจากพระเจ้ากัสสปกระทำปิตุฆาฏ เพื่อแย่งชิงบัลลังก์จากพ่อ และยังกลัวว่าเจ้าชายโมคคัลลานะ พระอนุชาต่างมารดาจะมาทวงบังลังก์คืน จึงมาสร้างพระราชวังอยู่บนสีหะคีรี ครองราชย์อยู่ได้ 18 ปี เจ้าชายโมคคัลลานะก็ยกทัพมาตี พระเจ้ากัสสปไม่มีทางสู้เพราะอยู่บนเขาขาดเสบียงอาหารและกำลัง จึงปลงพระชนม์ชีพตนเองบนเขาสีคิริยะแห่งนี้
ในอีกมุมหนึ่งความกลัว อำนาจ และ ความศรัทธา ก็สามารถสร้างที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังบนภูเขาที่สร้างด้วยอิฐมากมาย ระบบชลประทานที่สามารถนำน้ำขึ้นไปเก็บกักบนยอดเขาได้อย่างเยี่ยมยอด
อีกทั้งภาพจิตรกรรมงดงามที่กลายเป็นมรดกล้ำค่าให้คนในพันปีหลังได้ศึกษา ค้นคว้า ต่อไป
ฝันไกล ได้ไปสีคิริยะแล้ว เห็นทีต้องย้อนกลับไปอ่าน สิคิริยา จินตนิยายเพื่อเติมเต็มมโนภาพอีกครั้งหลังได้มาเห็นสถานที่จริง..
ภาพ : จันทร์ทิวา สุวรรณวิทย์เวช
ชมภาพเพิ่มเติมได้ใน facebook : ปิ่นอนงค์ ปานชื่น







