สุดปลายฟ้าที่นอร์เวย์

ท่ามกลางความหนาวเหน็บทางซีกเหนือของโลก ธรรมชาติยังไม่ลืมมอบความงามอันยิ่งใหญ่
และเป็นเอกลักษณ์ไว้ให้เป็นของขวัญแก่นอร์เวย์ ที่นี่มีธารน้ำแข็งล้านปีและฟยอร์ดที่งดงาม ปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน ไปจนถึงแสงออโรร่าที่สาดส่องเหนือท้องฟ้ายามค่ำของฤดูหนาว
.....................
การเดินทางของเราสู่ดินแดนที่ได้รับการยกย่องว่าบริสุทธิ์และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ เกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อน ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยสีสันและความสดชื่นรื่นเริงของฤดูกาล แม้จะมีฤดูร้อนแค่เพียงช่วงสั้นๆ เพียง 3-4 เดือนต่อปี แต่นอร์เวย์ก็ดูจะใช้ช่วงเวลานั้นอย่างคุ้มค่า ดอกไม้ ทุ่งหญ้า ภูเขา ทะเลสาบที่เคยถูกปกคลุมอยู่ภายใต้หิมะและความหนาวมาหลายเดือนได้ถูกหลอมละลายและเปิดเผยความงามออกมาอย่างเต็มที่
แม้จะมีเวลาเพียงสิบวันในนอร์เวย์ แต่กลางวันที่ยาวนานกว่ากลางคืนและพระอาทิตย์ที่แทบไม่เคยลับขอบฟ้าก็ทำให้เราได้มีเวลาเดินทางและเที่ยวชมความงามของนอร์เวย์กันมากขึ้น (แม้จะนอนกันไม่ค่อยเต็มตา เพราะฟ้าสว่าง)
ออสโล เมืองศิลป์
ใช้เวลาบินลัดฟ้าจากกรุงเทพ ประมาณ 14 ชั่วโมง เราก็มาถึงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์ในตอนเช้าตรู่ เราใช้เวลาทำความรู้จักกับออสโลสั้นๆ เพราะมีแผนที่จะต้องขับรถทางไกลต่อไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ
ออสโล (Oslo) หรือ อูสลุ ตามสำเนียงนอร์เวย์ มีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่ช่วงค.ศ. 700 ที่เกิดชุมชนเล็กๆ ขึ้น จนมาถึงยุคของชาวไวกิ้ง ได้มีการขยายและพัฒนาอาณาจักรขึ้นในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร การค้าหรือการต่อเรือ ออสโลจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อของเมืองไวกิ้งอีกแห่งหนึ่งในแถบสแกนดิเนเวีย (แต่ไวกิ้งนอร์เวย์จะถนัดเรื่องการค้าขายมากกว่าเป็นนักรบเหมือนที่อื่นๆ) อย่างไรก็ตามมีการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ได้ตั้งรกรากอยู่ในบริเวณนี้มาตั้งแต่หมื่นปีก่อนคริสตกาลแล้ว
ออสโลเคยผ่านวิกฤติการใหญ่มาแล้วหลายครั้ง นับตั้งแต่ความขัดแย้งทางศาสนา โรคระบาดร้ายแรงอย่างกาฬโลก และตกต้องอยู่ภายใต้การปกครองของเดนมาร์กอยู่นานหลายร้อยปี รวมถึงไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปีค.ศ. 1624 ที่ทำลายเมืองจนราบ แต่กษัตริย์คริสเตียนที่ 4 ของเดนมาร์ก ก็ได้บูรณะออสโลขึ้นมาใหม่ พร้อมเรียกชื่อเมืองใหม่ว่า คริสเตียเนีย (Christiania) ตามชื่อของพระองค์ ก่อนจะได้รับการเปลี่ยนให้กลับมาเป็นออสโลตามเดิมในเดือนมกราคมปี 1925
พบหน้าค่าตากับออสโลครั้งแรก ช่างแตกต่างกับความวุ่นวายขวักไขว่ของกรุงเทพเมืองฟ้าอมรที่เพิ่งจากมา ความสงบและเรียบง่ายของเมือง อาคารสถาปัตยกรรม โบสถ์ประจำเมืองหรือแม้แต่พระราชวังหลวงของออสโล ไม่ได้ทำให้เราต้องร้องว้าวด้วยความใหญ่โตโอ่อ่าหรือหรูหราอลังการ แต่สะท้อนความเป็นมินิมัลลิสต์ที่มีสไตล์ของชาวนอร์เวย์ได้เป็นอย่างดี และอีกสิ่งหนึ่งที่เราค้นพบว่าเป็นเสน่ห์ของออสโล คือที่นี่เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ชั้นดีและงานศิลป์ระดับโลกมากมาย แต่สองไฮไลต์ที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนออสโล ก็คือ การไปชมภาพเขียน The Scream และอุทยานปฏิมากรรมวีกะลันด์
เสียงกรีดร้องอันเงียบงันแห่งออสโล
ไม่ว่าคุณจะอินกับศิลปะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากมาถึงออสโลแล้ว คุณควรจะต้องไปยัง พิพิธภัณฑ์เอ็ดเวิร์ด มุงค์ (Munch Museum) ซึ่งเก็บรวมรวมผลงานของเอ็ดเวิร์ด มุงค์ ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของนอร์เวย์ เขาผู้นี้คือผู้สร้างสรรค์ภาพวาดระดับโลก อย่าง “The Scream” ที่หลายคนคงพอจะจำภาพของชายที่กำลังทำท่ากรีดร้องและเอามือป้องหู ท่ามกลางบรรยากาศรอบข้างที่ดูผิดเพี้ยนอย่างแปลกประหลาด ภาพเขียน The Scream นั้นมุงค์ได้ผลิตขึ้น 4 เวอร์ชั่น โดยใช้เทคนิคที่แตกต่างกัน โดยเวอร์ชั่นหนึ่งเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์มุงค์ และอีกหนึ่งเวอร์ชั่นถูกเก็บรักษาไว้ในฐานะสมบัติของชาติที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งนอร์เวย์ (National Gallery) ดังนั้น หากคุณมีเวลาไม่มากในออสโล อาจจะเลือกชอร์ตคัท ไปชมภาพไฮไลต์ที่ใดที่หนึ่งก็ได้
หนึ่งในเวอร์ชั่นของภาพชุดนี้ ซึ่งใช้เทคนิคสีพาสเทล เป็นเพียงเวอร์ชันเดียวที่ไม่ได้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของนอร์เวย์ โดยมุงค์ได้มอบให้เพื่อนที่สนับสนุนผลงานของเขามานานเก็บรักษาไว้ และเพ็ตเตอร์ ออลเซน ซึ่งเป็นบุตรชายได้นำผลงานดังกล่าวออกประมูลในปี 2012 และภาพถูกประมูลไปด้วยมูลค่าเกือบ 120 ล้านเหรียญ (ราว 3,600 ล้านบาท) เลยทีเดียว โดยถือเป็นภาพที่ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงที่สุดในโลก โค่นแชมป์เก่า อันเป็นภาพ Nude, Green Leaves and Bust ของปิกัสโซ่ลงไปได้ อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่าภาพที่ถูกซื้อขายกันด้วยมูลค่าสูงสุดจริงๆ คือภาพ The Card Players ของ Pual Cézanne ด้วยมูลค่าถึง 250 ล้านเหรียญ (ราว 7,500 ล้านบาท) ในปี 2011 แต่เนื่องจากเป็นการซื้อขายกันในวงในแบบลับๆ จึงไม่มีการยืนยันตัวเลขดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
สถานที่ที่พลาดไม่ได้อีกแห่งหนึ่งในออสโล ก็คือ อุทยานปฏิมากรรมวีกะลันด์ (Vigeland Sculpture Park) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานฟร็อกเนอร์ (Frogner Park) ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 80 เอเคอร์ (320,000 ตารางเมตร) สวนแห่งนี้จัดว่าเป็นพื้นที่แสดงงานปฏิมากรรมกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนรูปปั้นจำนวนกว่าสองร้อยชิ้น มีทั้งรูปปั้นสัมฤทธิ์และรูปปั้นคอนกรีต ซึ่งสร้างสรรค์โดยปฏิมากรเพียงคนเดียว คือ กุสตาฟ วีกะลันด์ (Gustav Vigeland) โดยจัดแบ่งอุทยานออกเป็น 5 โซนด้วยกัน คือ The Main Gate, The Bridge, The Fountain, The Monolith และ The Wheel of Life ซึ่งเขาใช้เวลาสร้างสรรค์นานกว่า 2 ทศวรรษ
ธารน้ำแข็งล้านปีที่บริกสดาล
หลังจากชื่นชมความงามจากฝีมือมนุษย์กันแล้ว เราก็ออกจากออสโลเพื่อ ไปเยี่ยมชมงานศิลป์แห่งธรรมชาติกันบ้าง โดยจุดหมายปลายทางของเราคือ ธารน้ำแข็งบริกสดาล (Briksdalsbreen Glacier) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ทุ่งน้ำแข็งยอสเทอดาล (Jostedal glacier ice field) ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
เมื่อหมื่นกว่าปีก่อน บริเวณที่เป็นประเทศนอร์เวย์ปัจจุบันถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเป็นบริเวณกว้าง แต่เมื่อผ่านพ้นยุคน้ำแข็งและอุณหภูมิโลกสูงขึ้น ทำให้น้ำแข็งที่จับตัวทับถมกันหนาเริ่มละลาย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา สภาพแวดล้อม รวมถึงกำเนิดชีวิตต่างๆ ขึ้นมาใหม่มากมาย แต่ธารน้ำแข็งแห่งยอสเทอดาลยังคงอยู่และกลายเป็นแหล่งสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกได้ใช้ศึกษาทั้งด้านธรณีวิทยาและประวัติศาสตร์ตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา
ยอสเทอดาล กลาเซียร์ กินอาณาบริเวณกว้างถึง 487 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมในหลายเมืองของนอร์เวย์ แต่ธารน้ำแข็งบริกสดาล ในเขตเมืองสตริน (Stryn) นั้น เป็นบริเวณที่เข้าถึงได้ง่ายและมีทัศนียภาพที่สวยงาม เส้นทางไปชมธารน้ำแข็งจากที่ทำการอุทยานฯ ไปจนถึงจุดชมวิว ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินขึ้นไปเองหรือนั่งรถบักกี้พาขึ้นไป แต่หากมีแรงและเวลา ขอแนะนำว่าเดินขึ้นไปจะดีกว่า เพราะไม่ใช่แค่ตัวธารน้ำแข็งที่คุณจะได้ชม แต่ความสวยงามระหว่างสองข้างทางที่เดินไป ก็สวยไม่แพ้กัน ทั้งทุ่งดอกไม้นานาชนิด น้ำตกสีฟ้าสดสวยที่ไหลมาจากธารน้ำแข็งที่ละลายรวมถึงอากาศที่บริสุทธิ์สดชื่น ซึ่งดินแดนแถบนี้ได้รับการยกย่องว่ายังคงความบริสุทธิ์และความสมบูรณ์ของธรรมชาติที่อยู่มายาวนานนับตั้งแต่ยุคน้ำแข็งและทางการนอร์เวย์ได้รักษาเอาไว้อย่างดี
แม้ว่าจะอยู่มายาวนานหลายล้านปี แต่ก็ใช่ว่าธารน้ำแข็งแห่งนี้จะไม่มีอันตราย เมื่อไปถึงธารน้ำแข็ง ไม่ควรเข้าใกล้เกินไปหรือปีนป่ายเล่น เพราะแผ่นน้ำแข็งอาจหลุดเลื่อนหรือถล่มจนได้ (มีป้ายเตือนอยู่ให้เห็น แต่ก็ยังมีหลายคนที่อยากลองสัมผัส) แต่หากต้องการที่จะสร้างประสบการณ์ให้ชีวิตด้วยการเดินท่องกลาเซียร์ก็สามารถทำได้ แต่ไม่ควรไปด้วยตัวเอง ควรไปกับทีมที่มีความชำนาญหรือมีผู้เชี่ยวชาญที่คอยดูแล โดยสามารถซื้อแพคเกจทัวร์ท้องถิ่นที่พาไปเดินเที่ยวชมกลาเซียร์ หรือติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติยอสเทอดาล (Jostedal National Park) ล่วงหน้ากันดู เนื่องจากบริเวณยอสเทอดาล กลาเซียร์ทั้งหมด อยู่ภายใต้การดูแลของอุทยานฯ
ไกแรงเกอร์ ฟยอร์ด มงกุฎแห่งนอร์เวย์
นอกจากกลาเซียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว นอร์เวย์ยังมีฟยอร์ด (fjord) ที่สวยงามตระการตาอีกหลายแห่ง ฟยอร์ดนี้เป็นอ่าวเล็กๆ บริเวณชายฝั่งทะเลซึ่งถูกธารน้ำแข็งกัดเซาะจนเว้าแหว่งมีลักษณะแคบและยาว เว้าลึกเข้าไปในฝั่งระหว่างแผ่นดินสูงชันหรือระหว่างหน้าผาสูงชันตามเชิงเขา ส่วนใหญ่จะพบมากในประเทศที่มีน้ำแข็งปกคลุมยาวนาน เช่น แถบสแกนดิเนเวีย และนิวซีแลนด์ ฟยอร์ดที่นอร์เวย์นั้นได้รับการยกย่องว่าสวยงามและยิ่งใหญ่ จนได้รับาสมญานามว่าเป็นราชินีแห่งฟยอร์ด
แต่ฟยอร์ดที่มีชื่อเสียงโด่งดังและได้รับการยกย่องว่าเป็นดังมงกุฎประดับเพชรของนอร์เวย์ คือ ไกแรงเกอร์ฟยอร์ด (Geirangerfjord) ซึ่งเป็นฟยอร์ดที่มีความยาวประมาณ 15 กิโลเมตร ได้รับการรับรองให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี 2005 ร่วมกับนาเรยฟยอร์ด (Nærøyfjord)
แนะนำว่าคุณควรจะมาค้างคืนที่นี่อย่างน้อย 1 คืน เพื่อจะได้ดื่มด่ำกับความสวยงามของไกแกรงเกอร์ได้อย่างเต็มที่ เมื่อมาที่นี่แล้ว ไม่ควรพลาดขึ้นไปชมความงามของฟยอร์ด ณ จุด Queen’s Chair ที่ทำให้คุณได้เห็นไกแรงเกอร์จากมุมสูง รวมถึง กิจกรรมไฮไลต์ อย่างการล่องเรือ เพื่อชมความอลังการและความงามของทัศนียภาพของฟยอร์ด และยังจะได้ชมน้ำตก "เซเว่น ซิสเตอร์" (Seven Sisters Waterfall) น้ำตกขนาดใหญ่ที่ได้รับการยอมรับว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ โดยมีความสูงประมาณ 250 เมตร (820 ฟุต) นอกจากนั้นระหว่างทางเรายังจะได้พบเห็นร่องรอยการตั้งรกรากและอารยธรรมของชาวไวกิ้งและชาวนายุคโบราณที่เขาอนุรักษ์ไว้ให้ชมกันด้วย
ฝันกลางฤดูร้อนที่เบอร์เกน
ใช้เวลาขับรถแบบเรื่อยๆ จอดแวะชมความงาม ดื่มด่ำกับบรรยากาศรายทางกันมาเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัว เราก็มาถึงช่วงเวลาและจุดหมายปลายทางสุดท้ายกันที่เมืองเบอร์เกน (Bergen) กันเสียแล้ว
ถ้าออสโลคือ ตัวแทนแห่งความสร้างสรรค์ของมนุษย์ บริกสดาลคือความบริสุทธิ์ และไกแรงเกอร์คือความงามของธรรมชาติ เบอร์เกนคงเปรียบเหมือนสีสันและความสนุกสนานของการเดินทางในนอร์เวย์ หรือเราอาจจะโชคดีที่มาถึงเมืองนี้ในช่วงเวลาที่เทศกาลฤดูร้อนกำลังเริ่มต้น เมืองทั้งเมืองจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศของงานเฉลิมฉลองและความสุข มีทั้งการแสดงต่างๆ ทั้งแบบพื้นเมืองและร่วมสมัย ไปจนถึงงานออกร้านที่จำหน่ายอาหารทะเลสดๆ อาหารโฮมเมดอร่อยเลิศ ไปจนถึงงานแฮนด์เมดจากคนท้องถิ่นที่น่าหาซื้อฝากเป็นของที่ระลึก
เบอร์เกน เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของนอร์เวย์ เป็นเมืองท่าสำคัญทางชายทะเลตะวันตกเฉียงใต้ และเป็นศูนย์กลางการขุดเจาะน้ำมันของประเทศ ทั้งยังเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศเมื่อประมาณ 800 ปีก่อน ที่นี่จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม และยังถูกยกย่องให้เป็นเมืองท่าที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของนอร์เวย์
เบอร์เกนเคยเผชิญกับวิกฤติไฟไหม้ใหญ่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ได้รับการบูรณะให้กลับมาสวยงามดังเดิม และยังคงมีอาคารสถาปัตยกรรมโบราณและบรรยากาศเก่าๆ หลงเหลือไว้ให้ได้เห็น โดยไฮไลต์อยู่ที่ ย่านเมืองเก่าซึ่งเรียกว่า บริกเกน (Bryggen) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือ เป็นอาคารไม้ สูง 3 ชั้น จั่วหน้าสามเหลี่ยม บ้านแต่ละหลังถูกทาสีต่างๆ กัน เช่น ขาว แดง เหลือง ฯลฯ เป็นเสน่ห์ที่น่ารักของอาคารไม้เก่าแก่เหล่านี้ และถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเบอร์เกน โดยปัจจุบัน บริกเกนได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมไปเรียบร้อยแล้ว







