Whiplash แรงบันดาลใจรสขม

Whiplash แรงบันดาลใจรสขม

อนันต์ ลือประดิษฐ์ เขียนถึงภาพยนตร์เรื่อง Whiplash

เสียงไม้เคาะลงบนกลองสแนร์หวนกลับมาดังอีกครั้ง ในตอนจบของภาพยนตร์เรื่อง Whiplash เช่นเดียวกันกับตอนเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ ราวกับจะบอกเป็นนัยว่า ชีวิตของคนเรานั้นยังต้องขยับกันต่อไป ไม่ว่าจะเร่งรีบหรือลากช้าเพียงใด

ประเด็นของ 'การเร่ง' (rushing) หรือ 'การลาก' (dragging) นับเป็นหัวใจของเรื่อง เพราะมันเกี่ยวข้องกับ "เวลา" อย่างแนบชิด ทั้งหมดนี้ สะท้อนผ่านภาษาของหนังตลอดเวลา ไม่ว่าเป็นภาพโฟกัสของกล้องจับไปยังนาฬิกาบอกเวลา , หลุมพรางของการลวงเพื่อให้ไปล่วงหน้าก่อนกำหนดการซ้อมจริง , นัดหมายเวลาการแสดง , การแข่งขันกับเวลาบนท้องถนน หรือแม้กระทั่งเทมโปของดนตรีที่ร้อนแรง ณ ระดับ 400 (400 ครั้งต่อนาที) ซึ่งท้าทายต่อศักยภาพของนักดนตรี ฯลฯ

ในเมื่อแจ๊สเป็นเรื่องของดนตรี และดนตรีย่อมเกี่ยวข้องกับเวลา ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกลับมายังชีวิต... อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ดังนั้น การใช้ "เวลา" มาอธิบายแก่นของเรื่อง จึงนับเป็นความแยบยลอย่างแรกสุดของ แดเมียน ชาเซลล์ (Damien Chazelle) ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งทำหน้าที่เขียนบทด้วยตัวเอง อย่างน้อยๆ มันน่าจะมาจากปมๆ หนึ่งในชีวิตของเขา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันจะเป็นมือกลองอาชีพ

Whiplash เล่าเรื่องความฝันของ แอนดรูว์ นีแมน (รับบทโดย ไมล์ส เทลเลอร์) นักศึกษาดนตรีคนหนึ่ง ซึ่งปรารถนาจะก้าวไปให้ถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ โดยมีมือกลอง "บัดดี ริช" ที่มีตัวตนอยู่ในตำนานดนตรีแจ๊สยุคสวิงเป็นเสมือนไอดอล แต่ชีวิตมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แม้จะสามารถออดิชั่นเข้าเรียนต่อในสถาบันดนตรีที่ดีที่สุดของนิวยอร์กแล้วก็เถอะ (Shaffer Conservatory เป็นชื่อสมมติ) ด้วยปมความขัดแย้งของเรื่องที่ถูกปูไว้เป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนๆ ร่วมสถาบัน หรือจะเป็นบนโต๊ะอาหารของครอบครัวก็ตาม

แต่ที่หนักหน่วงที่สุด คงจะหนีไม่พ้นชะตากรรมที่เขาต้องมาพบกับ เทอเรนซ์ เฟล็ทเชอร์ (รับบทโดย เจ.เค.ซิมมอนส์) ผู้ทำหน้าที่เป็นครูและผู้ควบคุมวงบิ๊กแบนด์ หรืออาจจะเรียกอีกอย่างได้ว่า "แจ๊ส ออร์เคสตรา" ที่สร้างความตึงเครียดให้แก่ชีวิตเหล่านักศึกษาดนตรีอย่างถึงขีดสุด ด้วยกฎ กติกา ความโหดหินในการซ้อม และเกมในการหมุนเวียนสลับกันเป็นมือกลอง "ตัวจริง" กับ "ตัวสำรอง" ของเหล่านักศึกษาดนตรี ที่ดูคลอนแคลน และหาความแน่นอนไม่ได้ เพราะเป็นไปตามความปรารถนาของผู้ควบคุมวง

อารมณ์ของตัวละคร ที่ดูเหมือนจะเริ่มนิ่ง เข้าที่เข้าทาง มีความหวัง เหมือนชีวิตปกติทั่วไปของคนเรา ถูกสั่นสะเทือนขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อความรุนแรงนั้นกระทำผ่านสายตาของสมาชิกคนอื่นๆ ในวงดนตรี ที่ทำได้แต่การเฝ้าดูอย่างเงียบงัน ไร้สรรพสำเนียงใดๆ ในห้องซ้อม ไม่ว่าจะเป็นฉากกดดันที่ แอนดรูว์ เล่นไม่ได้ตามความต้องการของเทอเรนซ์ หรือคำถามสำคัญว่า แกกำลังตีเร่งหรือตีลาก ขณะที่เจ้าตัวตอบได้แค่ว่า "ผมไม่รู้" นั้น นำมาสู่การตบหน้านักศึกษาหลายครั้ง บนจังหวะที่ 4 เมื่อสั่งให้มีการนับจังหวะ 1-2-3-4 เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ

หรือที่ร้ายแรงกว่านั้น คือการเหวี่ยงเก้าอี้ไปยังมือกลองเสียเลย !

การซ้อมดนตรีจนเลือดตกยางออก ต้องเอามือแช่ไว้ในน้ำแข็ง ... ในสายตาของใครบางคน Whiplash จึงเป็นเสมือนฝันร้ายของนักเรียนนักดนตรี....

ดูเผินๆ เสน่ห์ของ Whiplash น่าจะอยู่ตรงที่เป็นหนังเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจ แต่ผู้กำกับ แดเมียน ชาเซลล์ ไม่ได้ต้องการแค่สร้างโลกสวยใส หรือฝากตอนจบที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง เหมือนหนังฮอลลีวูดทั่วไป ในทางตรงกันข้าม เขากำลังผู้ชมบอกว่า ชีวิตจริงกับความฝัน บางทีนั้นเป็นเหมือนหนังคนละเรื่อง และเราเองอาจจะต้องตัดสินใจเลือก ตามแนวทางของปรัชญาเอ็กซิสตองเชียลิสม์ ที่ว่า ถึงท้ายที่สุด เราหนีความรับผิดชอบจากการตัดสินใจเลือกของเราไม่พ้น...

แม้ว่ามันอาจจะลงเอยด้วยการฆ่าตัวตายของศิษย์เก่าของ เทอเรนซ์ ที่ประสบภาวะเครียดและโรคซึมเศร้า ทั้งที่กำลังประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายอาชีพ หรือการที่ แอนดรูว์ ตัดสินใจบอกเลิกความสัมพันธ์กับแฟนสาวอย่างโหดร้าย เพราะเกรงจะไม่มีเวลาในการสร้างความฝันของตนเองให้เป็นจริง ไปจนถึงการตัดสินใจไปร่วมงานกับ เทอเรนซ์ อีกครั้ง ในการแสดงสดที่คาร์เนกี ฮอลล์ โดยค้นพบในเวลาต่อมาว่า เขาถูกเทอเรนซ์หักหลังอย่างโหดร้ายบนเวที (ลูกศิษย์คนนี้ ก็เคยแทงครูข้างหลังมาก่อนเช่นกัน)

แต่ในที่สุด แอนดรูว์ ไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในชะตากรรมเยี่ยงนั้น !

อาจจะมีคนตั้งคำถามว่า ตัวละครร้ายอย่าง เทอเรนซ์ เฟล็ทเชอร์ มีอยู่จริงหรือไม่ บางคนอาจจะนึกถึงครูดนตรีโจมโวยบางคน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ หากแดเมียนจะสร้างตัวละครที่มีชีวิตมีเลือดเนื้อตัวนี้ขึ้นมา ด้วยพื้นฐานของเหตุผลง่ายๆ คือการให้ครูคนนี้มุ่งมั่นที่จะผลิตนักดนตรีคนเก่งๆ เหมือนอย่างที่โลกเคยมี ไม่ว่าจะเป็น หลุยส์ อาร์มสตรอง หรือ ชาร์ลี พาร์คเกอร์ ก็ตาม

แต่เหนืออื่นใด แม้ Whiplash จะเป็นหนังที่เรียกความสนใจผู้ชมทั่วทุกกลุ่ม ตามเรต G ที่ได้รับ แต่สำหรับคนที่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์แจ๊สอยู่บ้าง อาจจะรู้สึกขัดเคืองอยู่สักหน่อย ตรงที่พล็อตอันทรงพลังของหนังเรื่องนี้ ทำให้ผู้ชมไขว้เขวหรือเข้าใจผิดได้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะความจริงนั้น โจ โจนส์ มือกลองของวง เคาน์ เบซี มิได้ขว้างฉาบใส่ตัว เบิร์ด ชาร์ลี พาร์คเกอร์ ด้วยแรงโทสะอันบ้าคลั่ง หากเขาโยนมันไปที่ปลายเท้าของเบิร์ด เพื่อปลุกภวังค์ของนักแซ็กโซโฟนรุ่นเยาว์ อายุเพียง 16 ปี (ในปี 1937) คนนี้มากกว่า ดังนั้น การใช้โทสะเพื่อขับพลังและศักยภาพของลูกศิษย์ ตามที่ เทอเรนซ์ อ้างถึงนั้น จึงน่าจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่น่าถกเถียงในขั้นต่อไปเป็นอย่างยิ่งว่า เราควรใช้วิธีการนี้ในการสร้างนักดนตรี ที่มีเป้าหมายในการมอบความสุนทรีย์ให้แก่มนุษยชาติหรือไม่

ในทางตรงกันข้าม อาจจะเป็นเรื่องจริงอยู่ไม่น้อยว่า การเสียหน้าจากความผิดพลาดของนักดนตรีเอง กลับเป็นพลังให้พวกเขามุมานะต่อไป ในการฝึกฝนเพื่อให้เล่นดนตรีได้ดีขึ้น ดังกรณีของ ชาร์ลี พาร์คเกอร์ ที่ไปฝึกฝนแต่ละเพลงในทุกๆ คีย์ ในภูเขาโอซาร์ค จนกลับมาเป็นนักดนตรีที่มีความสามารถ ไม่มีใครเทียบทาน ซึ่งทฤษฎีนี้ ยังน่าจะล้มล้างความเชื่อเก่าๆ เกี่ยวกับ โรเบิร์ต จอห์นสัน ศิลปินบลูส์ชื่อดัง ที่ขายวิญญาณของตนเองให้แก่ซาตาน เพื่อแลกกับความสามารถทางดนตรี หลังจากที่เขาเสียหน้าถูกขับออกจากบาร์ เพราะเล่นกีตาร์ได้แย่มาก แต่แล้วกลับมากลายเป็นคนละคน ตกลงแล้ว โรเบิร์ต จอห์นสัน กลับไปฝึกฝนหรือขายวิญญาณกันแน่

อย่างไรก็ดี โดยภาพรวม Whiplash นำเสนอได้อย่างมีพลัง เข้มข้นในทุกๆ สถานการณ์ที่ร้อยรัดเอาไว้ อีกทั้งฝีมือของตัวละครอย่าง ซิมมอนส์ นั้น ต้องจัดว่า "ชั้นครู" นอกจากนี้ การเลือกใช้เพลง หรือมุมมองทางดนตรีของ แดเมียน ชาเซลล์ ก็นับว่าลุ่มลึกเพียงพอในการสื่อสารให้หนังเรื่องนี้มีความลงตัวอย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะความเข้าใจในดนตรี การเลือกใช้เพลงอย่าง Whiplash บทเพลงของ ดอน เอลลิส ซึ่งตัวชื่อเพลงสื่อถึงแก่นหลักของเนื้อหา รวมถึงเพลง Caravan บทประพันธ์ของ ฮวน ติซอล ที่สร้างชื่อเสียงโดยวงดุ๊ก เอลลิงตัน ที่กลายมาเป็นแบบฉบับของบทเพลงในวงบิ๊กแบนด์แจ๊สทั่วโลก

ที่ผ่านมา เรามีหนังโลกสวยให้แรงบันดาลใจมานักต่อนัก การได้ซึมซับแรงบันดาลใจอันขมปร่าเสียบ้าง บางที อาจจะทำให้เราฉุกคิดถึงชีวิตของเราอีกครั้งว่า ตกลง เรากำลังเร่งหรือลากกันแน่ เรารู้ตัวหรือไม่.