โรงเรียน "สองภาษา"

โรงเรียน "สองภาษา"

โมเดลห้องเรียนสองภาษา พม่า-ไทย ที่ไม่เพียงให้ 'ความรู้' แต่ยังหมายถึงกระดาษแสดงวุฒิเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าเข้าเขตศูนย์การเรียน เจ้าถิ่นตัวเล็กหลายสิบคนก็โบกมือทักทายผู้มาเยือนตั้งแต่ยังไม่ได้ลงจากรถ

"สวัสดีครับ/ค่ะ" เด็กๆ ยกมือไหว้เมื่อคณะผู้มาเยือนเดินผ่าน พาให้อีกหลายคน ยกมือไหว้ตามๆ กัน ขณะที่เด็กหลายคนออกมาต้อนรับด้วยภาษาไทยฉะฉาน ก็ยังมีเสียงเด็กท่องหนังสือต่างภาษาดังออกมาจากหลายห้องเรียน ภาษานี้เป็นภาษาที่คนที่นี่คุ้นเคยดี เพราะเป็นภาษาหลักที่ใช้ในการเรียนการสอน

“มิงกะลาบา” เด็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้น...

...................................................................

ที่นี่คือ ศูนย์การเรียนปารมี ศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติที่ตั้งอยู่ในเขตแนวชายแดนไทย-พม่า อ.แม่สอด จ.ตาก มีนักเรียนข้ามชาติเกือบ 600 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพม่ามาเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 4 รวมอยู่ในการสอน 3 รูปแบบ คือ การศึกษาปกติ การศึกษาขั้นพื้นฐานนอกระบบของไทย (Non Formal Education Thai) และการศึกษาขั้นพื้นฐานนอกระบบของพม่า (Non Formal Education Myanmar) โดยมีการเรียนการสอนในห้องเรียนปกติเป็นหลัก และเปิดโอกาสให้เด็กเข้าเรียนในห้องเรียนนอกระบบตามความสนใจ

“อยากได้ภาษาไทยมากขึ้น ตอนนี้เขียนภาษาไทยได้ อ่านภาษาไทยออกค่ะ หนูคิดว่าอยู่ประเทศไทยก็ต้องได้ภาษาไทยค่ะ ถ้าถึงเวลาภาษาไทยก็จะมาเรียนที่ห้องนี้” เด็กหญิงซอยุแม นักเรียนชั้น ม.2 ชาวพม่าเอ่ย

“ห้องนี้” ของซอยุแม ก็คือ ห้องเรียน กศน. ไทย (สอนเป็นภาษาไทย) ที่มีวิชาหลากหลายให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันที่ไทย ได้แก่ วิชาเศรษฐกิจพอเพียง วิชาภาษาไทย วิชาช่องทางการเข้าสู่อาชีพ คุณธรรมกับการดำเนินชีวิต ศาสนาและหน้าที่พลเมือง เด็กที่สนใจมาเรียนก็จะเข้าเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงเที่ยง และหลังจากนั้นเด็กๆ ก็จะไปเรียนที่ห้องเรียนของศูนย์การเรียนตามปกติ

"ช่วงเช้าเราก็จะพบกลุ่ม ก็คุยกันก่อนเรียน ต่อไปเราก็จะเรียนภาษาไทย ภาษาไทยก็จะให้เขาคุย อ่าน คำศัพท์ แล้วก็ให้เขาค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ต แล้วถึงวิชาเศรษฐกิจพอเพียง ก็จะพาเดินออกไปข้างนอก ไปเรียนรู้เรื่องเกษตร หลังจากนั้นก็กลับมาที่ห้องแล้วก็ให้เด็กคิด เขียนตามที่เขาไปดู ศึกษาดู เขาได้อะไรบ้าง เสร็จแล้วก็พักกินข้าว ตอนบ่ายเขาก็เรียนปกติของเขา" อารียา สิริปรีชาชัย ครูประจำศูนย์การเรียน กศน. ไทย หรือ 'ครูอาย' ของเด็กๆ อธิบายถึงวิธีเรียน และบอกด้วยว่า ช่วงเวลาเรียนในห้องปกติที่เด็กๆ พลาดไป เด็กๆ ก็จะไปเรียนตามทีหลัง เพราะเป็นภาษาพม่าที่พวกเขาเข้าใจอยู่แล้วจึงง่ายต่อการเรียน

ใน 1 เทอม กศน. ไทย ในศูนย์การเรียนปารมี จะมีการเรียนการสอน 5 วิชา และมีครู 3 คน ผลัดกันสอน ก่อนจะเข้ามาเรียนที่ กศน.ไทยได้ เด็กๆ ต้องผ่านการสอบคัดเลือก เพราะเด็กที่สามารถเรียนได้ จะต้องเข้าใจภาษาไทยได้ กศน. ไทย รับเด็กตั้งแต่อายุ 9-15 ปี ในห้องเรียนแห่งนี้จึงมีเด็กเกือบ 40 คนที่คละกันทั้งเด็กเล็กเด็กโต ซึ่งเด็ก กศน. ของไทย จะเป็นกลุ่มเด็กพม่าที่ฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาไทยได้ และอยากพัฒนาภาษาไทย เพื่อที่จะมีงานที่ดีทำ

"กศน. ไทยจะมีตั้งแต่เด็ก ป.2 ถึง ม.3 มีเด็ก ป.2 ป.3 เขาเกิดที่นี่อยู่แล้ว เขาจะพูดไทยได้ แล้วก็สามารถอ่านหนังสือได้ เด็กโตบางคนมาจากพม่า เขาได้ภาษานิดนึงแต่ก็ไม่ได้เท่ากับเด็ก ป.2 ป.3 ที่อยู่มาก่อน มีเด็กบางส่วนที่เขาสามารถอ่านได้ ตีความหมายได้ แต่เขาพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ เวลาสอบคะแนนเขาจะขึ้น จะได้เยอะกว่าคนที่เขาพูดเก่งๆ” ครูอายเล่า และบอกว่า การเรียนรวมกันหลายๆ ชั้นปี ด้วยความรู้ที่ไม่เท่ากัน ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อนักเรียนทั้งหลาย เพราะเด็กๆ ก็สนุกที่ได้สอนภาษาไทยให้กัน

"ภาษาไทย หนูเขียนได้ อ่านได้ ไม่ต้องปรับปรุงเลยค่ะ ครูถามมา หนูก็ตอบได้เลย ส่วนใหญ่หนูก็จะพูดภาษาไทยกับเพื่อนด้วย” เด็กหญิงอี้ทุน ชาวพม่า นักเรียนชั้น ป.5 ตอบเสียงดังฟังชัดเมื่อถามว่า มีปัญหาในการเรียนภาษาไทยหรือไม่

อี้ทุน เกิด และโตในเมืองไทยจึงเข้าใจภาษาไทย เมื่อถึงเวลาเรียนของ กศน. ไทย อี้ทุนก็เลือกที่จะไปนั่งเรียนเพื่อพัฒนาภาษาไทยของตัวเอง และเรียนรู้วิชาจำเป็นอื่นๆ เช่นกัน เธอบอกว่า ความหวังของเธอก็คือ การเรียนจบ และได้ทำงานกับเพื่อนๆ ซึ่งวิชาที่เธอชอบเรียนมากก็คือ วิชาช่องทางการเข้าสู่อาชีพ

“ในวิชาอาชีพฯ เราจะพูดวิชาอาชีพที่อยู่รอบตัวให้เขาฟัง พอเราพูดเสร็จก็ให้เขาคิดเองได้ว่าเขาอยากทำอะไร เราก็จะบอกว่า คนเราต้องมีอาชีพ ถ้าเกิดไม่มีอาชีพก็จะไม่มีเงินใช้ ก็เลยให้เขาทำเป็น mind map จับกลุ่มแล้วก็คิดมาแต่ละคน อยากเป็นนักร้อง อยากเป็นตำรวจ อยากเป็นครูอะไรแบบนี้” ครูอายเล่า

เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กด่างด้าวได้เข้าถึงการศึกษาได้เท่าเทียมกับเด็กไทยนั้น ศูนย์การเรียนข้ามชาติที่มี กศน. ไทย เช่นศูนย์การเรียนปารมีเริ่มมีขึ้นแล้วตามจังหวัดที่มีแรงงานข้ามชาติเข้าไปทำงานอยู่ โดยศูนย์ กศน. กลุ่มเป้าหมายพิเศษ ระบุว่า โครงการพัฒนาการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยสำหรับบุคคลไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร์หรือไม่มีสัญชาติได้นำร่องหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับประถมศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาแล้ว 5 จังหวัด คือ อ.เมือง จ.ระนอง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา อ.เมือง จ.สมุทรสาคร อ.แม่สาย จ.เชียงราย และ อ.แม่สอด จ.ตาก

เด็กที่ได้รับการศึกษาร่วมกันระหว่างศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ และ กศน. เมื่อสำเร็จหลักสูตรจะได้รับหลักฐานการจบการศึกษาซึ่งทำไปสมัครเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นได้

.........................................................

"หนูอยากเรียนภาษาพม่าค่ะ" เด็กหญิงเชอร์รี่ มีมี่ อายุ 12 ปี นักเรียน level 2 ตามระบบการศึกษานอกระบบพม่าของศูนย์การเรียนปารมีเอ่ยเป็นภาษาไทยเมื่อถามว่า ทำไมถึงมาเรียนที่นี่

เชอร์รี่ต่างจากซอยุแม และอี้ทุน เธอเข้าใจทั้งภาษาไทยและภาษาพม่า แต่เลือกเรียนหลักสูตร กศน. พม่า เพราะคิดว่า จะได้ใช้ประโยชน์มากกว่า

"เอาไปใช้ซื้อของค่ะ” เชอร์รี่บอก เธอบอกอีกว่า จบหลักสูตรนี้ เธอก็จะเรียนจบหลักสูตรที่ กศน. พม่ามีให้เรียนแล้ว หลังจากนี้ถ้าเป็นไปได้ เธอก็อยากจะลงเรียนหลักสูตรการเรียนของไทยด้วย

ในกรณีที่เด็กและครอบครัวแรงงานข้ามชาติยังอยู่อาศัยอยู่ในไทยจะสามารถหาโอกาสเรียนได้ตามศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติที่เปิดโอกาสให้เด็กกลุ่มนี้เรียน เช่น ที่ตากจะมีอยู่ถึงเกือบ 70 ศูนย์ที่พม่าตั้งไว้ แต่ปัญหาใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นกับเด็กที่วันหนึ่งต้องกลับไปที่ประเทศต้นทางแล้วอยากเรียนต่อ แต่กลับเรียนไม่ได้

“เขาเรียนโรงเรียนในไทย แต่เขามีแนวโน้ม หรือว่าเป้าหมายที่จะกลับบ้านอยู่แล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเอาการศึกษาในโรงเรียนไทยไปเรียนต่อได้ สมมติจบ ป.3 ที่บ้านเรา ก็จะไปเรียนต่อ ป.4 ไม่ได้ ถ้าจะมีความเป็นไปได้ก็ต้องไปสอบวัด สอบเทียบ ซึ่งถ้าเด็กเกิดในไทย หรือว่าไม่ได้ใช้ภาษาพม่าในชีวิตประจำวันก็จะไม่สามารถสื่อสารภาษาพม่าได้ ไม่สามารถอ่านเขียนภาษาพม่าได้ เพราะฉะนั้นการสอบเทียบก็อาจจะยาก” ลัดดาวัลย์ หลักแก้ว ผู้จัดโครงการพัฒนาแนวทางและรูปแบบการจัดการศึกษาที่เหมาะสมกับผู้มีปัญหาสถานะบุคคลและแรงงานข้ามชาติ (ศสร.) มูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท กล่าว

จากเหตุผลดังกล่าว ก็ทำให้เกิดโมเดลการทดลองเชื่อมโยงการศึกษากับประเทศต้นทางขึ้นใน อ.แม่สอด โดยมูลนิธิช่วยไร้พรมแดน มูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ กศน. ที่ร่วมกันจัดตั้งหลักสูตร กศน. พม่าในฝั่งไทย โดยประสานไปยังหน่วยงานการศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐกะเหรี่ยง หน่วยงานการศึกษานอกระบบของเมียวดี เพื่อนำรายชื่อเด็กที่เรียนอยู่ที่ฝั่งไทยจำนวน 80 คนไปลงทะเบียนไว้ที่โรงเรียนในรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งทำให้ทางพม่าสามารถออกหลักฐานการศึกษาให้เด็กเหล่านั้นได้

การเรียนการสอนของหลักสูตรนี้จึงเป็นไปเพื่อเก็บเด็กที่ตกหล่นจากระบบการศึกษา และให้นักเรียนพม่านำวุฒิการศึกษาไปเรียนต่อที่ฝั่งพม่าได้

“เขาก็เอาหลักฐานการศึกษาไปเรียนต่อ level ต่อไปที่บ้านเขาได้ คืออย่างน้อยมันมีจุดเริ่มต้นใช่ไหม มีจุดเกาะเกี่ยวว่า เด็กที่แม้จะไม่ได้เรียนที่บ้านตัวเอง เรียนที่ฝั่งไทย เวลาเขากลับบ้าน สามารถที่จะไปเรียนต่อที่บ้านได้ ซึ่งมันทำให้เด็กมีความยั่งยืนทางการศึกษา” ลัดดาวัลย์ กล่าวเสริม

ปัจจุบัน มีเด็กเรียนตามหลักสูตร กศน. พม่า ที่ศูนย์การเรียนรู้ปารมี จำนวน 30 คน และที่ศูนย์การเรียนอายอนอู (อา-ยอน-อู) อีก 50 คน การเรียนก็จะมีเวลาเรียนปกติเหมือนกับโรงเรียนทั่วไป ครูที่สอนหลักสูตร กศน. ก็จะได้รับการอบรมให้มีแนวทางการสอนแบบที่พม่า โดยมีแบบเรียนที่บูรณาการหลายวิชาอยู่รวมกัน ซึ่งการอบรมครูตลอดจนการจัดหาอุปรณ์การเรียนก็ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลท้องถิ่นของพม่า

“ครูเป็นครูของศูนย์การเรียน เป็นชาวพม่า กศน.พม่าอบรมให้เป็นครูสำหรับสอน กศน.พม่า โดยเฉพาะ ฉะนั้นการสอนแบบนี้นอกจากประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับเด็ก ก็มีประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับครูด้วย ครูที่สอนในศูนย์การเรียนบางทีก็เป็นเหมือนแรงงานพม่าโดยทั่วไปที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ก็ต้องมาทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย มาสอนในศูนย์การเรียนก็สามารถที่จะมีอาชีพครูได้ เพราะปกติตามกฎหมายไม่เปิดให้คนทำงานต่างด้าวเป็นได้ เขาก็เป็นอาสาสมัคร เป็นอะไรไป เพราะว่าไม่ได้มีสถานะของครูที่ได้รับการรับรองจากการศึกษาในฝั่งไทย แต่ว่าเมื่อ กศน. พม่าสนับสนุนให้จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้ เขาเอาครูที่นี่ไปอบรมแล้วก็ออกใบประกาศรับรองให้ว่า เป็นครู Non Formal Primary Education ของประเทศพม่า” ลัดดาวัลย์กล่าว

เมื่อมีการเรียนตามหลักสูตรของ กศน. พม่า โดยครูที่ได้รับการอบรมโดยตรง ทาง กศน.พม่าก็จะมีการประเมินผลเพื่อดูว่า เป็นไปตามหลักสูตรหรือไม่ โดยจะมีคนทำหน้าที่ดูแลระบบการเรียนการสอนนี้ด้วยตัวเอง

“ในการประเมินทั้งเทอมก็จะมี 4 ครั้ง เราก็จะไปประเมินที่ฝั่งไทย เมื่อถึงสิ้นปีการศึกษาเด็กเขาก็ต้องสอบ แล้วก็จากนั้นก็มาเทียบดูว่า คะแนนเด็กจะเท่ากับคะแนนที่ตั้งไว้ไหม ถ้าคุณภาพของเด็กโอเคก็ถือว่าเด็กคนนี้ผ่าน level นี้ ก็ได้ประกาศนียบัตร” Daw Aye Myint Kyi, Myawadee Township Monitor ผู้รับหน้าที่ประเมิน เอ่ยถึงผลการประเมินที่ผ่านมา 1 ครั้ง นักเรียนของศูนย์การเรียนปารมีได้ 95 เปอร์เซ็นต์ ส่วนศูนย์การเรียนอายอนอูได้ 93 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเชื่อมต่อระบบการเรียนได้ในระดับไหน เพราะขณะนี้เพิ่งเริ่มหลักสูตร แต่กระทรวงศึกษาธิการของพม่าก็มีแนวโน้มในการยอมรับแล้ว

“ยังไงเด็กที่เรียนหลักสูตรนี้ก็เป็นเด็กพม่าที่อยู่ ณ ฝั่งไทย อนาคตเด็กเหล่านี้จะกลับบ้าน เขาก็ยังมีความรู้ที่เกี่ยวกับภาษาพม่าของเขา เพราะว่าได้เรียนรู้หลักสูตรพม่า กระทรวงศึกษาพม่าก็โอเค เพราะเด็กก็ยังได้เรียนต่อไป” Daw Aye Myint Kyi ให้ความเห็น

ด้าน เกศณี ฝึกฝน ผู้อำนวยการ กศน. แม่สอด กล่าวว่า ถ้าโครงการนำร่องนี้ประสบผลสำเร็จก็จะสามารถขยายไปใช้กับศูนย์การเรียนในจังหวัดที่มีเด็กชาติอื่นๆ เช่น ลาว มาเลเซีย ด้วย เพราะปัจจุบันมีหลายหน่วยงานเข้าไปรับผิดชอบเด็กกลุ่มนี้ให้ได้เรียนหนังสือ แต่ทำโดยไม่มีหลักสูตร ทำให้เด็กไม่มีวุฒิรับรอง ซึ่งต่อไป ทาง กศน. และผู้ประสานงานก็อยากให้มีการเทียบโอนผลการเรียนจากไทยไปยังประเทศต้นทางของเด็กได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนเรียนไว้ที่ประเทศต้นทาง

จากข้อมูลของมูลนิธิเพื่อเยาวชนชนบท ระบุว่า ปัจจุบันมีเด็กข้ามชาติ พม่า ลาว กัมพูชา อาศัยอยู่ในไทย ประมาณ 300,000 คน ซึ่ง 90,000 คน หรือ 30 เปอร์เซ็นต์ได้รับการศึกษาแล้ว แต่ยังประสบปัญหาด้านหลักสูตรและภาษาที่ใช้สอนอยู่

โมเดลการศึกษารูปแบบนี้อาจเป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้เด็กได้เรียนโดยมีหลักประกันว่าจะมีวุฒิรองรับ การขยับขยายโมเดลไปสู่พื้นที่อื่นและสร้างรูปแบบที่ง่ายขึ้นในอนาคตจึงเป็นความหวังของเด็กข้ามชาติอีกเกินครึ่งที่กำลังรอคอยโอกาสนี้อยู่