ซิมโฟนีหมายเลข5 ของมาห์เลอร์ ความดีที่ยังไปไม่ถึงขั้นเทพ

บวรพงศ์ ศุภโสภณ วิจารณ์การแสดงครั้งล่าสุดของวง อิสราเอล ฟิลฮาร์โมนิก อำนวยเพลงโดย สุบิน เมห์ธา
ผมเชื่อมั่นในใจว่า ถ้าหาก เลโอนาร์ด เบอร์นสไตน์(Leonard Bernstein)วาทยกรเกียรติยศ(Laureate Conductor)ของวงอิสราเอล ฟิลฮาร์โมนิกออร์เคสตรา(Israel Philharmonic Orchestra)ยังมีชีวิตอยู่และได้มีโอกาสรับชมการบรรเลงซิมโฟนีหมายเลข5 ของกุสตาฟ มาห์เลอร์(Gustav Mahler) โดยวงอิสราเอล ฟิลฮาร์โมนิก(ซึ่งต่อจากนี้ไปจะขอเรียกชื่อย่อว่า “IPO”)ในค่ำวันจันทร์ที่20ตุลาคม พ.ศ.2557 ณ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้การอำนวยเพลงโดย สุบิน เมห์ธา(Zubin Mehta)แล้ว เบอร์สไตน์คงน่าจะไม่พึงพอใจนักกับการบรรเลงในค่ำคืนนั้น
ความจริงแล้วสุบิน เมห์ธาเองก็ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับไว้ในหนังสือ Gustav Mahler: The Conductors’Interviews โดยวอล์ฟกัง ชาวเฟลอร์(Wolfgang Schaufler)ที่ตีพิมพ์ในปีพ.ศ.2555ว่า เขาเคยเชิญ เบอร์สไตน์มาชมการอำนวยเพลงซิมโฟนีหมายเลข5 ของมาห์เลอร์ครั้งหนึ่ง ซึ่งเบอร์นสไตน์ไม่เห็นด้วย(ไม่ชอบ)กับการตีความของเขา แต่ก็ได้นั่งสนทนาและให้คำแนะนำกันอย่างเป็นมิตร แม้เบอร์นสไตน์จะวิพากษ์วิจารณ์การอำนวยเพลงของเขาอย่างมากในครั้งนั้นก็ตาม
การบรรเลงซิมโฟนีหมายเลข5 ของมาห์เลอร์โดยวง IPO นั้นมีสิ่งที่น่าตั้งความหวังอย่างสูงได้มากทีเดียว ชื่อเสียงเกียรติยศของวงที่สั่งสมมาเกือบ80ปี ในฐานะที่เราจะเรียกได้ว่า “วงออร์เคสตราระดับโลก”ได้อย่างไม่ต้องอายปากนั่นก็ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็คือสายเลือดดนตรีแห่งความเป็นยิว ที่อยู่ในอณูทางดนตรีซิมโฟนีของมาห์เลอร์ ซึ่งน่าเชื่อว่า มันจะอยู่ในลมหายใจและชีพจรทางดนตรีของวงIPO ที่น่าตั้งความหวังได้ว่าวงดนตรีวงนี้คงจะสามารถถ่ายทอดลักษณะพิเศษทางดนตรีบางประการอันเป็นแก่นบางอย่างในซิมโฟนีของมาห์เลอร์(ที่เป็นคนยิวด้วยกัน)ได้อย่างที่วงออร์เคสตราอื่นๆไม่อาจมีหรือไม่อาจชดเชยได้
จนกระทั่งเบอร์สไตน์ก็ถึงกับเคยกล่าวกับสุบิน เมห์ธาเองว่า เพียงแค่วงIPO บรรเลงซิมโฟนีของมาห์เลอร์แบบผ่านๆในแวบแรก(แบบที่เรียกกันว่า Sight-Reads)ก็สามารถให้เสียงสำเนียงดนตรียิวได้แล้ว และจากการมาเยือนเมืองไทยหลายๆครั้ง(ไม่นับการบรรเลงกลางท้องสนามหลวงเมื่อวันที่8มกราคมพ.ศ.2556)ก็เป็นการยืนยันว่า นี่คือวงที่ประกอบไปด้วยสมาชิกนักดนตรีที่มีความเป็นเลิศทั้งวง มีวิธีการบรรเลงดนตรีที่ให้น้ำเสียงอันกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(Ensemble)อย่างน่าทึ่งที่สุด(สมาชิกนักดนตรีเป็นชนชาติอิสราเอลเกือบทั้งหมด!) และความเป็นเลิศที่ว่านี้ก็ยังยืนยันแสดงออกอย่างชัดเจนในครั้งล่าสุดนี้อีกด้วย แล้วอะไรเล่าที่ทำให้ซิมโฟนีหมายเลข5ของมาห์เลอร์ในครั้งนี้ ไม่สามารถสร้าง “มาตรฐานขั้นพิเศษ”ให้สมกับเกียรติยศและความคาดหวังทางดนตรีที่ตั้งเอาไว้
บทเพลงซิมโฟนีทั้งหมดของมาห์เลอร์กำลังเป็นจุดขาย(หรือแทบจะเรียกได้ว่าเป็น “สินค้า”)อันแข็งแกร่งของวงซิมโฟนีออร์เคสตราทั้งหลายในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในการนำวงออกตระเวณแสดงข้ามทวีปต่างๆ อย่างน้อยที่สุดซิมโฟนีของมาห์เลอร์จะได้ไว้ใช้อวดความสามารถเชิงเทคนิค,สีสันอันเจิดจ้าและความกระหึ่มในพลังเสียงของวงออร์เคสตราแต่ละวงได้เป็นอย่างดีว่า วงใดแน่จริงแค่ไหน ผู้ชมสามารถรื่นรมย์,ตื่นเต้น,ปลาบปลื้มปีติไปกับองค์ประกอบทางเสียงภายนอกนี้ได้ “ในขั้นต้น”โดยไม่จำเป็นใช้ความละเมียด,ลึกซึ้ง,สุขุมในทางดนตรีเสมือนกับการฟังดนตรีซิมโฟนีอื่นๆที่ไม่เจิดจ้าแบบมาห์เลอร์
แต่เมื่อยิ่งใช้ความละเมียดลึกซึ้ง,สุขุมเข้าจับด้วยก็จะเข้าถึงอาณาจักรแห่งจินตนาการทางดนตรีที่ล้ำลึกเหนือการคาดคะเน แน่นอนที่สุดสิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ขึ้นอยู่กับระดับปัจเจกบุคคล มาห์เลอร์ได้เข้ารหัส( Encode )สร้างผลงานดนตรีอันหลากมิติทั้งความน่าตื่นเต้นและสุขุมลึกซึ้งซ่อนเอาไว้ในตัวบท(Score)ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละบุคคล ทั้งผู้ชมและศิลปินดนตรีว่า ใครจะสามารถค้นพบพลังทางศิลปะจากตัวงานได้มากน้อยลึกซึ้งแค่ไหน
ยิ่งแง่มุมสำหรับศิลปินดนตรีด้วยแล้วสกอร์ดนตรีซิมโฟนีของมาห์เลอร์ทั้งลึกซึ้งและเปิดกว้างทางจินตนาการ ท้าทายต่อการตีความของวาทยกรว่าเขาจะเลือกทางเดินในการตีความไปในทิศทางใด(แต่ละทางก็มีดีในแบบของตัวเอง) ดนตรีซิมโฟนีของมาห์เลอร์คือตัวอย่างของความเป็นเลิศในการแสดงแนวคิด-จินตนาการทางศิลปะที่มักกล่าวกันว่า “ความงามมิได้มีเพียงหนึ่งเดียว”
และเมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ก็ให้เป็นที่น่าเสียดายอยู่บ้างที่ว่า การบรรเลงซิมโฟนีหมายเลข5ของมาห์เลอร์ โดยวงIPOในคืนวันนั้น ยังเป็นเพียงการบรรเลงที่ดำเนินไปตามตัวบท โดยศิลปินดนตรีชั้นเยี่ยมทั้งวงออร์เคสตราและวาทยกรโดยที่มิได้มีการกำหนดทิศทางอันแน่ชัดใดๆ หรือพยายามสร้างความโดดเด่นในทางใดทางหนึ่งที่เป็นพิเศษออกมาให้เราได้ตราตรึงไว้ในความทรงจำอันคู่ควรกับคำว่า “ระดับโลก”อย่างที่น่าคาดหวัง
ตัวสุบิน เมห์ธาเองนั้นได้มีโอกาสร่ำเรียนทางดนตรีมาอย่างดีจากกรุงเวียนนา ได้มีโอกาสผ่านประสบการณ์เกี่ยวกับดนตรีของมาห์เลอร์จากแหล่งความรู้ชั้น “ต้นตำรับ” ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์จาก เบอร์นสไตน์, บรูโน วอลเตอร์(Bruno Walter),หรือ อ็อตโต เคลมเพอเรอร์(Otto Klemperer) ซึ่งล้วนแต่เป็นวาทยกรผู้บุกเบิก,ชุบชีวิตให้กับดนตรีซิมโฟนีของมาห์เลอร์ หรือแม้กระทั่งการได้มีโอกาสพูดคุย,สัมภาษณ์ กับ อัลมา(Alma)ภรรยาหม้ายของ มาห์เลอร์เกี่ยวกับผลงานดนตรีของอดีตสามีเธอ สิ่งต่างๆเหล่านี้น่าจะทำให้การบรรเลงในครั้งนี้มีความเข้มข้นเป็นพิเศษในการนำเสนอ
แต่กลับกลายเป็นว่าสุบิน เมห์ธา มิได้แสดงความโดดเด่นเป็นพิเศษในทางใดทางหนึ่งออกมาเลย สิ่งที่น่าเปรียบเทียบให้เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือ คล้ายกับการชมทีมฟุตบอลชั้นดี ที่มีผู้เล่นฝีเท้าดีลงครบทีม แต่ทั้งทีมนั้นกลับไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่ในเกมส์ ยังไม่ต้องกล่าวถึงความลึกซึ้งในระดับของการตีความทางดนตรีอันเป็นพิเศษใดๆ เพียงแค่ในระดับสีสันทางเสียง(Tone Colour) หรือความดัง-ค่อย(Dynamic)ต่างๆ ก็ยังเป็นเพียงการแสดงออกในระดับตัวบทและอักขรวิธี ซึ่งยังไม่สามารถสร้างสัมฤทธิผลทางเสียงให้เราเกิดความน่าตื่นเต้น น่าทึ่งใดๆที่สมศักดิ์ศรีกับความเป็นศิลปินระดับโลก
เมื่อ2ปีก่อนในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 ผมเองได้มีโอกาสไปชมการบรรเลงบทเพลงเดียวกันนี้ที่ฮ่องกง จากการบรรเลงโดยวงซานฟรานซิสโก ซิมโฟนีออร์เคสตรา(San Francisco Symphony Orchestra) ภายใต้การอำนวยเพลงโดย ไมเคิล ทิลสัน โธมัส(Michael Tilson Thomas) อันเป็นวงออร์เคสตราและวาทยกรในระดับชั้นเดียวกันกับ IPOและสุบิน เมห์ธาในครั้งนี้ ซึ่งคงจะไม่เป็นการน่าเกลียดใดๆที่จะขอเปรียบเทียบการบรรเลงทั้งสองครั้งนี้ให้เห็นความแตกต่าง ในการบรรเลงโดยศิลปินที่มีความเป็นเลิศด้วยกันทั้งคู่ อาจต่างกันบ้างก็คงจะเป็นเรื่องการเตรียมตัวมาก่อน,หัวจิตหัวใจที่มุ่งมั่นและการทุ่มเทในการแสดงนั่นเอง
ซานฟรานซิสโก ซิมโฟนีออร์เคสตราและไมเคิล ทิลสันโธมัส บรรเลงซิมโฟนีบทนี้ที่ฮ่องกง ราวกับเป็นการประกอบศาสนพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ นับแต่การเริ่มต้นด้วยเสียงเดี่ยวทรัมเป็ต(Trumpet)อันชวนระทึกตื่นเต้น และท้าทายอย่างสูงทางจิตวิทยา จากสายตาผู้ชมนับพันๆคู่ที่คอยจับจ้องอยู่ และสามารถออกตัวได้อย่างงดงามน่าทึ่ง(น่าเห็นใจที่การออกตัวของIPOในครั้งนี้มีการสะดุดอยู่บ้างอย่างน่าเสียดาย) ตลอดการบรรเลงราว1ชั่วโมง15นาที ที่ไมเคิล ทิลสัน โธมัสและวงดนตรีของเขาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในสีสันทางดนตรีอันเจิดจ้า หลากหลายมิติในแบบที่สะกดให้ผู้ชมแทบหยุดหายใจไปในบางครั้ง,บางชั่วขณะก็ชวนระทึกน่าทึ่งจนหัวใจเต้นแรง บางชั่วขณะ(ในจังหวะช้าและสุขุม)ก็กลับสร้างความปีติลึกซึ้ง ราวกับการปฏิบัติธรรมเพื่อความสงบทางจิตใจ(หรือแม้กระทั่งเพื่อการรู้แจ้ง!)
ทั้งหมดนี้มันคู่ควรแก่คำว่า “ประสบการณ์ทางดนตรี”ที่ผู้ชมได้รับการถ่ายทอดมาจากศิลปินระดับโลกอย่างแท้จริง ดังที่กล่าวไปแล้วว่าสกอร์ดนตรีของมาห์เลอร์นั้นสูงด้วยศักยภาพ ขึ้นอยู่กับความสามารถและทางเลือกของศิลปินว่าเขาจะกำหนดมันไปในทิศทางใด ในครั้งนั้น ไมเคิล ทิลสัน โธมัสเลือกแนวทางการแสดงออก ด้วยแนวคิดอันแจ่มชัดที่เดินคู่ขนานกันไปในสองประการ คือ มาห์เลอร์ที่เป็นผู้ดีอันเปี่ยมด้วยรสนิยมและความละเมียดละไม และมาห์เลอร์ผู้เปี่ยมด้วยภูมิปัญญาและวุฒิภาวะอันลึกซึ้งประดุจนักปราชญ์
น่าเสียดายเหลือเกินที่IPO และสุบิน เมห์ธากลับไม่สามารถสร้าง “ประสบการณ์ทางดนตรี” อันลึกซึ้งยิ่งใหญ่เช่นว่านี้ได้ ทั้งๆที่มีคณะบุคลากรในระดับความสามารถที่ไม่น่าจะแตกต่างกันเลย และถ้าจะว่ากันถึงความเป็น “สายพันธุ์ดนตรี”แห่งความเป็นยิวที่ใกล้ชิดกับมาห์เลอร์ด้วยแล้ว IPOดูน่าจะได้เปรียบกว่าด้วยซ้ำไป ข้อสรุปจึงเห็นจะอยู่ที่ว่า การเตรียมการ,ความตั้งอกตั้งใจ,สมาธิและการทุ่มเทนั่นเองที่สร้างความแตกต่างในมาตรฐานการบรรเลงบทเพลงเดียวกันของศิลปินดนตรีสองชุดนี้ ในต่างกรรมต่างวาระ
ก่อนซิมโฟนีหมายเลข5ของมาห์เลอร์ที่เป็นเพลงเอกของรายการ IPO เปิดรายการแสดงด้วย คอนแชร์โตหมายเลข10 สำหรับไวโอลิน4คัน และวงเครื่องสายจากชุด L’estro Armonico ผลงานของ อันโตนิโอ วิวาลดิ(Antonio Vivaldi)นักประพันธ์ดนตรีอิตาเลียน คนสำคัญแห่งยุคบาร็อค(Baroque) วงIPO ใช้นักดนตรีบรรเลงบทเพลงนี้ราว17-18คน มีการใช้เครื่องดนตรีคีย์บอร์ด ฮารพ์ซิคอร์ดแบบโบราณเข้าร่วมบรรเลงด้วย นักไวโอลินที่บรรเลงแนวเดี่ยวทั้ง4คนเป็นสุภาพสตรีทั้งหมด ซึ่งเป็นมาตรฐานการบรรเลงที่เรียบร้อย,ประณีตงดงาม มีรสนิยมตามแบบที่เราจะคาดหวังได้จากมาตรฐานความสามารถของกลุ่มเครื่องสายจากวงออร์เคสตราชั้นยอดเช่นนี้
ถ้าจะมีประเด็นค่อนแคะกันบ้างเล็กๆน้อยๆก็เห็นจะได้แก่ รสชาติทางดนตรีอันร้อนแรงเฉพาะทางแบบดนตรีในสกุลอิตาเลียนคอนแชร์โต(Italian Concerto)ในยุคบาร็อคที่ยังไม่สามรถแสดงออกมาได้อย่างโดดเด่นมากนัก เพราะมันยังเป็นการบรรเลงจากจริตอันเป็นธรรมชาติของนักดนตรีจากวงขนาดใหญ่ที่แยกตัวออกมานั่นเอง และที่อาจจะดูเกะกะสายตาไปบ้างก็คือตัว สุบิน เมห์ธานั่นเอง ที่ยังคงมาถือไม้บาตอง(Baton)ยืนกำกับจังหวะอยู่หน้าวงในบทเพลงนี้ ราวกับเป็นเครื่องนับจังหวะ(Metronome) ขนาดยักษ์ที่มาตั้งไว้หน้าวงโดยไม่มีความจำเป็นใดๆ เพราะพอจะเป็นที่รู้ๆกันอยู่บ้างแล้วว่า บทเพลงในรูปแบบนี้ นักดนตรีสามารถบรรเลงกันเองได้อย่างพร้อมเพรียงได้ด้วยการพยักหน้า ดูคิวกันเองโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อำนวยเพลงแบบซิมโฟนีของมาห์เลอร์
บทเพลงที่สองของรายการคือ ซิมโฟนีหมายเลข36 ที่มีชื่อเฉพาะว่า “Linz”ผลงานลำดับที่425 ของ วอล์ฟกัง อมาเดอุสโมซาร์ท(Wolfgang Amadeus Mozart) นี่เป็นการบรรเลงที่แสดงความเป็นเลิศและความเป็นตัวตนอันโดดเด่นของ IPO ในเรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(Ensemble)ของวงดนตรีวงนี้ได้เป็นอย่างดี นับแต่ช่วงท่อนนำ(Introduction)ที่เปิดออกมาในตอนต้น การส่งลูกกันไป-มา(Canon)ของเครื่องดนตรีในกลุ่มเครื่องลมไม้(Woodwind) ทำให้เราประจักษ์ว่า มิใช่เพียงแค่กลุ่มเครื่องสายเท่านั้นที่ยอดเยี่ยม แต่นักดนตรีในกลุ่มเครื่องเป่าลมไม้ทุกคนมีน้ำเสียงเฉพาะตัวที่ทั้งงดงาม,โดดเด่น ไพเราะในระดับศิลปินเดี่ยว(Soloist)กลายๆเลยทีเดียว ดนตรีในท่อนที่สองที่เป็นจังหวะช้าบรรเลงกันด้วยถ้อยคำภาษาทางดนตรีสกุลคลาสสิกที่อ่อนโยน,เรียบเนียนแบบไร้ตะเข็บอย่างแท้จริง
ในท่อนที่สามนั้นอดชื่นชมไม่ได้กับการตีกลองทิมปะนี(Timpani)ที่นุ่มนวล,เหมาะเจาะในถ้อยคำราวกับเป็นการนำเอากลองทิมปะนีโบราณย้อนยุคมาบรรเลงทีเดียว ดนตรีในท่อนสุดท้ายยังคงแสดงถึงสมดุลย์(Balance)ทางเสียงและความกลมกลืนอันเป็นเลิศของวงดนตรีวงนี้ เสียงของกลุ่มเครื่องเป่าที่ล่องลอยโดดเด่น แต่ก็ไม่ก๋ากั่น หากแต่ผสมผสานเป็นเนื้อเสียงเดียวกันกับกลุ่มเครื่องสายได้อย่างแนบสนิท แม้ไม่อาจจะประกาศตัวเด่นชัดว่านี่คือ “เสียงโมซาร์ทขนานแท้” หรือเป็นการบรรเลงตามแบบต้นตำรับใดๆ แต่.....ในทางการสื่อความหมายทางดนตรีแล้วถือได้ว่าทำได้เต็มปี่ยมและบรรลุผลอย่างน่าพึงพอใจทีเดียว
ถ้าเสียงดนตรีซิมโฟนีหมายเลข5 ของมาห์เลอร์ในคืนวันนั้น มิได้มาจากวงออร์เคสตราระดับ IPO ก็คงน่าจะเป็นที่ยกย่องได้มากกว่านี้ หากแต่นั่นเป็นเสียงจากการบรรเลงของวง IPO ที่น่าจะสร้างมาตรฐานในระดับตรึงอกตรึงใจในความรู้สึกไปตราบนานเท่านานได้ ในยุคปัจจุบันที่โลกใบนี้ทั้งแคบลงและเล็กลง ผู้คนเดินทางไปมาหาสู่กันข้ามทวีปทั่วโลกได้อย่างสะดวกสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยุคแห่งข้อมูลข่าวสารที่ผู้คนทั่วโลกได้มีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้ถึงสรรพวิชาการต่างๆได้อย่างทัดเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้ผ่านโลกแห่งเทคโนโลยีสื่อสาร
การเดินทางมาเปิดการแสดงผลงานดนตรีระดับมหากาพย์(Epic) อย่างซิมโฟนีหมายเลข5ของมาห์เลอร์แบบนี้ จึงมิได้หมายความว่า นี่เป็นการบรรเลงผลงานนี้เป็นครั้งแรกในเมืองไทย สำหรับบรรดาผู้ชมที่ยังไม่เคยสัมผัสลิ้มรสผลงานดนตรีระดับนี้มาก่อนในชีวิต ซึ่งพวกเขาคงไม่มีการบรรเลงที่เป็นหลักอ้างอิงที่จะมาเป็นตัวเปรียบเทียบใดๆ ในทางตรงกันข้ามเป็นที่น่าเชื่อได้ว่า ผู้ชมดนตรีเป็นจำนวนมากต่างล้วนพอจะรู้จักและเคยได้ยินได้ฟังผลงานชิ้นนี้กันมาก่อนทั้งอาจจะในรูปของการฟังผ่านซีดี ,สื่อในแหล่งเว็บไซต์ต่างๆ หรือแม้แต่การชมการแสดงสดๆโดยวงดนตรีอื่นๆทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ
นี่คือโลกในยุคไร้พรมแดนอย่างแท้จริง ศิลปินดนตรีระดับโลกทั้งหลายจึงน่าจะตระหนักในใจกันเป็นอย่างดีว่า ไม่ว่าพวกเขาจะไปเปิดการแสดงที่ เวียนนา,เบอร์ลิน,ลอนดอน,นิวยอร์ค หรือกรุงเทพมหานครนั้นมันควรจะเป็นการบรรเลงด้วยการเตรียมพร้อม,ความตั้งอกตั้งใจและความทุ่มเทในอันที่จะรักษามาตรฐานการบรรเลง “ขั้นสูงสุด”ในระดับเดียวกันทั่วโลก หมดยุคสมัยของความคิดแบบ “สองมาตรฐาน”ที่จะทึกทักเอาเองว่า ผู้คนในแถบตะวันออกไกลบางประเทศอย่างไรเสีย ก็คงยังไม่เอาจริงเอาจังกับดนตรีคลาสสิกตะวันตกแบบคนยุโรปหรืออเมริกาหรอก
การบรรเลงเพียงเพื่อให้ครบถ้วนตามอักขรตัวโน้ตในสกอร์ดนตรี ไม่เพียงพอจริงๆกับการออกตระเวณทัวร์ข้ามทวีป ซึ่งควรจะถือเสมือนเป็นพันธกิจความรับผิดชอบอย่างสูงในการเผยแพร่ดนตรีอันละเมียดด้วยรายละเอียดเช่นนี้ มาตรฐานการบรรเลงในทุกครั้งที่ศิลปินดนตรีในระดับนี้ควรตั้งไว้ล่วงหน้าก็คือ จะต้องนำพาความรู้สึกและจิตวิญญาณของผู้ฟังให้ไปถึงระดับมิติของคำว่า “ขั้นเทพ”(หรืออาจใช้คำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายในระดับเดียวกันว่า “ State of the Art”)อย่างแท้จริง







