ทางออกของ "แดนหญิง"

ทางออกของ "แดนหญิง"

ปัญหาร้อยแปดของนักโทษหญิง สู่แนวทางที่ว่า เป็นไปได้ไหมที่จะไม่ "กักขัง"

ปี 2497 ไทยมีนักโทษหญิงจำนวน 300 คน ผ่านมา 60 ปี จำนวนนักโทษหญิงเพิ่มขึ้นเป็น 45,000 คน ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก จำนวนที่มากขึ้น แต่เรือนจำที่รองรับกลับไม่ได้พัฒนาทั้งในเรื่องของสภาพและขนาด พื้นที่เศษเสี้ยวของแดนชายถูกแบ่งให้เป็นส่วนของแดนหญิง

เมื่อผู้หญิงต้องเข้าไปอยู่ในบริเวณจำกัด สภาพจิตใจของคนที่ไม่ได้ตั้งใจเป็นอาชญากรก็ถูกบั่นทอนลงหลังกำแพงหนา การมองหา “ทางออก” ให้ผู้กระทำความผิดหญิงจึงเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้อีกต่อไป

สายพานของผู้เปราะบาง

เมื่อผู้หญิงต้องรับผิดชอบทั้งตัวเอง และครอบครัว โอกาสที่จะพลั้งพลาดจากความจำเป็นทางเศรษฐกิจก็มีมากขึ้น อีกทั้ง "แดนหญิง" ก็ยังมีจำกัด ส่งผลให้เกิดปัญหาผู้ต้องขังหญิงล้นเรือนจำและขาดคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่ง นัทธี จิตสว่าง รองผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย อธิบายว่า การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในปัจจุบันยังไม่สอดคล้องกับลักษณะของเพศหญิง เพราะแต่เดิมนั้นเรือนจำถูกออกแบบมาเพื่อผู้ชาย และแม้จะมีทัณฑสถานหญิงเกิดขึ้นโดยเฉพาะแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะทัณฑสถานหญิงมีแค่ 8 แห่ง ตามภูมิภาคต่างๆ เท่านั้น

"เราไม่สามารถสร้างเรือนจำหญิงทุกๆ จังหวัดได้ ผู้หญิงก็จะถูกส่งไปตามเรือนจำที่มีอยู่ ทำให้ห่างไกลจากญาติ ผู้ต้องขังที่อยู่จังหวัดนี้เขาก็ไม่อยากไป ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสได้ฝึกอาชีพ อะไรต่างๆ แต่ก็คิดถึงบ้าน แล้วก็มันก็เป็นอุปสรรคต่อการอบรมแก้ไขเขาด้วย เพราะว่าเขาขาดกำลังใจ ห่างไกลญาติ ลูกก็ไม่มาเยี่ยม”

ด้วยสภาพจิตใจที่เปราะบางกว่า การทำใจให้ทนอยู่ในเรือนจำแบบเดียวกับผู้ชายจึงเป็นสิ่งที่ยาก ความแตกต่างทางเพศจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การดูแลแก้ไขผู้ต้องขังและผู้กระทำผิดหญิงต้องใส่ใจรายละเอียดให้มากขึ้น

“เข้าไปตอนแรกก็รับไม่ได้ ร้องไห้จนไม่รู้จะร้องยังไง มันท้อแท้ เราไม่เคยเจอสภาพแบบนี้ แต่ต้องมาอยู่ มันยากที่จะทำใจ น้ำถังเดียวต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่เอาน้ำราดหัว สระผม แปรงฟัน ล้างหน้า ถูสบู่ ตักน้ำรอบเดียว ถังนึงคิดว่าจะสะอาดแค่ไหน แล้วถ้าเป็นประจำเดือนล่ะ” เปิ้ล อดีตผู้ต้องขังคดียาเสพติด วัย 28 ปี เล่า

ผู้หญิงที่ถูกจำคุกส่วนใหญ่จะมาจากคดียาเสพติด ร้อยละ 85 และหลายคดี ผู้หญิงไม่ใช่ระดับ “พี่บิ๊ก” ที่ตั้งใจค้ายาจริงๆ แต่กลับเป็น “เหยื่อ” ที่ถูกดึงเข้ามาในวงจรอาชญากรรม เคยมีคดีเช่นว่า ผู้หญิงมียาบ้าติดตัว 1 เม็ด เดินทางเข้าทางชายแดนแล้วถูกจับในข้อหา “นำเข้า” ยาเสพติด มีโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก 25 ปีหากรับสารภาพ
บางคดีผู้หญิงก็รับสารภาพแทนลูกหรือสามี และยังมีคดีของผู้หญิงที่ไม่น่าเกิดขึ้นด้วยก็คือ จำพวกที่เกิดจากความเข้าใจผิดของเจ้าหน้าที่ทางกระบวนการยุติธรรมเอง!

“ตำรวจเข้าไปในบ้านเจอใคร เจอคุณป้าก็เอาไปฝากขัง คนก็ถูกฝากขังเยอะแยะไปหมด เสร็จแล้วตำรวจก็ไปคิดว่า เดี๋ยวไปพิสูจน์เอาเอง ตำรวจทำเสร็จ ก็ส่งไปอัยการ ส่งศาล ส่งฟ้อง อัยการก็เหมือนกันอีก ถ้าเกิดเราไม่ส่งจะกลายเป็นว่าเราไปรับเงินมาหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็คิดว่าตัวเองทำหน้าที่ของเขา มันก็ส่งต่อๆ เป็น ระบบสายพาน ซึ่งจะไม่เหมือนระบบอุตสาหกรรม ตรงที่ระบบอุตสาหกรรมมันจะคัดเอาคนไม่ดีออกไป แต่ในอันนี้มันจะคัดเอาคนที่แข็งแรงออกไป คนที่จ้างทนายได้ คนที่มีเงิน แต่คนที่อยู่ในระบบคือคนที่อยู่ในสายพาน คือคนที่เปราะบาง คนที่อ่อนแอ ซึ่งส่วนหนึ่งก็คือผู้หญิง” รศ.ดร.นภาภรณ์ หะวานนท์ นักวิชาการอิสระ กล่าวไว้ในเวทีอภิปราย “มาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง”

กนกทิพย์ แรกชำนาญ อายุ 21 ปี ผู้ที่เคยถูกจำคุกในคดียาเสพติดทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำ เล่าว่า เธอถูกจับเพราะวันที่ตำรวจล่อซื้อนั้น เธออยู่กับเพื่อนพอดี ทำให้จำต้องทนรับชะตากรรมในข้อหา "ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติด" ในเรือนจำ

“ไม่มีหลักฐานว่าเราขาย หรือเราเสพ ตรวจปัสสาวะ อะไรทุกอย่างแล้วก็ไม่เจอ แต่ก็ฝากขังเข้าไปในเรือนจำประมาณเดือนกว่าแล้วก็ตัดสินโทษร่วมกันจำหน่าย พอเข้าไป เราก็เสียใจ เราไม่ได้เสพ ไม่ได้ขาย แต่ต้องมาทนอยู่ บ้านเราไม่ได้มีฐานะ เราก็เลยไม่สามารถสู้ได้ ตำรวจก็เรียกห้าหมื่น แม่ก็เลยบอกว่า ถ้าคิดว่าลูกผิดก็จับไป หลักฐานที่เขาเอามาจับเราก็เป็นอันเดียวกับของเพื่อน ก็อยู่นั่นประมาณสัก 3 ปี กว่า แล้วก็ได้ทำการพักโทษ”

ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ปัจจุบันการช่วยเหลือทางกฎหมายเบื้องต้นก็ยังมีน้อยมาก ผู้หญิงหลายคนจำต้องอยู่ในคุก ละทิ้งหน้าที่ทางครอบครัวเพราะไม่มีผู้ให้คำปรึกษาทางกฎหมาย กรณี้นี้ พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เสนอให้เพิ่มการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพและให้ศาลช่วยลดหลักทรัพย์ประกันตัวสำหรับผู้หญิงเพื่อเอื้อให้เขาเหล่านั้นเข้าถึงการประกันตัวตามสิทธิมากขึ้น

“สมมติถ้าเขาถูกจับคดียาบ้า อยู่ในภาวะไหน ถ้าทนายความให้คำปรึกษา การรับสารภาพอาจจะดีกว่าก็ได้ ก็จะสู้คดี หรือถ้าไม่ใช่ยาบ้าของเขา จะมีการพิสูจน์ตามความจริงได้ยังไง ถ้าเขาไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย ไม่มีคนให้ความเข้าใจ เขาอาจจะพลัดหลงเข้าไปในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ถูกจับ ยันศาลชั้นต้น ไม่ได้รับการประกันตัว สมมติศาลพิจารณา 1 ปี หรือ 2 ปี แต่เขาไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด ผู้หญิงคนนี้ก็ติดอยู่ในคุก 1 ปี ทั้งๆ ที่เขาควรจะได้ที่ปรึกษากฎหมาย เขาก็อาจมาต่อสู้คดีข้างนอก ทำงานเลี้ยงลูกไปได้ด้วย แล้วก็สู้คดีไปด้วย ซึ่งโอกาสเหล่านี้มันไม่ค่อยมีนักในกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย”

ทางเลือกของทางออก

ปัญหาของผู้ต้องขังหญิงที่เกิดขึ้นมีตั้งแต่ต้นกระบวนการจับผู้กระทำผิดไปจนถึงระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ จำนวนผู้ต้องขังหญิงที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายพยายามช่วยหามาตรการอื่นๆ ที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้หญิงมากขึ้น หลายแนวทางมีใช้แล้วในหลายประเทศ กรณีนี้ รศ.ศักดิ์ชัย เลิศพานิชพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการปริญญาโทสาขาการบริหารและนโยบายสวัสดิการสังคม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า การลงโทษที่นอกเหนือจากการคุมขังจะมีระดับของความหนักเบาตามลักษณะของวิธีการ เช่น ให้ทำงานเพื่อสังคมที่มากกว่า 50 ชั่วโมง ใช้วิธีการคุมความประพฤติ เช่น ให้ไปอยู่ค่ายทหาร หรือให้ไปอยู่ในบ้านกึ่งวิถี

“บ้านกึ่งวิถีจะเป็นคล้ายๆ หอพัก เหมือนบ้านสงเคราะห์ ก็คือให้ไปอยู่บ้านนี้แทน แต่ไม่ใช่คุก ตอนเช้า ผู้ถูกคุมความประพฤติเหล่านี้ก็ไปทำงานได้ ตอนเย็นก็ค่อยมาเข้าหอพัก สิ้นเดือน ได้เงินเดือนจากที่ทำงานมาก็เอามาจ่ายค่าหอพักด้วย ก็เป็นทางเลือกอย่างหนึ่ง หรือไม่เขาก็มีโอกาสที่จะชดใช้ค่าเสียหาย ผ่อนชำระค่าเสียหายให้ผู้เสียหายได้ด้วย ในคดีที่มีการฟ้องเรียกค่าเสียหาย หรือว่าต้องจ่ายค่าเสียหายให้ผู้เสียหาย” รศ.ศักดิ์ชัย ยกตัวอย่าง

ส่วนการเข้าค่ายทหาร จะเป็นลักษณะของการฝึกอบรมระเบียบวินัยชั่วคราวเพื่อปรับนิสัย และหลังจากนั้นก็ถูกคุมความประพฤติต่อ หรือจะให้การคุมความประพฤติแบบเข้มงวดแทนการจำคุกก็ได้

“การคุมความประพฤติแบบปกติที่เรามีในเมืองไทย คือไปรายงานตัวเฉยๆ เดือนละครั้ง.. สองเดือนครั้ง.. หกเดือนครั้ง แล้วก็มีพนักงานความประพฤติไปคุมที่บ้าน จากนั้นก็แค่ทำงานเพื่อสังคม 50 ชั่วโมง มันไม่ได้ผล ก็เลยมีแนวคิดว่าน่าจะมีการคุมความประพฤติแบบเข้มงวด เขาจะต้องถูกจำกัดที่อยู่ด้วย จำกัดเวลาออกนอกบ้าน กลางคืนมีเคอร์ฟิว แล้วก็มีพนักงานคุมความประพฤติไปดูทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละ 3-5 วัน หรือว่ามีการตรวจสอบประวัติอาชญากรว่ามีการกระทำผิดซ้ำหรือเปล่า แล้วก็จะมีเฟส 1-3 เช่นว่า รายงานตัวเดือนละครั้ง แล้วให้พนักงานคุมความประพฤติไปดูที่บ้าน 5 วัน ต่ออาทิตย์ ถ้า 3 เดือนเขาดีขึ้น ก็ขึ้นเฟส 2 พนักงานคุมความประพฤติอาจจะไปดูอาทิตย์ละครั้ง”

รศ.ศักดิ์ชัย ให้ข้อมูลว่า แม้กระทั่ง “การคุมขังไว้ที่บ้าน” (House Arrest) ก็มีใช้ในประเทศอื่นแล้ว ซึ่งเป็นวิธีที่ไทยเองก็สามารถทำได้ แต่ศาลไทยยังไม่กล้าใช้ เพราะยังไม่มีเครื่องมือมาช่วยดูแลตรวจสอบว่าคนนี้อยู่บ้านจริงหรือไม่ แต่ขณะนี้ได้มีการนำกำไลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) หรือ อีเอ็ม ที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์และจีพีเอสมาทดลองใช้แล้ว โดยในความเห็นของ รศ.ศักดิ์ชัย การมี “อีเอ็ม” จะช่วยเปิดโอกาสให้ศาลกล้าใช้วิธีอื่นๆ ที่ไม่ใช่การคุมขังกับผู้หญิงมาขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไทยก็ยังมีปัญหาด้านกฎหมายที่ขาดการรองรับวิธีการเหล่านี้อีกที ซึ่ง ดุล บุนนาค ผู้พิพากษารองหัวศาลจังหวัดนนทบุรี มองว่า สิ่งที่สำคัญของแนวทางนี้คือต้องแก้กฎหมายให้ได้ก่อน

"ต้องแก้กฎหมาย ตอนนี้ทำได้แค่คุมประพฤติ บางราย จำคุก 4 เดือน ไม่อยากจำคุกเลย ก็ต้องทำ รอไม่ได้แล้วก็ต้องจำ ถ้ามีกฎหมายว่า ให้ใช้อีเอ็มแทนการจำคุกระยะสั้นได้คือสุดยอด ผู้หญิงบางทีตั้งครรภ์ลูกได้ 5 เดือนแล้วติดยาเสพติด เอาเข้าคุกไปแล้วใครเลี้ยงลูก ศาลไม่สนใจ ตำรวจไม่สนใจ อัยการไม่สนใจ แต่ตัวเขาเองมีปัญหามากขึ้น"

ไม่ปล่อยแล้วปล่อยเลย

นอกจากการกรองไม่ให้ผู้กระทำผิดเข้าไปในเรือนจำ ยังมีวิธีการ "หลัง" จากเข้าเรือนจำที่สามารถลดจำนวนผู้ต้องขังหญิงได้เช่นกัน ซึ่ง นัทธี รองผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า วิธีการที่ไม่ให้คนทำผิดเข้าเรือนจำนั้นอาจยอมรับได้ยาก เนื่องจากคนไทยมองว่า คนทำผิดต้อง “เข้าคุก” วิธีการหลังการควบคุมตัวในเรือนจำจึงเป็นวิธีที่ไม่ควรมองข้ามไป

“การคุมประพฤติมีมาตั้งแต่ปี 2522 จนกระทั่งถึงตอนนี้ 30 กว่าปี จำนวนผู้ต้องขังไม่ได้ลดลงเลย กลับเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่เรามีการใช้การคุมประพฤติแล้ว พูดง่ายๆ เราใช้วิธีแบบ Front-end กรองคนจากด้านหน้าก่อนเข้าเรือนจำ ส่วนเรื่องจะไปแก้กฎหมายในเมืองไทยก็ยิ่งยาก ทางแก้ปัญหานี้ก็คือจะต้องหันมาทำในเรื่องของ Back-end ด้วย คือให้เข้าสู่ระบบเรือนจำ แทนที่จะอยู่เต็ม ให้อยู่ระยะนึง แต่ต้องไม่นาน เรือนจำจะต้องเข้ามาให้การอบรม ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มโอกาส เพิ่มทางเลือกในชีวิตให้เขา ไม่ให้กลับไปสู่การกระทำความผิดอีก”

การใช้กระบวนการหลังเข้าเรือนจำให้ได้ผลนั้น นัทธี มองว่า ต้องมีการจำแนกลักษณะผู้ต้องขังอย่างละเอียด และมีการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยและมีการดูแลคุมประพฤติหลังปล่อยที่ดี

หลายคนอาจมีคำถามว่า หากให้ผู้หญิงที่ทำผิดได้รับโทษเบากว่าเดิม จะทำให้เกิดการกระทำผิดง่ายขึ้นหรือไม่ คำตอบของผู้ที่ทำงานด้านนี้ คือ มาตรการรองรับที่ดีจะช่วยพัฒนาให้ผู้เห็น "ผิด" กลับเป็น "ถูก" ได้

"มันต้องมีกระบวนการเฝ้าระวัง มีกระบวนการรองรับหลายๆ อย่าง ไม่ใช่ปล่อยแล้วปล่อยเลย คือต้องมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล หรือว่า เจ้าหน้าที่สังเคราะห์ คอยช่วยดู ช่วยสงเคราะห์ แล้วก็ในระหว่างสงเคราะห์เนี่ย เราเฝ้าระวังในตัวด้วย ระหว่างช่วงสงเคราะห์ เราก็ช่วยดูแลเขาด้วย เพื่อที่ว่า จะได้ไม่ไปทำผิดอะไรอีก ซึ่งก็อยู่ที่วิธีการที่เราให้เขาไป ทำให้กลัว ถ้าเราดูแล้วว่า เบาไป เขาอาจจะเพิ่มให้อีกได้" รศ.ศักดิ์ชัย ให้ความเห็น

ส่วนรองผู้อำนวยการสถาบันเพื่อความยุติแห่งประเทศไทย มองว่า การที่คนทำผิดจะกล้าทำผิดหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่โทษเบาหรือหนัก แต่กลับอยู่ที่โอกาสที่จะถูกจับมากกว่า

"ถ้าใช้ให้ผู้หญิงทำผิด แล้วมีโอกาสถูกจับและสามารถสาวถึงตัวคนสั่งได้ เขาก็ไม่กล้าที่จะใช้ให้ไปทำ"

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเลือกใช้มาตรการใดกับผู้ต้องขังหญิง ต้องระวังไว้ด้วยว่า ผู้ต้องขังหญิงอาจได้รับผลข้างเคียงจากระบบคิดที่ไม่สมบูรณ์ของกระบวนการยุติธรรมเองด้วย