Mr.Barcamp โทมัส วานโฮฟฟ์

Mr.Barcamp โทมัส วานโฮฟฟ์

วงนี้มักมีเรื่องลับ "หลุด" จาก "วงใน" มาเล่าสู่กันฟังเสมอ

การแลกเปลี่ยนในวงสนทนาดังกล่าว เป็นการ "แปลง" มาจาก ฟูแคมป์ (Foocamp) ศัพท์แสลงชื่อเรียกงานพูดคุยแบบ "วงใน" ประจำปีของเหล่าโปรแกรมเมอร์ที่ต้องได้รับเชิญเท่านั้น โดยเรียกกันง่ายๆ ว่า บาร์แคมป์ (Barcamp)

บาร์แคมป์ เป็นวงพูดคุยแลกเปลี่ยนแบบเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานสามารถเป็นทั้ง "ผู้ฟัง" และ "ผู้นำเสนอ" เพื่อแบ่งปันความรู้ ตลอดจนไอเดียเกี่ยวกับทิศทางของเทคโนโลยี และการสื่อสาร รวมทั้งเรื่องอื่นๆ (ที่ไม่ผิดกฎหมาย)

สำหรับประเทศไทย บาร์แคมป์ ถือเป็นรูปแบบการแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันอยู่บ้าง ด้วยเนื้อหา และวิธีการดำเนินกิจกรรม โดยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามสถานที่ และกลุ่มผู้จัดไม่ว่าจะเป็น บาร์แคมป์เชียงใหม่, บาร์แคมป์บางเขน, บาร์แคมป์สงขลา หรือบาร์แคมป์ขอนแก่น เป็นต้น

ส่วน "บาร์แคมป์บางกอก" ก่อนหน้านี้มีการจัดมาแล้ว 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา โดยบาร์แคมป์ครั้งล่าสุด (บาร์แคมป์บางกอก 2014) ที่เพิ่งจบลงไปเมื่อไม่นานนี้นั้น ได้ โทมัส วานโฮฟฟ์ (Thomas Wanhoff) อดีตกองบรรณาธิการจากหนังสือพิมพ์ Die Welt (The World) ของ Axel Springer AG company มาเป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดงาน

นักหนังสือพิมพ์รุ่นใหญ่จากเบอร์ลิน เล่าถึงเอกลักษณ์ในวงสนทนาลักษณะนี้นั้น ก็น่าจะอยู่ที่คาแร็กเตอร์ของงานที่ยังคงถกเถียงกันอยู่ว่า ตกลงมันคืองานสัมมนาหรือเปล่า เพราะเป็นงานที่ไม่รู้ว่าใครจะพูด จะขึ้นพูดอะไร และหัวข้อการพูดจะขึ้นกับผู้เข้าร่วมเองทั้งหมด

"มันไม่ใช่งานสัมมนาแบบทั่วๆ ไปที่คุณลงทะเบียนเข้าร่วมงานแล้วคุณก็เสียเวลาไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่เพื่อฟังสิ่งที่คนบนเวทีพูดโดยไม่มีโอกาสซักถาม หรือแลกเปลี่ยนข้อสงสัยได้ 5 นาทีสุดท้าย แต่นี่เป็นงานประเภทที่คุณสามารถเป็นทั้งผู้บรรยาย และคนฟังได้ตลอดเวลา"

เขายังหมายถึงหัวข้อบนกระดานหลัก ที่ถึงจะจั่วหัวข้องานว่าเป็นไอที และนวัตกรรม แต่ก็ยังมีประเด็นเชิงวัฒนธรรม ความสนใจส่วนตัวสอดแทรกเป็นสีสันในงานด้วย หัวข้อในปีนี้จึงมีตั้งแต่ เทคโนโลยีจ๋า อาทิ Mobile Apps continuous intergration หรือ The future of WEB development ไปจนถึงประเด็นพูดคุยนอกหมวดอย่าง การใช้ชีวิต แบบ #แมสถูกๆ, พระพุทธศาสนา ไตรลักษณ์ ความเป็นไปได้ที่จะอธิบายว่า อิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน เป็นของชิ้นเดียวที่ถูกมองจากคนละมุม, LOVE 2.0: วิธีคิดใหม่ เพื่อหาคนที่ใช่และสร้างความรักที่ยั่งยืน

หรือกระทั่ง "How To Fly" เรื่องนี้ก็มีคนนำเสนอประเด็น

บรรยากาศแบบนี้ เขาบอกว่า มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในหมู่ประเทศเพื่อนบ้านทั้ง ลาว เวียดนาม กัมพูชา หรือ เมียนมาร์ที่ได้รับการบันทึกเอาไว้ว่าเป็นการจัดบาร์แคมป์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้บทสนทนากับ Mr.Barcamp คนนี้เริ่มต้นขึ้น...

อะไรที่ทำให้ตัวคุณหันมาสนใจ บาร์แคมป์

บาร์แคมป์ เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ พวกเขาสามารถพูดในสิ่งที่ตัวเองสนใจ หรืออยากพูด บางครั้งบางคนก็ไม่ได้พูดเกี่ยวกับไอที แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นข้อจำกัดในการพูดคุย เราเปิดกว้างให้กับทุกๆ คนที่สนใจอยากจะแชร์ความคิดเห็นเข้ามา เพียงแต่ว่า หัวข้อส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยี และนวัตกรรมเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น โปรแกรม เว็บดีไซน์ เครือข่าย ฮาร์ดแวร์ ระบบรักษาความปลอดภัย แอพริเคชั่นโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

ผมรู้จักกิจกรรมนี้ในงานบาร์แคมป์แฟรงก์เฟิร์ต (BarcampFrankfurt) ที่เยอรมนี แล้วผมก็สนใจวิธีการสื่อสารแบบนี้ ผมชอบวิธีคิดของงานนี้นะ เพราะว่า โดยธรรมดาทั่วไปของงานสัมมนา คุณจะพบผู้บรรยาย หรือวิทยากรคนหนึ่ง เขาจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง และเป็นที่สนใจมาก ต่อมาทุกคนนั่งลงในห้อง ใช้เวลาราว 5 ชั่วโมง หมดไปกับการฟังเพียงอย่างเดียว แต่บาร์แคมป์ต่างออกไปจากนั้น ทุกคนสามารถพูด ในขณะที่คนฟังก็ไม่มากจนเกินไป มันเป็นวงแลกเปลี่ยนขนาดย่อมๆ ที่ทุกคนสามารถโต้ตอบกันได้ในเรื่องที่มีความสนใจร่วมกัน

สมมติว่า มีใครสักคนลุกขึ้นมาแบ่งปันข้อมูลที่เขามี คนฟังก็จะมีทั้งกลุ่มที่มีข้อมูลระดับเดียวกัน หรือกลุ่มที่มีข้อมูลมากกว่า ก็จะมาแลกเปลี่ยนกันได้ คุณรู้เรื่องอะไรคุณก็มาแบ่งปันกับใครก็ได้ แต่ถ้าคุณมีผู้บรรยายคนเดียว เขาก็จะพูด และพูด จนกระทั่งตอนจบรายการ โอเค ลาก่อน หรือไม่ก็ ก่อนหมดเวลาสัก 5 นาทีถึงจะเป็นช่วงที่เปิดโอกาสให้คนฟังสามารถแลกเปลี่ยนกันได้

หมายความว่า ใครมีอะไรก็สามารถเอามาบอกเล่าได้ผ่านวงสนทนานี้?

ใช่ ทุกคนแบ่งปันสิ่งที่ตัวเองรู้ให้แก่กันและกันได้ เพราะทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ คนทำงาน หรืออะไรก้ตามแต่ที่เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยี มันง่ายมากเลยนะ ที่จะพูด และแบ่งปันในวงสนทนาเล็กๆ แบบนั้น ขณะที่การประชุมใหญ่ๆ ที่มีคนมีชื่อเสียงขึ้นมาบรรยาย คุณก็อาจไม่ได้มีโอกาสมากนักที่จะถามคำถาม หรือแสดงความคิดเห็นอะไร

ทำมากี่ปีแล้ว

นานมาก หลายปีแล้ว แต่ผมคิดว่า จริงๆ แล้วน่าจะตั้งแต่เมื่อ 7 ปีก่อน (ยิ้ม) นี่ถือเป็นครั้งแรกของผมที่ได้จัดบาร์แคมป์ที่กรุงเทพมหานคร แต่ก่อนหน้านั้น ผมทำบาร์แคมป์ที่ เวียงจันทน์ โฮจิมินห์ซิตี้ และพนมเปญ ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานบาร์แคมป์สิงคโปร์ และบาร์แคมป์เกิ่นเทอ คุณรู้จักไหม ถ้าเคยไปแล้วคุณจะรู้ว่า ที่นั่นมีภาคการผลิตเชิงเกษตรกรรมที่ใหญ่มาก

ทำไมถึงมาทำบาร์แคมป์ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ก่อนหน้านั้น ผมได้มีโอกาสเดินทางมาแถบเอเชียบ้าง และเมื่อผมได้เข้าร่วมบาร์แคมป์ที่เยอรมนี ผมก็อยากจะแนะนำคอนเซปต์ใหม่ของการแบ่งปันความรู้มาแบ่งปันให้กับคนแถบนี้ ผมชอบที่ได้ทำงานร่วมกับคนในประเทศนั้นๆ ผู้คนมีทางเลือกมากขึ้นที่จะเข้าร่วมงาน

ผมเคยได้ยินมาบ้างว่า ที่กรุงเทพมหานครเคยมีการจัดงานทำนองนี้อยู่ แต่นานมากแล้ว น่าจะประมาณ 6 ปี หรือไม่ก็... ลืมแล้ว (หัวเราะ) รู้ว่านานมาก เมื่อก่อนมีการจัดกันในมหาวิทยาลัยซึ่งถือว่าเป็นงานที่คนให้ความสนใจ และใหญ่มาก ขณะที่ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2012 มีการทำเป็นงานเล็กๆ มีผู้เข้าร่วมแค่ 50 คน เท่านั้น

แต่ถึงอย่างนั้น คุณจะรู้สึกถึงความเสมอภาค และบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เป็นกันเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม คนแปลกหน้า หรือเพื่อนๆ ของคุณเอง แน่นอน ทุกคนต่างเป็นส่วนผสมของกันและกันที่จะทำให้เกิดการสนทนาแบบนี้ ทุกคนเป็นคนร่วม และเป็นคนจัดงานในเวลาเดียวกัน (ยิ้ม) ที่สำคัญกว่านั้น ผมว่า คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการคบเพื่อนใหม่ หรือสร้างปฏิสัมพันธ์ใหม่ๆ อันจะนำไปสู่ความร่วมมือที่ดีต่อกันในอนาคต

งานนี้จะมีปัญหานิดหน่อยก็เรื่อง การหาเจ้าภาพรับผิดชอบเรื่องอาหารการกิน หรือเสื้อที่ระลึกภายในงานมากกว่า (ยิ้ม) เพราะว่าคนจำนวนมากที่เข้ามา บางคนมาพูด บางคนก็อาจต้องการเครื่องดื่ม เพื่อทำให้สมองตื่นตัว อย่าง กาแฟ รวมทั้งการประสานงานในแง่มุมต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องการคนจัดการ ถึงเราจะมีทีมงานจัดงานที่เป็นอาสาสมัคร แต่ทุกคนที่เข้ามาร่วมงานก็ล้วนถือว่าตัวเองมีความรับผิดชอบในการทำให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่นที่สุดอยู่ครึ่งหนึ่งด้วย ดังนั้น ทุกคนจึงสามารถเป็นที่คนร่วมงาน และคนจัดงานได้ในเวลาเดียวกัน เหมือนกัน ตั้งแต่ต้นจนจบ และคนที่เข้าร่วมทุกคนก็จะกระตือรือล้นมาก

ผู้คนในภูมิภาคอาเซียนตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยีแค่ไหน

ใช่ ทุกคนอยากรู้ ทุกคนพร้อมจะเรียนรู้ และมีความกระหายใคร่รู้ด้วย บางครั้ง ในห้องเรียนก็ไม่ได้ตอบสนองความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีให้กับผู้เรียนเท่าที่ควร อย่างวันนี้ ทุกคนสามารถใช้สมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ทำไมล่ะ ทั้งๆ ที่เรื่องเหล่านี้ไม่เคยอยู่ในหนังสือแบบเรียน และดูเหมือนแบบเรียนก็ไม่จำเป็นเสียด้วย คุณลองเอาสมาร์ทโฟนไปให้ใครในภูมิภาคนี้ใช้ดูสิ ส่วนใหญ่ก็สามารถใช้ได้ ในห้องเรียนคุณก็เอาแต่อ่านหนังสือ ซึ่งอันที่จริงเทคโนโลยีเป็นอะไรที่เร็วกว่านั้นมาก ตรงนี้ยิ่งทำให้คนยิ่งสนใจมากขึ้น

บางครั้ง คุณลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัย จบออกมา ทำงาน ทำให้บางครั้ง คุณก็อาจจะลืมเรื่องของการเรียนรู้ไป ซึ่งในบาร์แคมป์ เรามีบางไอเดียใหม่ๆ มอบให้ คุณอาจจะรู้เรื่องเกี่ยวกับโปรแกรม แต่โปรแกรมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะภาษาที่ใช้เขียนพวกมันขึ้นมา มีทุกอย่างเกี่ยวกับเทคโนโลยีให้คนที่สนใจในบาร์แคมป์ ผมว่าหัวเรื่องกว่า 70 - 80 เปอร์เซ็นต์ที่เข้าข่ายนะ (ยิ้ม) บางคนอาจมีปัญหาเกี่ยวกับเครือข่าย คุณก็สามารถโยนคำถามลงไปกลางวง แล้วก็จะมีใครสักคนในวงสนทนานั่นแหละเป็นคนแบ่งปันความรู้ในการแก้ปัญหาให้กับคุณ มีไม่ต่ำกว่า 30 เซคชั่นใน 3 ห้องที่จะสามารถพูดคุยเรื่องทำนองนี้ได้

มันเป็นเหมือนโต๊ะกลมขนาดใหญ่ที่มีผู้คนหันหน้ามาคุยกัน ก่อนงานเริ่ม คุณจะไม่รู้หรอกว่าใครจะมาพูดเกี่ยวกับหัวข้ออะไร จนกว่าจะถึงเวลา แต่ละคนจะมาเขียนหัวข้อที่ตัวเองอยากพูดเอาไว้บนกระดานกลาง โดยเราจำกัดเวลาในการพูดคุยครั้งละไม่เกิน 30 นาที หรือบางครั้งเราก็จะมีช่วงคั่นเวลาประมาณ 5 นาที เปิดโอกาสให้คนนำเสนอในสิ่งที่พวกเขาอยากจะพูด เป็นประเด็นสั้นๆ ก็ทำได้

แล้วสิ่งที่พวกเขาแบ่งปันกันจะสามารถนำไปใช้จริงได้ไหม หรือเป็นแค่การนำเสนอแนวคิดเพื่อต่อยอดเฉยๆ ?

ชัวร์ เพราะประเด็นที่คุยกันเป็นเรื่องของเทคโนโลยี ไม่ใช่ศิลปะ หรือความชอบส่วนบุคคล แต่บางครั้ง... คือ ก่อนหน้านี้ผมไปบาร์แคมป์ที่พนมเปญ ผมรู้สึกว่าเป็นงานที่ผู้คน และเทคโนโลยีอัดแน่นมาก พวกเขาไม่พักกินข้าวกันเลยตลอดทั้งงาน แต่ก็สั่งพิซซ่ามารองท้องนะ (ยิ้ม) ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหานะ โอเค แล้วผมจะบอกพวกคุณว่า วิธีทำพิซซ่าที่บ้านทำยังไง วันนั้นผมคุยเกี่ยวกับเรื่องวิธีทำพิซซ่าที่บ้าน (ยิ้ม) บางครั้งหัวข้อที่คุณตั้งอาจจะไม่เหมือนใครเลย แต่มันก็ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เสมอสำหรับเรื่องเทคโนโลยี

บาร์แคมป์ที่เวียดนาม ลาว หรือกัมพูชา แตกต่างกับบาร์แคมป์บางกอกไหม

แน่นอน... (ตอบทันที) เหมือนกัน ครั้งแรกที่ผมเดินทางไปกัมพูชาเพื่อพูดถึงการจัดบาร์แคมป์ และบอกพวกเขาว่า บาร์แคมป์เป็นพื้นที่ทำให้คนได้มาแลกเปลี่ยนพูดคุยกันว่า ฉันต้องการพูด ฉันต้องการนำเสนออะไร ทุกคนตอบว่า 'ไม่' ในเอเชียคนจะไม่ทำอะไรแบบนี้ จนกว่าจะมีใครสักคนบอกพวกเขา แต่ผมบอกว่า 'ได้' เราทำได้ ทุกคนต่างรอ รอให้มีใครสักคนเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นพูด เขาพูดอะไรบางอย่าง ช้าๆ ท่ามกลางผู้คน ผมไปคุยเรื่องนี้ที่ไหนก็จะมีแต่คนบอกว่าไม่ ที่กัมพูชาทำไม่ได้ ได้, ทำได้ ที่เวียดนาม โอ้ ทำไม่ได้ ได้ ลาวก็เหมือนกัน สำหรับประเทศไทย ที่นี่เคยมีการจัดมาก่อนกัมพูชา พวกเขาต่างรู้ถึงความพร้อม แต่... แค่ไม่มีใครเริ่ม มันง่ายมาก คุณไปหาใครสักคน แล้วบอกเขาว่า คุณทำได้ ไม่ต้องห่วง แค่นั้น แค่ 20 นาทีเท่านั้น ง่ายมาก

เหตุการณ์ทำนองนี้ก็เกิดขึ้นที่ลาวเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น เมียนมาร์บาร์แคมป์ พวกเขาจัดงานที่มีคนเข้าร่วมกว่า 4,000 คน นี่ก็เหมือนกัน พวกเขาจัดขึ้นภายใต้รัฐบาลทหารนั้น อินเตอร์เน็ตแย่มาก และถือเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่บาร์แคมป์ทำไมพวกเขาถึงสามารถทำได้ แถมทำได้ดีเสียด้วย ทีมงานคุยกับทางรัฐบาลว่า พวกเขากำลังทำอะไร รัฐบาลก็ตอบว่า โอเค ดี จัดไป คุณต้องการอินเตอร์เน็ตใช่ไหม ใช่ เอาไป ไม่มีการปิดกั้น ไม่มีการเซ็นเซอร์ จนทำให้กลายเป็นการจัดงานที่ใหญ่มากในที่สุด

ผมคิดว่า ที่เป็นอย่างนั้นเพราะรัฐบาลมีความเข้าใจ ถือเป็นเรื่องปกตินะในเอเชีย ถ้าคุณจะทำอะไรเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยี รัฐบาลมักเปิดทางให้เสมอ ในทางกลับกัน พวกเขาอยากเข้ามาช่วยให้งานราบรื่นด้วยซ้ำ ซึ่งที่เมียนมาร์ ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำไมมันถึงราบรื่นได้ขนาดนั้น พวกเขาสามารถสร้างงานใหญ่ขึ้นมาได้ เช่นเดียวกัน ก็ไม่มีใครรู้ว่า มันจะเป็นแบบเดียวกันไหมกับที่ เวียดนาม หรือลาว เมื่ออยู่ในวงประชุม คุณคุยกับรัฐบาลว่าอยากทำเรื่องอะไร บางครั้งคุณทำนำเสนอข้อมูลกับรัฐบาลผลที่ได้ก็ไม่ต่างกัน เอาสิ พวกคุณทำได้เลย ทั้งลาว และเวียดนามผมก็ได้มีโอกาสคุยกับทางรัฐบาล ซึ่งพวกเขาก็ไม่มีปัญหา คนที่ร่วมงานเราก็ไม่ได้โง่ที่จะพูดเรื่องการเมือง หรือความมั่นคงในบาร์แคมป์ เพราะเขารู้ว่ามันจะไม่ดี

นั่นเพราะเป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะพูด หรือนำเสนอมากกว่าประเด็นอื่นๆ ที่อ่อนไหว?

มันน่าจะเป็นอย่างนั้น พวกเราอยากแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเทคโนโลยี เราไม่ได้อยากยุ่งกับประเด็นการเมือง และทุกคนเข้าใจเป็นอย่างดี ที่เวียดนาม พวกเราจัดบาร์แคมป์ รัฐบาลเวียดนามบล็อกเฟซบุ๊ค แต่ในบาร์แคมป์ เราก็ไม่ได้พาดพิงเรื่องการเมือง เราคุยกันแต่เรื่องที่แวดล้อมอยู่รอบเฟซบุ๊คแทน แม้แต่ประเทศไทย สิงคโปร์ ยุโรป หรืออเมริกาเองก็ตาม วิธีการพูดคุยก็ไม่ได้ต่างกัน พวกเขามีบางอย่างที่อยากแลกเปลี่ยนกัน และมันง่ายที่จะพูดในวงสนทนาที่มีคนสนใจเรื่องเดียวกันมานั่งฟัง

ถ้าอย่างนั้น กังวลเรื่องประเด็นแฝงที่มากับหัวข้อบ้างไหม หรือคุณมั่นใจว่าควบคุมได้

อาจจะเป็นอย่างนั้น (ยิ้ม) ไม่ว่าจะกัมพูชา เวียดนาม ลาว หรือเมียนมาร์ เหตุการณ์ทำนองนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะส่วนหนึ่งเราเข้าถึงผู้คน เราบอกพวกเขาว่า คุณสามารถพูดในสิ่งที่คุณต้องการได้ เหมือนกันที่ประเทศไทยคุณสามารถพูดอะไรก็ได้ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมาย หรือกติกา ขณะที่สิ่งที่เราต้องการก็มีเพียงสถานที่จัดงาน อาหาร เครื่องดื่มเล็กๆ น้อยๆ และโปรเจ็คเตอร์ ที่เหลือพวกเขา (ผู้เข้าร่วมงาน) ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทุกคนเห็นทุกหัวข้อที่ขึ้นกระดาน หากมีใครสักคนเขียนถึงหัวข้อที่หมิ่นเหม่ เราก็จะย้ำเรื่องประเด็นในการจัดงานเป็นเรื่องเทคโนโลยี และเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่การเมือง หรือในระหว่างการพูดคุยปัญหาทำนองนี้ก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นนะ เรารู้ว่าอะไรควร หรือไม่ควร

ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์ เฟซบุ๊ค อินสตาแกรม หรือทวิตเตอร์ ฮาร์ดแวร์ โปรแกรม ไม่ต่างกัน รวมทั้งหัวข้อที่คนสนใจอื่นๆ นะ ทั้งการแต่งหน้า การทำอาหาร เหมือนอย่างผมที่เคยคุยเรื่องการทำพิซซ่า เมื่อก่อนนั้น บาร์แคมป์บางกอก มีผู้หญิงญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อ ซาโตโกะ เธอ นำเสนอหัวข้อว่า "วันนี้เป็นอย่างไรบ้างสาวญี่ปุ่น" (ยิ้ม) นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี แถมยังได้รับความสนใจด้วย ที่ลาว ตอนใกล้จะจบงาน ก็มีหัวข้อที่ว่า "เมื่อฝรั่งต้องการเต้นแบบลาว (บาสโลบ)" บางครั้งเราก็มีหัวข้อสนุกๆ เหมือนกันนะ ถึงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ และเทคโนโลยีก็ตาม ผมเคยได้ยินหัวข้อ "จะตั้งบริษัททำธุรกิจไอทีด้วยเงินเพียง 10 ดอลลาร์ได้อย่างไร" ที่กัมพูชา มีการพูดคุยเกี่ยวกับภาวะผู้นำในองค์กร "จะเป็นเจ้านายที่ดีอย่างไร" อะไรแบบนี้

วันนี้มีช่องทางการสื่อสารมากมาย โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย แล้วการจัดกิจกรรมลักษณะนี้จะมีความจำเป็นแค่ไหน

คนเรามักใช้โซเชียลมีเดียในการคุยกับเพื่อน ที่อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง บนเฟซบุ๊คคุณจะไม่พูดเรื่องงานโดยทั่วไป แต่บาร์แคมป์มันเหมือนกับอยู่ในวงที่มีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขามาพูดคุย คล้ายๆ ลิงก์อิน (LinkedIn.com - โซเชียลมีเดียสำหรับหางาน) คุณก็จะคุยเกี่ยวกับงาน หรือรายละเอียดที่เป็นวิชาชีพมากขึ้น เฟซบุ๊คคุณโพสภาพ แมว หรืออาหาร แต่บาร์แคมป์คุณจะโพสภาพไอโฟน 6 (หัวเราะ) หรือ ซัมซุงโน้ตรุ่นใหม่ คล้ายๆ กัน

แล้วหากเทียบลักษณะของบาร์แคมป์ระหว่างยุโรปกับเอเชียล่ะ มันมีความเหมือน หรือต่างกันอย่างไร

ในยุโรป บาร์แคมป์ถือเป็นเรื่องปกติ เป็นวงสนทนาเล็กๆ 100 - 200 คน ที่นั่นผมคิดว่า องค์ความรู้ หรือทักษะของผู้คนในเรื่องเทคโนโลยีถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าผู้คนฟากเอเชีย แต่รายละเอียด ตลอดจนลักษณะการจัดงานแทบไม่ต่างกัน เกี่ยวกับปริมาณผู้ร่วมงานก็ดูจะแตกต่างกัน ทางเอเชียจะค่อนข้างมีคนให้ความสนใจมากกว่า ถือเป็นงานที่ใหญ่ อย่าง 4,000 คนที่เมียนมาร์ หรืออย่างที่ลาวก็มีคนเข้าร่วมงานกว่า 400 คน ที่เมียนมาร์วันที่ อองซาน ซูจี มากล่าวเปิดงาน มีรายงานว่าทำให้คนเพิ่มขึ้นในงานกว่า 6,000 คนเลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมาก

เราจะได้อะไรจากบาร์แคมป์

สิ่งที่คุณจะได้ก็คือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และภายหลังจบงานบางคนอาจมีข้อมูลที่มากพอจะไปต่อยอดเกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมา ไม่แน่ เราอาจจะได้เห็นแอพริเคชั่นใหม่ๆ บนสมาร์ทโฟนภายหลังจากคนเดินออกจากงานไปก็ได้ หรือหลังงาน เราก็จะได้เห็นการสร้างเครือข่ายของผู้คนที่รวมกลุ่มทำอะไรดีๆ ด้วยกันต่อ

แล้วสำหรับตัวคุณล่ะ?

ผมก็ได้ทำงานร่วมกับคนในประเทศนั้นๆ อย่างที่ผมชอบไงครับ (หัวเราะ)