ธรรมชาติ...ใต้ผืนผ้า

การทำผ้าธรรมชาติไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซึ่งเธอเริ่มตั้งแต่ปลูกฮ่อม ตีฮ่อม และอีกสารพัดอย่าง
"ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้ เดินเข้ามาตัวเปล่า ก็ต้องได้อะไรกลับไป อยากได้ความรู้ต้องถามคะ เราเองก็ไม่ได้ต้องตั้งเป้าว่า การทำผ้าธรรมชาติ เพื่อการอนุรักษ์เต็มร้อย" จุฑารัตน์ พยัตเลิศ อดีตข้าราชการ คนเมืองแพร่ เล่าถึง วิสาหกิจชุมชนหม้อห้อมแต่งลาย ต.ทุ่งโฮ่ง จ.แพร่ ที่เธอก่อตั้งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยมีหน้าร้านจำหน่ายชื่อ ผ้าธรรมชาติ
ช่วงที่เธอกลับสู่บ้านเกิด เธออยากทำอะไรที่ตัวเองชอบ และคนในชุมชนได้ประโยชน์ด้วย จนมาลงตัวที่การย้อมผ้าจากต้นฮ่อม รวมถึงการทอผ้า และการทำผลิตภัณฑ์ผ้าจากธรรมชาติ
จุฑารัตน์ บอกว่า ก่อนจะทำเรื่องนี้ ต้องหาตลาดก่อน แรกเริ่มทำผ้าย้อมต้นฮ่อมขาย แต่ขายไม่ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ใช้ฮ่อมสังเคราะห์ แต่ถ้าใช้วิธีการธรรมชาติ ย้อมผ้าจะยากมากและต้นทุนสูง ชาวบ้านก็หยุดทำไป เราทำเพราะอยากรู้ว่า ฮ่อมธรรมชาติ จริงๆ ยังเหลืออยู่เมืองแพร่หรือเปล่า
"เริ่มจากนำต้นฮ่อมมาปลูก แล้วขยายพันธุ์ นำไปให้ชาวบ้านปลูก เราเริ่มจากไม่มีอะไรเลย เหมือนจินตนาการในอากาศ เราก็สืบเสาะหาคนปลูกำฮ่อมจากรอบๆ บ้าน เมื่อก่อนฮ่อมใช้เป็นยาสมุนไพรในการดูดพิษ คนเป็นมาเลเรียก็จะนำฮ่อมฟอกเท้า จากนั้นเอาเท้าแช่น้ำ แล้วใช้เข็มจิ้่มให้เลือดเสียออก คนลาวจะมีผ้าย้อมฮ่อมสีเข้มๆ ติดบ้านไว้ทุกหลัง ถ้าลูกไม่สบาย จะเอาผ้าฮ่อมมาเช็ดตัว แล้ววางบนศรีษะเด็ก ไข้จะลดเร็วมาก "
กว่าจะสร้างเครือข่าย
การนำต้นฮ่อมมาย้อมผ้าให้ได้สีคราม ไม่ง่ายเลยที่จะขายได้ในช่วงแรก เพราะปัจจุบันในเมืองแพร่ แทบจะไม่มีคนทำแบบนี้แล้ว จุฑารัตน์นำภูมิปัญญาเหล่านี้กลับมา เพราะเห็นคุณค่าที่ควรเก็บรักษา โดยใช้ดีไซน์และสีสันเป็นแรงดึงดูด ส่วนกระบวนการทำงานกับชาวบ้าน เธอต้องทำให้พวกเขาเห็นว่า สามารถสร้างรายได้ให้ครอบครัวได้
"เราใช้วิธีการย้อมเย็น เราก็ลองทำ ชวนชาวบ้านบนดอยที่ปลูกพืชเศรษฐกิจมาปลูกฮ่อม เพราะการปลูกพืชเศรษฐกิจใช้น้ำเยอะมาก เราถามพวกเขาว่า ถ้าทำอย่างอื่นที่มีรายได้เท่าเดิมจะทำไหม เราก็ให้พวกเขาปลูกฮ่อมมาขายให้เรา แล้วเราก็ทำหน้าที่อื่นคือ ตีฮ่อม จากนั้นเราถามคนในหมู่บ้านอีกว่า ใครทอผ้าได้ ใครตัดเย็บได้ นอกจากนี้มีดีไซเนอร์จากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมาช่วยออกแบบบ้าง"
เธอพยายามสร้างเครือข่าย สร้างรายได้ให้คนในชุมชน โดยไม่ตั้งโจทย์ว่า ธุรกิจที่เริ่มทำ จะได้กำไรมากน้อยเพียงใด แต่ต้องการสร้างรายได้ให้ชุมชน โดยการถ่ายทอดความรู้ และเรียนรู้กับผู้เฒ่าผู้แก่ โดยการนำต้นฮ่อม วัชพืชข้างทางมาสร้างมูลค่า
"เมื่อเราเป็นคนทำธุรกิจ เราและชาวบ้านก็ต้องอยู่รอด เราไม่ใช่มูลนิธิ ไม่มีใครช่วยเรา เราทำคล้ายๆ ระบบแฟร์เทรด ถ้าคนทอผ้าสูงวัย ก็ให้ราคาสูงกว่าคนหนุ่มสาว เราต้องการรักษาคนทำงาน ไม่ได้มุ่งหวังกำไรอย่างเดียว อย่างการปลูกฮ่อม พืชท้องถิ่นที่ปลูกไม่ยาก ซึ่งชาวบ้านรู้อยู่แล้ว บางอย่างเราไม่ได้ไปสอนเขา เราไปเอาความรู้จากเขาด้วยซ้ำ ซึ่งความรู้เหล่านี้ไม่มีการบันทึกไว้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นการถ่ายทอดจากปากสู่ปาก"
เริ่มจากปลูกต้นฮ่อม จากนั้นค่อยๆ ขยายเครือข่าย หาคนตีฮ่อม คนย้อมผ้าสีธรรมชาติ คนทอผ้า ซึ่งเธอเล่าว่า เมื่อย้อมฮ่อมได้แล้ว ก็ค้นดูว่า บ้านไหนมีกี่ทอผ้า ปรากฎว่า คนเหล่านั้นเคยทอเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว และไม่ได้ทอผ้าแล้ว
"เราก็ถามว่า คุณยายคนไหน ต้องการหาเงินเลี้ยงดูลูกหลาน สนใจอยากทอผ้า เราก็ไปร้านรับซื้อของเก่า หากี่ทอผ้ามาให้ช่างไม้ซ่อม จากนั้นนำกี่ทอผ้าไปให้คนแก่ ซึ่งผ้าฝ้ายสีธรรมชาติแบบนี้มีร้านเดียวในแพร่ เพราะต้นทุนสูง คนขายส่วนใหญ่รับต้นทุนไม่ไหว เราเสียดายสิ่งที่หายไป จึงค่อยๆ ฟื้นฟู ซึ่งหลายอย่างไม่เกี่ยวกับผ้า เป็นวัตถุที่มีอยู่แล้ว อย่างบ้านเก่า เราก็ร่วมกับพี่ๆ ที่จบศิลปากรช่วยกันอนุรักษ์ และเราพยายามบอกว่า ของโบราณมันสวยนะ อย่าทิ้งนะ ถ้าไม่ไหวขอให้บอก จะช่วยเหลือ เราจะหาวิธีการให้สิ่งเหล่านี้คงอยู่"
ภูมิปัญญาที่หายไป
เธอเลือกที่จะนำภูมิปัญญาดั้งเดิมที่มีอยู่แล้วในชุมชนกลับมาอีกครั้ง เพราะเห็นคุณค่า เธอยกตัวอย่าง ปั๊ปสา ใบลานที่ใช้บันทึกตำรา คาถา สูตรยา ซึ่งแต่ละบ้านยังรักษาไว้ เธอจึงให้คนเฒ่าคนแก่ที่อ่านภาษาโบราณออก ค่อยๆ แกะข้อความเพื่อบันทึกเก็บไว้
"พวกเราพยายามทำกันเอง หน่วยงานรัฐมองว่า เป็นโครงการเล็กๆ ไม่น่าสนใจ เราไม่รอเวลา ทำเท่าที่ทำได้ เหมือนการทำผ้าธรรมชาติทำมา 5 ปีกว่าๆ ยังต้องยืมตังค์พ่อ เพราะบางช่วงชาวบ้านต้องใช้เงิน เราก็ต้องเตรียมไว้ ปัจจุบันมีเครือข่าย 100 ครัวเรือน มีตั้งแต่กลุ่มปลูกฮ่อม หรือพืชพวกมะเกลือ คำแสด และมะโก๋ นำมาย้อมผ้าได้ เราแจกเมล็ดให้ แล้วสอนให้เพาะ จากนั้นให้พวกเขาแจกคนอื่นต่อ ดูแลซึ่งกันและกัน เพื่อให้พวกเขามีอาชีพ ภูมิปัญญาโบราณที่เคยมี แล้วหายไป ก็พยายามฟื้นกลับมา "
ผลงานจากร้านผ้าธรรมชาติ ซึ่งทำในนามวิสาหกิจชุมชนหม้อห้อม มีตั้งแต่ ผ้าย้อมฮ่อม เสื้อผ้า ของใช้ในบ้าน ผ้าห่มยัดฝ้าย หมอนหน้าหกจากฝ้ายธรรมชาติ ฯลฯ ซึ่งนอกจากขายในประเทศ ยังส่งออกเกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งเธอเป็นคนค้นหาวิธีการผลิต โดยให้ชาวบ้านทำ
"รายได้ส่วนใหญ่มาจากต่างชาติ พอเลี้ยงชุมชนและตัวเราได้ แต่คนไทยไม่ค่อยเห็นคุณค่า บางทีต่อรองราคาโหดมาก เพราะไม่เข้าใจงาน แล้วบอกว่าแพง เราก็บอกว่า มีเวลาไหม ลองไปดูโรงย้อมฮ่อมหลังบ้านไหม พอเขาได้ดูก็บอกว่า ไม่ต่อแล้ว เพราะรู้แล้วว่าทำไมราคาแพง " จุฑารัตน์ เล่า เพื่อให้เห็นภาพ
เธอเลือกแล้วที่จะให้คนได้ใช้หมอนยัดด้วยเส้นใยธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี เพราะเป็นฝ้ายที่ใช้ได้ทั้งหน้าร้อนและหนาว
"เคยมีอาจารย์เขียนไว้ว่า ฝ้ายอินทรีย์ไม่เหลือในเมืองไทยหรอก แต่ที่นี่ยังมีอยู่ เนื่องจากเราปลูกฝ้ายขนหยาบๆ ยาวๆ แมลงยื่นปากไปไม่ถึงตัวเนื้อผิว มันกินไม่ได้ ก็ไปกินอย่างอื่นแทน เนื่องจากเราปลูกพืชผสมผสาน เพื่อให้มันมีตัวเลือกในการกิน มันก็จะทำร้ายฝ้ายน้อยลง ลองปลูกมาสามปีก็ได้ผล ชาวบ้านมีรายได้จากสิ่งที่อยู่รอบๆ บ้าน เราไม่ได้เอาสิ่งใหม่ไปยื่นให้เขา อย่างเปลือกประดู่ก็ย้อมผ้าได้ บางคนบอกว่า รกบ้าน ฟันทิ้ง เราก็บอกว่าไม่ต้องฟันทิ้งให้เลาะเปลือกมาขายให้เรา "
ความรู้มีอยู่ทั่วไป
เพราะเป็นคนชอบแสวงหาความรู้ หากสงสัยเรื่องใด เธอก็ถามผู้รู้ ถ้าไม่ได้คำตอบตอนนั้น เธอบอกว่า ต้องใส่ใจที่จะเรียนรู้ ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม แล้วในที่สุดก็จะได้คำตอบ
"ที่ทำเรื่องเหล่านี้ เพราะคนเฒ่าคนแก่ที่รู้เรื่องนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีคนสืบทอด เวลาไปเที่ยวบ้านชาวบ้าน เราก็จะซื้อขนมไปฝาก พอได้เห็นงานผ้าที่ไม่ทำกันแล้ว ก็ถามคุณยายว่า ทอผ้าแบบนี้ได้ไหม ลองสอนหลานคุณยายสิ ถ้าทำได้มาขายเรา เอย่างคนสอยผ้าหรือคนเย็บด้วยมือ ก็มาจากลูกหลานคนกลุ่มนี้ เราอยากเห็นเด็กๆ มีรายได้ และให้เขารู้ว่า เขามีคุณค่า โดยให้เด็กกลุ่มนี้มาฝึกกับเรา" จุฑารัตน์ เล่าถึง การค้นหาภูมิปัญญาชาวบ้าน
นอกจากนี้เธอยังเป็นคนรักธรรมชาติ และมีวิถีแห่งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
"เวลาเห็นคนตัดไม้ เราก็เสียดาย เพราะสิ่งเหล่านี้เหลืออยู่บนผืนโลกน้อยมาก บางคนก็บอกว่า เขาตัดไม้ในบ้านตัวเอง แล้วเผา ไม่เห็นเป็นไร เราก็บอกว่า คนข้างบ้านก็ได้รับควันไฟไปด้วย ทุกคนได้รับผลกระทบซึ่งกันและกัน เราก็อยากอธิบาย เพราะพวกเขาไม่ใส่ใจ แต่เราก็รู้จุดอ่อน พวกเขาใส่ใจเรื่องการหารายได้เลี้ยงครอบครัว เราก็พยายามสร้างรายได้ให้พวกเขา ทำให้เขารู้สึกกับเรื่องนี้ ซึ่งธุรกิจผ้าย้อมสีธรรมชาติที่ทำร่วมกับชาวบ้าน จะเติบโตแบบอุตสาหกรรมไม่ได้เลย มีลูกค้ากลุ่มเฉพาะ คือ กลุ่มที่สนใจสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ โดยการใช้สิ่งของที่มีประโยชน์"
เธอย้อนถึง คุณค่าของการเย็บผ้าด้วยตัวเองว่า หลังสงครามโลก ใครใส่เสื้อผ้าที่มีการตัดเย็บจากเครื่องจักรจะรู้สึกว่าร่ำรวย ก็เลยคิดว่า เสื้อผ้าที่เย็บมือไม่มีความหมาย เพราะคนตัดเย็บผ้าไม่รวย แต่นี่คือความใส่ใจ คุณตาคุณยายบางคนต้องออกไปเก็บฝ้ายมาทอผ้า แล้วเย็บเสื้อ
"พวกเขาไม่ได้ใส่แค่เสื้อ แต่ใส่ความตั้งใจของคนทอผ้าและเย็บผ้าในครอบครัว เทรนด์พวกนี้กำลังกลับมา เพราะอุตสาหกรรมให้คำตอบไม่ได้แล้ว มันเป็นเรื่องของจิตใจ"
เพราะใส่ใจกับสิ่งรอบข้าง และรักษ์สิ่งแวดล้อม เธอมองว่า ชีวิตคนเราก็ไม่ได้ยืนยาว ยิ่งป่วยไข้ อยากจะทำอะไรเพื่อใคร ก็ต้องรีบทำ
"สิ่งที่่เราทำเล็กน้อยมาก มีหลายคนทำเยอะกว่าเรา แต่เราทำในสิ่งที่คนไม่ได้ทำ เราทำเหมือนเราเล่นอะไรสักอย่าง เหมือนไม่ได้ทำงาน เวลาหาความรู้กับชาวบ้าน เหมือนเราไปเที่ยวไปคุยกับคุณตาคุณยาย บางทีเราก็ช่วยให้เขามีกำลังใจในการทำต่อไป" เธอเล่า และคุยต่อว่า เคยคุยกับอาจารย์ที่ทำงานจิตอาสาคนหนึ่ง เขาบอกว่า เด็กพิการคนหนึ่งมีคนเอาเงินมาให้เขาเพราะเวทนา แต่เขาไม่ต้องการ และไม่อยากอยู่ด้วยเงินบริจาค เขาอยากทำอะไรที่เกิดประโยชน์ แม้จะได้เงินเล็กน้อย
"เรื่องนี้ทำให้เราคิด เด็กอายุ 10 ขวบกว่าๆ พูดได้ดีมาก จริงๆ เราไม่ต้องใส่ใจก็ได้ แต่เรารู้สึกว่า ถ้าเจอเรื่องพวกนี้ เราผ่านไปไม่ได้ เราต้องทำอะไรสักอย่าง ก็เลยมีโจทย์ว่า จะทำยังไงให้เด็กกลุ่มนี้มีงานทำ" เธอว่าอย่างนั้น
ส่วนการมองธุรกิจ เธอ บอกว่า ต้องมองอย่างครบวงจร เพราะเรามองเห็นปัญหาแต่ละขั้นตอน ซึ่งเป็นการเรียนรู้นอกตำรา เราเรียนด้านการเกษตร แต่ต้องมาออกแบบผลิตภัณฑ์ พอไม่มีความรู้เรื่องสี ดีไซน์ เราก็ไปหาความรู้เพิ่ม อย่างพวกวิทยุสื่อ อินเตอร์เน็ต ก็ใช้มันให้ถูกทาง
"คนที่มีความรู้ และอยากให้ความรู้เป็นวิทยาทาน มีเยอะ แต่ไม่ใช่เกณฑ์คนไม่สนใจมานั่งฟัง คนไทยโชคดี มีงบประมาณเยอะมากที่จะส่งให้ชุมชน แต่คนที่เป็นทางผ่าน (หน่วยราชการ) ไม่มีความรู้เรื่องนี้ดีพอ จึงส่งผ่านความรู้มาไม่ถึง"
......................
หมายเหตุ : ร้านผ้าธรรมชาติ วิสาหกิจชุมชนหม้อห้อมแต่งลาย 44 ม.5 ต.ทุ่งโฮ้ง อ.เมือง จ.แพร่ 54000 เบอร์ติดต่อ 091-079-9610 และ 054-523-058 เฟสบุค : ร้านผ้าธรรมชาติ maturalmildshop
และ เวปไซต์ mohomnaturalindigo.com







