หมุดหมายใหม่แห่งดนตรีคลาสสิกระดับภูมิภาค

บวรพงศ์ ศุภโสภณ เขียนถึง ประสานเสียงสำเนียงระฆัง ผลงานใหม่ของ ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร
ในชั่วชีวิตหนึ่งของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “ศิลปิน”แล้วย่อมมีความปรารถนา หรืออาจเรียกว่า มีอุดมการณ์ทางศิลปะอันแรงกล้าในสายเลือด ในอันที่จะสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตขึ้นมาให้ได้ นี่เป็นเสมือนอุดมคติที่อาจกล่าวได้ว่า อยู่ในระดับจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินทุกคน
ผลงานศิลปะในระดับเช่นว่านี้ เป็นผลงานที่จะอยู่คู่กับชื่อของศิลปินไปในกาลเวลาข้างหน้า ในแบบที่ว่าเมื่อเอ่ยถึงชื่อศิลปินก็จะทำให้เรานึกไปถึงผลงานอ้างอิงชิ้นนั้นทันที เช่น รูปปั้นดาวิดกับชื่อของมิเกลันเจโล, รูปเขียนโมนาลิซากับชื่อของเลโอนาร์โด ดาวินชี,วรรณกรรมรักอมตะโรเมโอและจูเลียตกับชื่อของวิลเลียม เช็คสเปียร์ หรือซิมโฟนีหมายเลข9 (Choral) กับชื่อของเบโธเฟน ซึ่งการสร้างสรรค์ศิลปะในระดับ “ผลงานชิ้นเอก” (Master Piece) ของศิลปินแต่ละคนจัดเป็นความสำเร็จในระดับที่ต้องสั่งสม ผ่านประสบการณ์อันยาวนานในชีวิตอีกทั้งรวมไปถึงพลังที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทพรลงมาจากเบื้องบนอย่างมหัศจรรย์แบบที่เราเรียกกันว่า “พรสวรรค์” นั่นเอง
สำหรับในแวดวงดนตรีคลาสสิกบ้านเรานั้น ศิลปินในสาขาดุริยกวีหรือนักประพันธ์ดนตรียังมีจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับศิลปินดนตรีในสาขาการแสดงและนักประพันธ์ดนตรีที่ยืนอยู่ในระดับแถวหน้าของวงการในบ้านเรา อีกทั้งยังกล่าวได้ว่าเป็นนักแต่งเพลงคลาสสิกที่ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติคนแรกๆ ก็เห็นจะได้แก่ ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร แห่งคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งตลอดระยะเวลาราว 30 ปีที่ผ่านมานี้ เขามีผลงานทางด้านการประพันธ์ดนตรีคลาสสิกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นศาสตราจารย์ในสาขาวิชาการประพันธ์ดนตรีที่ได้สร้างบุคลากร-ลูกศิษย์ทางสาขาวิชาการประพันธ์ดนตรีออกมาอย่างไม่ขาดสายเช่นเดียวกัน
และหากจะพิจารณาจากวัยวุฒิและผลงานการประพันธ์ดนตรีที่ผ่านมาอีกทั้งประสบการณ์บนเส้นทางสายนี้แล้วถือได้ว่าขณะนี้ ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร กำลังอยู่ในช่วงที่เป็นจุดสูงสุดทางวิชาชีพที่ต้องใช้ศักยภาพทางสมองในการสร้างสรรค์สาขานี้ทีเดียว และที่น่าจับตามองมากที่สุดในช่วงนี้ก็เห็นจะได้แก่ผลงานดุริยางคนิพนธ์ในระดับ “มหากาพย์” (Epic) ของเขาที่เพิ่งจะประพันธ์เสร็จ และกำลังจะนำออกบรรเลงเป็นครั้งแรกในวันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2557 นี้ ณ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
ผลงานชิ้นนี้เป็นบทเพลงซิมโฟนี (Symphony) ขนาดใหญ่ ที่มีชื่อเฉพาะว่า “ประสานเสียงสำเนียงระฆัง” (The Harmony of Chimes) สำหรับเครื่องดนตรีพื้นเมืองชนิดต่างๆในประเทศแถบภูมิภาคอาเซียน(Asean)ร่วมกับวงซิมโฟนีออร์เคสตราขนาดเต็มอัตรา ซึ่งถ้าจะพิจารณาจากลักษณะแนวคิด(Concept)ของตัวผลงานแล้วนี่เป็นผลงานที่มีรากฐานแบบคอนแชร์โตกรอซโซ(Concerto Grosso)ในสมัยบาร็อค(Baroque) หรือผลงานที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างบทเพลงซิมโฟนีและคอนแชร์โตในแบบที่เรียกกันว่า ซินโฟเนียคอนแชร์ตานเต(SinfoniaConcertante)แบบสมัยคลาสสิก แต่ซิมโฟนีประสานเสียงสำเนียงระฆังบทนี้มีขอบเขตแนวคิดทางศิลปะ-ดนตรีที่กว้างไกลไปกว่านั้นอีกเพราะมันยังแฝงไว้ด้วยการบอกเล่าเรื่องราวผ่านเสียงดนตรีในแบบที่เรียกกันว่า “ซิมโฟนิกโพเอ็ม”(Symphonic Poem)อีกด้วย
เท่าที่ผ่านมาในอดีตเราอาจพบเห็นบทเพลงบรรเลงเดี่ยวเครื่องดนตรีพื้นบ้านแปลกๆประชันกับวงออร์เคสตราสากลอยู่บ้าง แต่นี่ดูจะเป็นครั้งแรกในวงการดนตรีคลาสสิกที่มีการนำเอาเครื่องดนตรีพื้นเมืองจากหลายประเทศในแถบอาเซียน มาบรรเลงเดี่ยวประชันกับวงออร์เคสตราสากล ซึ่งเป็นที่แน่นอนที่สุดว่า ผู้ที่จะสามารถสร้างสรรค์ผลงานแบบนี้ขึ้นมาได้จะต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้-จัดเจนในศาสตร์และศิลป์ทางดนตรีในหลากหลายสาขา ทั้งทางดนตรีคลาสสิกสากลที่ต้องยืนเป็นหลักในแนวคิดและความรอบรู้ในด้านเครื่องดนตรีพื้นเมืองชนิดต่างๆ จากหลายๆ ประเทศที่ต่างก็มีวิธีบรรเลง,วิธีการกำหนดระยะบันไดเสียง (Scale), แนวคิดทางดนตรีปลีกย่อยที่แตกต่างกัน อีกทั้งรวมไปถึงศิลปะแห่งการเล่าเรื่องผ่านเสียงดนตรี ในลักษณะกึ่งดนตรีพรรณนา (Program Music Like)ที่บอกเล่าถึงความงดงามทางภูมิศาสตร์,ปรัชญา-คติความเชื่อตามท้องถิ่นของชาติต่างๆ ในแถบภูมิภาคอาเซียน ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าผลงานดุริยมหากาพย์บทนี้ ผู้สร้างสรรค์จะใช้ความรู้เพียงด้านการประพันธ์ดนตรีคลาสสิกสากลเพียงด้านเดียวไม่ได้ หากแต่เขาจะต้องทำงานวิจัยทางด้านมานุษยศาสตร์ประกอบไปด้วยอย่างมากทีเดียว ในอันที่จะประพันธ์ดุริยางคนิพนธ์ที่สามารถผสมผสานกันในลักษณะ “สหวิทยาการ” (Interdisciplinary) เช่นนี้
จุดเชื่อมต่อผสานแนวคิดอันสำคัญในผลงานชิ้นนี้ก็คือเครื่องดนตรีในลักษณะระฆัง (Chime) ที่มีอยู่และใช้อยู่ร่วมกันในภูมิภาคแถบนี้มาอย่างยาวนานก่อนที่จะมีการปักปันแบ่งแยกเขตแดนเป็นประเทศต่างๆ ด้วยซ้ำไป ระฆังมิใช่เป็นเพียงแค่เครื่องดนตรี หากแต่ยังเป็นเครื่องส่งสัญญาณบ่งบอกเวลา,เครื่องประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาที่พบเห็นได้ในอารยธรรมอันเก่าแก่ในภูมิภาคนี้
ที่เด่นชัดที่สุดก็คือเครื่องดนตรีจำพวกกลองสัมฤทธิ์และฆ้องในรูปแบบต่างๆ ซิมโฟนี “ประสานเสียงสำเนียงระฆัง”บทนี้จึงสะท้อนความยิ่งใหญ่และเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งทางวัฒนธรรมและความเชื่อมโยงกันผ่านสายใยทางดนตรี
ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์แบ่งบทเพลงออกเป็น 7 ท่อน โดยในแต่ละท่อนจะมีแนวทำนองเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป แต่จะมีการเชื่อมโยงกันให้มีเอกภาพด้วยแนวทำนองหลัก(Main Theme)ของบทเพลงทั้งหมด ซึ่งแนวทำนองหลักใหญ่ของบทเพลงที่ว่านี้จะไปปรากฎอยู่ในบทเพลงทั้ง7ท่อน โดยจะนำเสนอด้วยเทคนิคการพัฒนา,ผันแปรไปในลักษณะต่างๆกัน ซึ่งแนวความคิด(Concept)และรายละเอียดของบทเพลงทั้งหมดแบ่งออกเป็นดังนี้
ท่อนแรก:-เสียงระฆัง(The Chimes) เปิดการบรรเลงด้วยทำนองเพลงพื้นเมืองจากทางภาคใต้ของไทยแวดล้อมไปด้วยเสียงระฆังน้อย-ใหญ่ เพื่อบ่งบอกถึงความสำคัญแห่งเสียงระฆังในภูมิภาคนี้ ช่วงบรรเลงเดี่ยวอวดฝีมือแบบ“Cadenza” (คาเด็นซา คือช่วงการบรรเลงเดี่ยวอวดฝีมือขั้นสูงของเครื่องดนตรีโดยวงออร์เคสตราหยุดการบรรเลงประกอบ)จากเครื่องดนตรีพื้นเมืองของชาติต่างๆในแถบอาเซียนและการนำเสนอแนวทำนองหลักของบทเพลงโดย เชลโล(Cello)
ท่อนที่สอง:- กล้วยไม้ตะซิน(Thazin Orchid) เป็นการใช้เสียงดนตรีบรรยายถึงความงามของดอกไม้ และธรรมชาติของประเทศเมียนมาร์ โดยตะซินเป็นดอกไม้อยู่ในพื้นที่สูงและใช้เป็นดอกไม้ประจำราชวงศ์ของเมียนมาร์ในอดีต อาจารย์ณรงค์ฤทธิ์ได้หยิบยกแนวทำนองเพลงพื้นเมืองโบราณของพม่ามาบรรเลง และยังใช้พิณรูปทรงคล้ายเรือที่เรียกว่า “ซองเกาะ”(Song Guak)ซึ่งเป็นพิณประจำชาติของเมียนมาร์มาร่วมบรรเลงในท่อนนี้ด้วย
ท่อนที่สาม:- หนังใหญ่(WayangKulit) คำว่า “วายัง” หมายถึงเงา และวายังกุลิตหรือศิลปะการแสดงหุ่นเงานี้ก็เป็นการแสดงที่พบเห็นได้ทั้งในประเทศไทย(ภาคใต้),มาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยในท่อนนี้มีการนำ “โบนัง”(Bonang)เครื่องดนตรีประจำชาติของอินโดนีเซียมาร่วมบรรเลงและยังหยิบยกแนวทำนองเพลงพื้นเมืองที่ใช้ประกอบการเล่นหนังใหญ่ของอินโดนีเซียมาใช้ในท่อนนี้อีกด้วย
ท่อนที่สี่:- พญานาค(Naga) ท่อนนี้บรรยายถึงพญานาคแห่งลุ่มแม่น้ำโขง “สัตว์กึ่งเทพ”อันเป็นที่เคารพนับถือของทั้งชาวไทย,ลาวและกัมพูชาที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขงอีกทั้งยังมีความสำคัญต่อความเชื่อในทางพุทธศาสนาของผู้คนในแถบนี้ โดยมีการนำเอา ปี่ในจากวงปี่พาทย์และ ปี่แนซึ่งเป็นปี่พื้นเมืองทางภาคเหนือของประเทศไทยมาร่วมบรรเลงกับวงออร์เคสตรา และการนำเสนอแนวทำนองแบบ “ลายแคน”จากทางอีสานของไทยมาประยุกต์ใช้
ท่อนที่ห้า:- ภูผาอาโป(Mt.Apo) บรรยายถึงภูเขาไฟอาโปแห่งเกาะมินดาเนาประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีการนำเครื่องดนตรีในลักษณะฆ้องที่เรียกว่า “กุลินตัง”(Kulintang)จากประเทศฟิลิปปินส์มาร่วมบรรเลงอีกทั้งการใช้เสียงดนตรีสร้างภาพแห่งการระเบิดของภูเขาไฟอย่างทรงพลังอำนาจ
ท่อนที่หก:- นทีแห่งมังกรทั้งเก้า(River of Nine Dragons) มังกรทั้งเก้าในที่นี้หมายถึงการแยกตัวของแม่น้ำโขงออกเป็น9สาย โดยในท่อนนี้เน้นความไพราะอ่อนหวานด้วยการนำเสนอแนวทำนองเพลงพื้นเมืองที่ชื่อว่า “ลู่ทุ่ย”(LuuThuy)จากประเทศเวียดนามมาบรรเลงโดยพิณดันเบา(Dan Bau)ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองของเวียดนามเช่นกัน
ท่อนที่เจ็ด:- ประสานเสียง(The Harmony) เป็นการสรุปของซิมโฟนีบทนี้แสดงถึงแนวคิดของมิตรภาพและความผูกพันธ์ฉันท์พี่น้องในภูมิภาค เสียงระฆังมีบทบาทสำคัญอย่างมากในดนตรีท่อนนี้ อีกทั้งการบรรเลงร่วมกันของเครื่องดนตรีพื้นเมืองต่างๆในแถบภูมิภาคอาเซียนอย่างอิสระบนพื้นฐานทำนองเพลงพื้นเมืองจากบรูไน นำเข้าสู่จุดสูงสุดของบทเพลงด้วยแนวทำนองใหม่ของท่อนอย่างอลังการและการบรรเลงเดี่ยวอวดฝีมือของเครื่องดนตรีพื้นเมืองทั้งหมดอย่างดุเดือดเข้มข้นประชันโต้ตอบกับวงออร์เคสตราอย่างน่าตื่นเต้น
ถือได้ว่านี่เป็นการปักหมุดหมายแห่งความทะเยอทะยานทางศิลปะดนตรีครั้งสำคัญในระดับนานาชาติ ซึ่งในชั่วชีวิตหนึ่งของศิลปินคงจะมิได้มีโอกาสรับภารกิจ,มอบหมายสร้างงานดนตรีที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้บ่อยนัก ผลงานดนตรีที่ยิ่งใหญ่อลังการทั้งจำนวน,ปริมาณอีกทั้งเนื้อหาทางดนตรีและแนวความคิดทางศิลปะ ผลงานดนตรีที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีการนำเครื่องดนตรีประจำชาติจากหลายประเทศมาบรรเลงร่วมกับวงซิมโฟนีออร์เคสตราขนาดเต็มอัตรา ด้วยวิธีคิดและวิธีการบรรเลงดนตรีที่ผสมผสานทั้งแบบพื้นบ้านเอเซียละแบบคลาสสิกสากล ภายใต้กรอบแนวคิดของบทเพลงที่ผสมผสานไปด้วยบทเพลงประชันแบบคอนแชร์โต,บทเพลงซิมโฟนีและดนตรีพรรณนาแบบซิมโฟนิกโพเอ็ม ถือเป็นผลงานดนตรีอันน่าภาคภูมิใจจากฝีมือการประพันธ์ของดุริยกวีและนักวิชาการทางดนตรีชั้นแนวหน้าของเมืองไทยอย่าง ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมบุตร ซึ่งน่าเชื่อเหลือเกินว่านี่คงจะเป็นผลงานระดับ “ชิ้นเอก” (Masterpiece) ที่จะอยู่คู่กับชื่อของเขาไปในภายภาคหน้าเสมือนกับ “ผลงานชิ้นเอก”ของศิลปินระดับโลกทั้งหลาย
ซิมโฟนี “ประสานเสียงสำเนียงระฆัง” บทนี้จะนำเสนอเป็นบทเพลงเอกของรายการแสดง “ดนตรีบรรเลงเพลงอาเซียน”ในค่ำวันอาทิตย์ที่24 สิงหาคม พ.ศ.2557นี้ เวลา 20.00น. ณ หอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย บรรเลงโดยวง บี.เอส.โอ.(Bangkok Symphony Orchestra) อำนวยเพลงโดย ชาร์แดด โรฮานี (Shardad Rohani) วาทยกรรับเชิญชาวอเมริกัน โดยในครึ่งแรกจะเป็นการนำเสนอบทเพลงขับร้องจากนักร้องรับเชิญชั้นนำจากชาติต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน
นี่คือนวัตกรรม-ความคิดใหม่ๆทางศิลปะดนตรีครั้งสำคัญอย่างแท้จริง.




