ความลับระหว่างช่อง(การ์ตูน) วิศุทธิ์ พรนิมิตร

"ถ้าเชื่อในสิ่งที่เรียนรู้ ต่างจากเชื่อในสิ่งที่ทำ" นี่คือ วิธีคิดส่วนหนึ่งของนักวาดการ์ตูนทีโด่งดังในญี่ปุ่น
"สิ่งที่เธอคิดว่าฉันกำลังคิด คนละความหมายกับ "สิ่งที่ฉันกำลังคิด" " ส่วนหนึ่งจากการ์ตูน มะม่วงจัง ของ พิศุทธิ์ พรนิมิตร นักวาดการ์ตูนเมืองไทย ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะบอกเล่าความรู้สึกแบบเรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง เป็นธรรมชาติ ยกตัวอย่างผลงานการ์ตูนเด็กหญิงมะม่วงกางร่มอยู่กลางสายฝน มีคำบรรยายว่า " จะกังวลหรือสนุกกับมัน "
ตัวการ์ตูนของเขา ทำให้รู้สึกว่า เขากำลังนั่งคุยกับคนอ่าน หรือไม่ก็กำลังร้องเพลงด้วยกัน หรือบางจังหวะเขาเข้ามาตบไหล่ แล้วปลอบใจ เสมือนเพื่อนที่รู้ใจ
เพราะคำที่ออกมาจากใจ มีแง่คิดไหลลื่นตามครรลองของชีวิตและธรรมชาติ ที่มีทั้งอารมณ์สนุก น่ารัก ละเมียดละไม ...
และนั่นเองที่ทำให้นักวาดการ์ตูนคนนี้เป็นที่รู้จักในญี่ปุ่น เพราะช่วง 3 ปีที่เขาไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น เขาไม่ได้มุ่งเรียนอย่างเดียว เขาใช้ความสามารถในการวาดการ์ตูน เปิดแสดงผลงาน จนในที่สุดผลงานเข้าตาคนในแวดวงการ์ตูนญี่ปุ่น กระทั่งมีผลงาน everybodyeverything ตีพิมพ์เล่มแรกในญี่ปุ่น และมีโอกาสทำงานวาดการ์ตูนให้นิตยสารในญี่ปุ่นอยู่เรื่อยๆ โดยมีเด็กหญิงมะม่วงเป็นตัวละครเอก
ส่วนในเมืองไทย เขาเขียนการ์ตูนเรื่อง ฮีชีอิท(hesheit) ซึ่งเป็นผลงานที่เขารักมากที่สุด และแสดงให้เห็นตัวตนทั้งด้านดีและไม่ดีของเขา โดยก่อนหน้านี้ตีพิมพ์ในนิตยสาร Katch กระทั่งปิดตัวลง ปัจจุบันตีพิมพ์ในนิตยสาร a day นอกจากนี้เขายังวาดเรื่องราวของเด็กหญิงมะม่วงในนิตยสารพลอยแก้มเพชร
เรื่องเล่าในการ์ตูนของเขาและการดำเนินชีวิตของนักวาดการ์ตูนคนนี้ มีบทเรียนบางอย่างชวนคิด ทั้งเรื่องที่เคยผิดพลาดและเรื่องดีๆ ยกตัวอย่าง "สอบได้ F เพราะอีโก้" หรือ "คนเราจะคิดลบไปทำไม"...
ณ วันนี้อะไรคือความภูมิใจในชีวิตคุณ
ผมไม่เคยคิด ถ้าให้คิด...ก็ภูมิใจไปหมด รอบๆ ตัว แม่ ครอบครัว คนอ่าน คนที่ช่วยเรา ตัวเราเองก็ภูมิใจ เพราะทุกคนก็ต้องอดทน ช่วงที่เราไม่ได้มีชื่อเสียง เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ เราเขียนการ์ตูนบ้าๆ บอๆ คนก็ยังอุตส่าห์อ่านการ์ตูนเรา เราก็นับถือ เพราะเราเป็นนักวาดการ์ตูน เมื่ออ่านแล้ว ก็สนุกของเราคนเดียว เราก็ทำให้มันดีขึ้น ถ้าคนไม่อ่านการ์ตูนเรา เราก็ไปไหนไม่ได้
ผลงานที่ผมเขียนแล้วภูมิใจมากที่สุดคือ ฮีชีอิท ตีพิมพ์รายเดือนใน a day งานเขียนแบบนี้คิดว่าไม่มีใครเหมือน เขียนแบบไม่กดดัน จากความรู้สึกมากที่สุด ผมก็ภูมิใจที่ทำได้ อยากพูดเรื่องอะไร ก็วาดลงไปเลย แต่เรื่องนี้ไม่ค่อยฮิต เพราะไม่น่ารัก บางทีก้าวร้าว บางทีก็ใจดี บางทีก็น่ารัก เราสื่ออารมณ์ทั้งหมดที่เรามี หลายอารมณ์ เราไม่แคร์ว่าคนอ่านจะรู้สึกอย่างไร เราแค่บันทึกไว้ว่า คนเรามีความรู้สึกแบบนี้ได้
คุณมักจะพูดถึงแม่ที่อยากให้คุณมีอาชีพที่มั่นคงเลี้ยงตัวเองได้ ?
แม่เป็นครู ส่วนเราเป็นพวกที่ชอบทำอะไรแปลกๆ ไม่แปลกไม่ทำ อะไรซ้ำๆ หรือคนอื่นทำแล้ว ไม่ทำ แม่จะบอกว่าให้ทำเหมือนชาวบ้านสิ ทำอะไรแปลกๆ แม่ไม่เข้าใจ เธอเป็นแม่ เราก็ฟัง โอเคเราก็อยากให้แม่เข้าใจเราด้วย แต่เราก็ต้องเข้าใจว่า การที่แม่ประสบความสำเร็จได้ แสดงว่า แม่ต้องมีอะไรถึงสอนเราได้ และเมื่อเข้าใจแม่มากขึ้น เราก็คิดว่า ทำอะไรที่ไม่ต้องแปลกมากก็ได้
ช่วงไหนที่เข้าใจแม่มากขึ้น
สิบปีที่แล้ว เริ่มวาดเด็กหญิงมะม่วง แม่เคยอ่านฮีชีอิทที่เราชอบ เขียนไปห้าปี แม่ก็อ่านไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นแม่อายุ 60 กว่าๆ คือ บ้านแม่เป็นคนทำนาอยู่สงขลา เวลาทำอาหารก็ต้องไปนา ซึ่งการ์ตูนที่ผมเขียน ไม่มีอยู่แล้ว แล้วเขาจะเข้าใจได้ยังไงว่า การ์ตูนรูปนี้แสดงถึงอาการกำลังตกใจ หรือการ์ตูนช่องนี้สื่อช่วงเวลาหนึ่งปี อีกช่องสิบวินาที แม่ไม่เข้าใจหรอก เมื่อเราเป็นลูก ก็ต้องทำให้แม่เข้าใจให้ได้ว่า เราวาดการ์ตูนเป็นอาชีพได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ยอมให้เราวาดการ์ตูน แม่ผมทำธุรกิจโรงเรียน ก็พยายามจะให้ผมไปช่วยงาน ผมก็บอกว่าวาดการ์ตูนได้เงิน แต่หนังสือที่ผมวาดการ์ตูนให้ เจ๊งไปหลายเล่มแล้ว และเมื่อมีคนชมการ์ตูนผม ผมไม่ได้ขอตังค์แม่ แม่ก็บ่นน้อยลง
ผลงานฮีชีอิท เป็นตัวตนของคุณมากที่สุดก็ว่าได้ ?
การ์ตูนชุดนี้มีทุกอย่างที่เป็นผม มีทั้งอารมณ์ขี้เกียจวาด วาดออกมาชุ่ยๆ อยากวาดสวยก็ทำ ไม่ต้องคำนึงถึงสไตล์ ถ้าอยากให้ตัวละครมันตาย ก็ตายได้ ไม่แคร์ ว่าตัวการ์ตูนต้องมีอิมเมจอะไร ฟรีสไตล์มากเลย
ค่อนข้างฟรีสไตล์ ?
การ์ตูนเรื่องนี้เกิดจากการวาดเล่นๆ ตอนแรกลงตีพิมพ์ในนิตยสาร Katch เมื่อพี่บอย โกสิยพงษ์ อ่าน เขาแค่บอกใบ้ให้เรานิดเดียว เขาบอกว่า ไม่ต้องแก้ไขอะไร เขียนมายังไง ก็ลงไปอย่างนั้น ทำให้เราเข้าใจว่า การที่เราสื่อไปตรงๆ ปล่อยทุกอย่างที่เราเป็นหรือไม่เป็น เป็นสิ่งที่ดีที่สุด มันมีความรู้สึกที่ดีกับงานแบบนั้น
ตอนนี้คุณทำอะไรบ้าง
วาดการ์ตูนในเมืองไทยและญี่ปุ่น วาดภาพประกอบให้สินค้า ซีดีเพลงก็เคยออกที่ญี่ปุ่น ตอนผมไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นปี 2003 ผมมีผลงานวาดการ์ตูนอยู่บ้าง ก็เลยอยากให้คนญี่ปุ่นได้อ่าน โดยการซีร็อกซ์แจก แล้วก็คิดว่า น่าจะทำมากกว่านั้น จัดงานแสดงผลงาน เอาหนังการ์ตูนไม่มีเสียงไปฉายในบาร์เล็กๆ แล้วให้คนมาคุยกับเรา เมื่อไม่มีเสียงก็เลยเล่นดนตรีไปด้วย คนก็เริ่มรู้จัก เมื่อผมรู้จักนักดนตรีญี่ปุ่น ก็ออกซีดีเพลงร่วมกัน
คุณไม่เคยมีผลงานเพลงร่วมกับนักดนตรีไทยหรือ
ผมมีเพื่อนน้อย มันก็แปลก อยู่เมืองไทย ถ้าเราเล่นอะไรบ้าๆ บอๆ จะไม่มีคนดู หากไม่ใช่เรื่องในกระแสหลัก มันค่อนข้างลำบาก ดังนั้นคนที่ต้องพยายามก็คือเรา ถ้าเราดึงเพื่อนมาร่วม ก็ลำบากอีก อีกอย่างคนไทยไม่มีวัฒนธรรมจ่ายตังค์ไปดูงานอีเว้นท์เหมือนในญี่ปุ่น ถ้ามีการจัดอีเว้นท์สักห้าสิบคนในเมืองไทย คนไทยนอกจากจะขอดูฟรี ต้องแถมเหล้าด้วย ต่างจากในญี่ปุ่นจ่ายเงินพันกว่าบาทก็ดู เพราะพวกเขาสนใจว่า ใครทำอะไร แม้กระทั่งการแนะนำหนังสือก็ละเอียดมาก มีทั้งหนังสือที่อยู่ในกระแสตอนนั้นถ้าเบื่อก็มีหนังสืออื่นๆ มีเครือข่ายโยงใยถึงกัน มีหนังสือของคนเล็กๆ แม้กระทั่งการเปิดตัวงานศิลปะหรืออะไรก็ตาม ถ้ามีแค่สามคน พวกเขาก็จัด เพราะพื้นที่ลักษณะนั้น ทำให้ศิลปินเกิด ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เกิดจากตรงนั้น
นั่นเป็นความต่างทางวัฒนธรรม?
เพราะเราคนไทยมีวัฒนธรรมหลายอย่างไหลเข้ามาในประเทศ การ์ตูนญี่ปุ่นที่เข้ามาดังในเมืองไทย ไม่ใช่กระจอกๆ เขาสู้กันแทบตายกว่าจะขายดิบขายดี แต่คนไทยเอามาขายแค่สิบห้าบาท หรือเพลงฝรั่งกว่าจะดังได้ คนทำเพลงต้องสู้แทบตาย แต่คนไทยเอามารวมในเอ็มพี 3 ได้ของดีๆ แบบง่ายๆ สบายๆ แล้วอยู่มาวันหนึ่งคนไทยคนหนึ่งจะมาทำอะไรแปลกๆ คงสู้ไม่ได้ เพราะการขายแบบไทยๆ ต้องได้มาตรฐานระดับโลก ถ้าดังมาจากเมืองนอกจะขายง่าย
คุณไม่ค่อยชอบสังคมไทยหรือ
ชอบนะ แต่เท่าที่เห็นคนเล่นดนตรีจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีเพลงฮิต ถ้าจะขายเพลงได้ต้องเข้าค่ายเพลง เราก็มีเพื่อนนักดนตรี งานดนตรีจึงเป็นงานอดิเรก ผมเองก็เล่นกีตาร์ กลอง เปียโน ผมฝึกเอง ผมเล่นดนตรีมานาน จึงไม่อยากมีอาชีพเป็นนักดนตรี ผมอยู่มาหลายวง แต่ที่เห็นนักดนตรีมักแยกวง วงต้องมีจังหวะดีมากถึงจะรวมตัวกันได้ ซึ่งการเล่นดนตรี ต้องไปเล่นในสถานที่ๆ เราไม่ชอบ ต่างจากการวาดการ์ตูน ทำงานคนเดียวได้ ผมจึงเลือกอาชีพนี้
กว่าจะประสบความสำเร็จ คุณใช้เวลานานไหม?
ผมไม่คิดว่าจะประสบความสำเร็จ วาดไป เขียนไป ก็สนุก เพื่อนอ่านก็สนุก พอเขียนแล้วได้เงิน ก็เลยกลายเป็นอาชีพ ตอนอยู่เมืองไทย ช่วงที่มีชื่อเสียงแล้ว ก็ไม่มีใครให้งานทำ ไม่มีใครมาชวนทำอย่างอื่น ก็เลยต้องวาดการ์ตูนไปส่งสำนักพิมพ์ พวกเขาก็ไม่ได้กำหนดว่า ต้องวาดแนวไหน ถ้าบอกว่าอะไรก็ได้ ก็ง่ายสำหรับเรา แต่พอไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่น คนที่เคยเห็นผลงานเรา ก็จะมาจ้างเรา โดยบอกว่างานเราน่าสนใจ ให้ลองวาดให้ดูสักช่อง แต่เป็นช่องเล็กๆ ต้องวาดให้ตัวการ์ตูนเล็กลง ยากมาก แล้วต้องทำให้สิ่งที่วาดเปล่งประกายให้ได้ ผมวาดการ์ตูนล้อเลียนวงดนตรีผู้ชายห้าคนในญี่ปุ่น ก็ไม่ค่อยสนุก วาดแบบฝืนๆ แล้วก็เลิกไป
ในญี่ปุ่น คุณต้องทำตัวให้เป็นที่รู้จัก ?
ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าต้องเป็นที่รู้จัก ถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือ อยากโชว์ว่า ฉันวาดการ์ตูนเก่ง เราก็อยู่เมืองไทยวาดการ์ตูนมาห้าปี แล้วมีอีโก้ว่า เราก็ประสบความสำเร็จ ก็อยากให้คนญี่ปุ่นอ่านการ์ตูนที่เราวาดบ้าง อยากทดสอบตัวเอง อยากรู้ว่างานการ์ตูนเราดีขนาดไปต่างประเทศไหม สิ่งที่เราคิดว่าสนุก คนอ่านจะสนุกไหม เพราะการวาดการ์ตูนเหมือนเราคุยกับคน พูดออกมาอย่างไม่เกรงใจแต่พูดจากหัวใจ เราก็อยากจะรู้ว่า ใครจะฟังเราบ้าง พอมีคนฟังก็เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ ไม่ต้องมานั่งพูดอะไรที่เกรงใจกัน แล้วไม่เจอความจริงกันซะที
การ์ตูนทำให้คุณได้แสดงออกทางความคิดอย่างเต็มที่ ?
เมื่อก่อน ก็เป็นคนคิดอะไรแปลกๆ พูดอะไรออกมา เพื่อนจะขำๆ ว่าเราเพี๊ยน เราก็มีบุคลิกแบบนั้น แค่เราทำหน้าเฉยๆ เพื่อนก็ด่าแล้ว เขาจะบอกว่าเหมือนเมา เพราะเราจะพูดช้าๆ ไม่ค่อยพูดอะไรแบบที่คนอื่นพูด...พึมพัม ๆ แต่พวกเขาไม่ได้บ่นความรู้สึก ซึ่งก็เล่ายาก เพื่อนก็จะมองขำๆ เหมือนเราเป็นคนอีกแบบ พอเราเอาอารมณ์นั้นมาเขียนการ์ตูน มันพอดี คนก็ขำการ์ตูน ไม่มาขำเรา ก็จะมีตัวแพะรับบาป
การเป็นนักวาดการ์ตูน คุณให้ความสำคัญกับเรื่องใดบ้าง
ถ้าให้มอง หลักๆ คือ ต้องไม่ฉุดคนอ่านให้เศร้าหรือหดหู่ ประมาณว่า ยิ่งอ่านยิ่งอยากตาย ผมอยากเขียนอะไรที่คนเศร้าอยู่ อ่านแล้วหายเศร้า หรือคนอยากตาย อ่านแล้วอยากมีชีวิต ไม่รู้จะเขียนลบๆ ไปทำไม เปลืองกระดาษ เสียดายเวลาคนอ่าน ถ้าเขียนอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ก็อยู่เฉยๆ ดีกว่า ผมให้ความสำคัญเรื่องความรู้สึกเป็นอันดับหนึ่ง ต้องไม่ลืมว่าเราอยากพูดอะไร ก็บรรยายสิ่งที่เราอยากพูดออกมา แค่นั้นก็พอแล้ว อย่าไปใช้เวลาเปลืองกว่านั้น
ยอมรับว่า ชอบลายเส้นการ์ตูนในฮีชีอิทมากที่สุด พอใจมากๆ เมื่อทำแล้วสำเร็จ ชีวิตก็มีเวลาเหลือ ผมยังอายุ 30 กว่าๆ ก็เลยทำอย่างอื่นได้ ซึ่งงานฮีชีอิทผมคิดว่านี่คือดีที่สุด เป็นงานอีโก้ล้วนๆ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากก็ไม่ทำ อยากเขียนก็เขียน อยากหยุดเขียนก็บอกสำนักพิมพ์ คนอ่านจะชอบหรือไม่ชอบก็ช่างมัน
แต่พอเริ่มมีชื่อเสียง คนก็ให้ทำโน้นทำนี่ ก็ลองทำดู แต่ก็มีประโยคแรกในใจว่า "อันนี้ไม่ใช่กู ไม่เท่ ไม่ทำ" แต่ที่สุดลองทำดู ที่คนบอกว่าดี มันดียังไง เขาสั่งให้ทำอะไร ก็ทำ เพื่อให้เราได้ออกจากตัวเองบ้าง สรุปว่าตอนนี้ทำอะไรก็ได้
เมื่อก่อนคิดแบบนี้ไหม
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคิดแบบนี้ยากมาก สิบปีที่ผ่านมาเมื่อลองทำดู ก็รู้ว่า ไม่ใช่ว่าฉันดีที่สุด คนอื่นกากบาท หรืออยู่มาวันหนึ่งเราก็นั่งคิดว่า เมื่อแม่อ่านการ์ตูนฮีชีอิทไม่รู้เรื่อง เราก็คิดว่า ลองเขียนอะไรที่แม่อ่านรู้เรื่องบ้าง แม่จะได้สบายใจว่า เราเขียนอะไรแบบคนธรรมดาที่แม่รับได้ เพราะอาชีพวาดการ์ตูน มันเป็นอาชีพแปลกประหลาดในเมืองไทย จะมีตังค์ได้อย่างไร เราก็เลยทำอะไรที่อยู่ได้อย่างสันติภาพในชีวิตเรา
เมื่อก่อนเวลาใครว่า เราก็จะหันหลังให้ เมื่อเราเริ่มใจเย็นๆ เวลาคนอื่นพูด ย่อมมีอะไรสักอย่างที่เขาพูดถูก อย่างคนที่มาจ้างให้เราวาดรูป ก็มีหลายสไตล์ มีทั้งตามใจเขา ตามใจเรา ญี่ปุ่น ไทย เรื่องโกงก็เหมือนกันหมด เราก็ดูว่า ทำไมคนถึงโกง (หัวเราะ) เพราะการ์ตูนวาดแปลบเดียวก็เสร็จ เราไม่มีทุน อันนี้เป็นข้อได้เปรียบ และถ้ามีคนโกงเรา ก็เลิกคบ
ผูกใจเจ็บไหม
ผูกทำไม มันอยู่ที่เรา เขาไม่สนใจหรอก แรกๆ ก็ฉุนไปพักหนึ่ง ถ้าฉุนก็จะคิดวนอยู่ที่เดิม พอคิดวนไปสามวัน พอแล้ว เราก็สังเกตตัวเองไปเรื่อยๆ
เมื่อพูดถึงการวาดการ์ตูน เด็กหญิงมะม่วงในหลายเวอร์ชั่น เป็นตัวแทนของอะไร
คือเด็กหญิงมะม่วงเกิดขึ้นจากช่องเล็กๆ ของการ์ตูน เมื่อวาดตัวยาวๆ ไม่ได้ ก็วาดเล็กๆ จำได้ว่า เวลาไปแสดงงาน เราทำเสื้อยืดลายฮีชีอิท เซอร์ๆ มันขายไม่ได้ แต่พอทำเด็กหญิงมะม่วงบ้าๆ บอๆ ไม่ว่าไทยหรือญี่ปุ่นก็บอกว่าน่ารัก แล้วขายได้ เพราะมีแต่พลังบวก ตัวการ์ตูนตัวนี้ทำให้คนจ้างไปวาดเรื่องอื่นๆ อีก ในญี่ปุ่นให้เขียนลงในนิตยสาร บางทีวาดแค่หนึ่งช่อง หรือไม่ก็สองช่อง บางครั้งให้ตัวการ์ตูนแนะนำขนม หรือเรื่องอื่นๆ จริงๆ แล้วเราไม่ได้ดังมากในญี่ปุ่น แต่มีคนจ้างให้เขียนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2004 ผมมีงานแบบนี้เยอะในญี่ปุ่น ตอนนั้นเรื่องเด็กหญิงมะม่วง คนไทยไม่เคยเห็น สามสี่ปีที่แล้ว จึงรวบรวมมาตีพิมพ์ในหนังสือ ‘มะม่วง จัง’ ปรากฏว่า คนไทยชอบ
หากถามว่ามะม่วงเป็นตัวแทนของอะไร ก็ตัวผมในส่วนต่างๆ เป็นส่วนดีๆ ถ้าเป็นด้านลบๆ ก็ไปวาดที่อื่น อาจเป็นฮีชีอิท เหมือนเรามีเรื่องราวในชีวิตเยอะ เราก็เลือกดารามาเล่น ใครเหมาะกับเรื่องราวไหนก็เขียนไป มะม่วงก็เล่นแต่เรื่องสว่างๆ จนบางครั้งสว่างกว่าตัวผม
เมื่อเวลาผ่านไป ลายเส้นที่วาดก็เปลี่ยนไป ?
เขียนไปเรื่อยๆ ลายเส้นก็แม่นขึ้น พอเขียนเก่งขึ้น ก็ตัดเรื่องไม่จำเป็นออกไปได้มากขึ้น การเข้าถึงสิ่งที่อยากพูด จึงไม่จำเป็นต้องเขียนสิบหน้า วาดช่องเดียวก็พอแล้ว บางทียุ่งๆ ก็ไม่ต้องคิดให้ซับซ้อน ไม่ต้องวาดเยอะๆ เหนื่อยเปล่าๆ ผลก็เท่าเดิม เอาเวลาไปปลูกต้นไม้ดีกว่า
เคยตีบตันทางความคิดในการเขียนและวาดการ์ตูนไหม
ทุกอย่างมีอยู่แล้วในธรรมชาติ ไม่ใช่เราสร้างขึ้นมา เราก็เก็บมันมาวาง วันนี้เก็บส้มมาวางบนหญ้า วันต่อมาเก็บส้มวางบนใบไม้ บนตึก แล้วจะเป็นอย่างอื่นได้หรือเปล่า ไม่มีวันตีบตันทางความคิดเลย เพราะมีสิ่งที่อยากจะเขียนอีกเยอะในธรรมชาติ เราก็เปลี่ยนมุมมองไปเรื่อยๆ
ถ้าให้มองย้อนหลัง เรื่องใดเป็นความผิดพลาดในชีวิตคุณ ?
สอบตก เป็นความผิดพลาดมาก ตอนเรียนคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ตอนนั้นมีแต่อีโก้ คิดว่า ฉันเก่ง แล้วคนอื่นกากบาท อาจารย์บอกแบบนี้ น่าเบื่อ สิ่งที่เราทำสร้างสรรค์กว่า ก็เถียงเขา เขาก็ให้ F กากบาทใส่เรา ตอนนั้นก็เริ่มสงสัยว่า เรามันโง่ที่ไปอีโก้ในสถานที่แบบนั้น ปีแรกๆ คิดไม่ได้ มาคิดได้ตอนสอบตกปีที่ 2 ทำไมตอนนั้นเราไปนั่งทำอะไรแปลกๆ ถ้าจะทำอะไรแปลกๆ ไปทำที่อื่นสิ ในเมื่อมหาวิทยาลัยให้เรียน ก็เรียนไปตามกติกา ถ้าอยากทำอะไรบ้าๆ บอๆ ก็ไปวาดที่บ้านสิ ผมก็เลยทำตามกฎกติกา เพื่อให้เรียนจบ ใช้เวลา 5 ปีครึ่ง
จากการ์ตูนฮีชีอิทที่วาดแบบตามใจตัวเองเต็มร้อย พัฒนามาสู่การ์ตูนให้แง่คิดกับชีวิต ถือเป็นพัฒนาการไหม
การเขียนคำในการ์ตูนแนวที่แฝงปรัชญาชีวิตตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว ในการ์ตูนฮีชีอิทไม่ได้พูดตรงๆ แต่แฝงไว้ด้วยแง่คิด เพียงแต่คนหาไม่เจอ พอมาเขียนการ์ตูนระยะหลัง ก็บอกกันตรงๆ ไปเลย
ส่วนใหญ่การ์ตูนในญี่ปุ่นจะเน้นพัฒนาจิตใจ คุณคิดเห็นอย่างไร
การอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นจะทำให้คนใจดี ส่วนการ์ตูนฝรั่ง สู้กัน และแก้แค้นไปเรื่อยๆ อ่านแล้วจะโมโห แต่การ์ตูนญี่ปุ่นสู้กันแล้วกลับมาเป็นเพื่อนกัน ทำให้รู้สึกการให้อภัย การเป็นคนดี ทำให้ดูเท่ เราจึงอยากเลียนแบบ ทำให้นิสัยอ่อนโยน อยากเป็นคนเท่ๆ ในการ์ตูนบ้าง คนญี่ปุ่นไม่ได้คิดแบบตะวันตก และการใช้ชีวิตในญี่ปุ่น ทำให้เราใจเย็น
อะไรที่คุณได้จากการใช้ชีวิตในญี่ปุ่น ?
ได้คิดว่า คนไทยก็ดีเหมือนกัน สบายๆ บางทีคนญี่ปุ่นก็ใส่พลังในเรื่องง่ายๆ เยอะไป เช่น จะยกเก้าอี้ตัวเดียว ยกคนเดียวก็ได้ ถ้าคนญี่ปุ่นอยู่ตรงนั้น ทุกคนเป็นคนดีหมด สิบคนมาช่วยกันยกเก้าอี้ตัวเดียว เจอแบบนี้เยอะ คล้ายๆ กับเรื่องการแย่งกันจ่ายเงินเวลากินข้าวด้วยกัน แต่นั่นทำให้เราเข้าใจคนหลายๆ ประเภทมากขึ้น
แล้วการ์ตูนเล่มโปรดของคุณล่ะ
มิยูกิ การ์ตูนแนวรักๆ น่ารักดี คนเขียนชื่อ อาดาจิ มิซึรุ (Adachi Mitsuru) คนนี้เขียนเรื่องอะไร ก็ไม่ให้คนทะเลาะกัน สำหรับผมการอ่านการ์ตูน ทำให้มีความสุขมากกว่าทำกิจกรรมอื่น สนุกกว่าดูหนัง เตะบอล ก็เพราะการ์ตูนมันแปลกและเงียบ
คนรุ่นใหม่ที่คิดแปลกๆ และทำอะไรแตกต่างจากคนอื่น บางทีก็ไม่มีที่ยืนในสังคม คุณมีข้อแนะนำอย่างไร
คนเราไม่ว่าจะทำอะไร ก็ได้เรียนรู้ คิดต่างก็จะได้บทเรียนสำหรับคนนั้น ก็แนะนำว่าให้เชื่อบทเรียนที่ตัวเองได้ คนเราก็รู้อยู่แล้วว่า ทำอย่างไรถึงจะดี ก็ให้เชื่อในสิ่งที่เรียนรู้ ต่างจากเชื่อในสิ่งที่ทำ ถ้าเป็นแบบนี้ มันจะสอนเราว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป ไม่ใช่เชื่อตัวเองมากไป หรือเชื่อคนที่เป็นไอดอลที่มีชีวิตคนละแบบกับเรา
........................................
หมายเหตุ : สำหรับคนที่อยากดูผลงานของนักวาดการ์ตูนคนนี้ เข้าไปดูที่เว็บ wisutponnimit.com







