ขัตติยนารี ศรีพัชรินทรา

ราวกับได้เดินทะลุกระจกเงาในนวนิยายเรื่องทวิภพ ย้อนกลับไปในวันวาน
สมัยเริ่มก่อตั้งโรงเรียนราชินีเมื่อราวปี 2447 นั่นเลยทีเดียว
เด็กผู้หญิงตัวเล็กเกล้าจุกล้อมดอกมะลิร้อย นุ่งโจงกระเบนเข้าคู่กับเสื้อคอกระเช้า ผิวขาวบางราวกับเนื้อกระเบื้อง กำลังนั่งคัดลายมือบนโต๊ะไม้สไตล์อังกฤษ เป็นส่วนหนึ่งของนักเรียนปัจจุบันที่พร้อมใจกันมาร่วมแสดงผลงานและสาธิตงานหัตถศิลป์ในขัตติยนารี ศรีพัชรินทรา นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชินีพันปีหลวง ในโอกาส 150 ปีวันพระราชสมภพ และองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)ประกาศยกย่องให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก พ.ศ.2556
นิทรรศการจัดขึ้นที่พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ ท้องพระโรงเดิมในสมัยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จมาประทับที่วังพญาไท (โดยยังปรากฏอักษรพระนามาภิไธย สผ พระนามเดิม สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี) จัดแสดงพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจทางด้านต่างๆ อาทิเช่น ราชการแผ่นดิน ทรงเป็น "พระบรมราชินีนาถ" พระองค์แรกของสยาม ทรงได้รับโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินต่างพระองค์ ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป
ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ทรงเป็นต้นแบบและผู้ชักชวนสตรีไทยที่คลอดบุตรแบบเดิมเปลี่ยนมาใช้วิธีการผดุงครรภ์สมัยใหม่ ด้านการศึกษา ทรงมีพระราชดำริว่าความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติบ้านเมืองนั้น จะบรรลุสำเร็จได้ย่อมขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชนทั้งชายและหญิง จึงมีพระราชดำริส่งเสริมให้สตรีไทยได้รับโอกาสในการศึกษาหาความรู้ และ โรงเรียนราชินี เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงแห่งแรกที่ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดตั้งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ทางคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลอง 150 ปีวันพระราชสมภพ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ และราชินีมูลนิธิ จึงได้จำลองวิถีการเรียนการสอนของนักเรียนราชินีในยุคเริ่มต้นที่ยังคงสืบสานต่อจนถึงปัจจุบันตามพระราโชบายที่ทรงให้ไว้ว่า ให้รู้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษให้สื่อสารได้ รวมทั้งงานหัตถกรรมมีจรรยามารยาท
"สมัยก่อนงานเย็บปักถักร้อยจะสอนกันอยู่ในพระตำหนัก พอมาเปิดโรงเรียนราชินีงานในพระตำหนักก็มาสืบสานต่อที่โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นงานปักสะดึงกลึงไหม ร้อยมาลัย เมื่อแรกตั้งโรงเรียนทรงจ้างครูญี่ปุ่นมาสอน เรากรองดอกไม้ไทย ญี่ปุ่นทำดอกไม้แห้งและวาดเขียน ก็เท่ากับผสมงานหัตถศิลป์ไทยญี่ปุ่นเข้าด้วยกันออกมาเป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียนราชินี
"เราจำลองการเรียนการสอน และเครื่องแบบนักเรียนจำลองมาสามช่วง เริ่มแรกแต่งตัวตามสมัยนิยมมาเรียนสวมเสื้อคอกระเช้านุ่งโจงกระเบน ต่อมาเป็นเสื้อขาวคล้ายปัจจุบันต่างกันที่ปกกับแขนนุ่งผ้าถุงป้ายสีน้ำเงิน พอกระทรวงศึกษาธิการบังคับว่ามีเครื่องแบบ จากเสื้อขาวแขนปล่อยก็มาเป็นเสื้อขาวแขนมีจีบแบบปัจจุบัน ปักอักษรย่อสผ.สีขาวตรงกระเป๋าเสื้อ สวมกระโปรงสีน้ำเงิน
ส่วนโต๊ะนักเรียน โรงเรียนได้รับพระราชทานมาจากงานพระเมรุเจ้านาย สมัยก่อนนิยมสร้างเฟอร์นิเจอร์ถวายในงานพระเมรุเรียกว่า เครื่องสังเค็ด ในงานพระเมรุของรัชกาลที่ 5 ทางโรงเรียนได้รับพระราชทานโต๊ะไม้ลงลายสีทอง มีตราสัญลักษณ์จปร. เราเรียกว่าโต๊ะทอง นำมาเป็นโต๊ะสำหรับคนที่สอบได้ที่หนึ่งนั่งเรียนหนังสือ" คณะทำงานราชินีมูลนิธิอรรถาธิบาย
งานคัดลายมือด้วยปากกาเบอร์ห้า ปากกาคอแร้ง น้ำหมึกยี่ห้อเกฮาร์ ถือเป็นสิ่งคุ้นเคยของนักเรียนราชินี เช่นเดียวกับงานร้อยมาลัย ปักสะดึงกลึงไหมที่เรียนกันในชั้นมัธยม ในขณะที่งานแกะสลักผักผลไม้ฝึกสอนกันมาตั้งแต่ชั้นประถมปีที่สี่
นอกเหนือจากวิถีชาวราชินีแล้ว นิทรรศการยังพาเราไปสัมผัสกับพระปรีชาสามารถทางด้านศิลปะ ทรงผสมผสานศิลปวัฒนธรรมไทยกับศิลปะการแต่งกายแบบตะวันตก เพื่อทรงในโอกาสต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ผ่านฉลองพระองค์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยฝีมือของดีไซเนอร์มากฝีมือ ธีระพันธ์ วรรณรัตน์ ผู้ทำให้เราได้เห็นพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยมีความทันสมัยไม่น้อยหน้าชาติตะวันตก
นิทรรศการจัดแสดงไปแล้วระหว่างวันที่ 16 -20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางความรู้สึกประทับใจของผู้มีโอกาสได้ชื่นชม







