ท่องโลก 'ไวน์' บนเกาะกูด

เปลี่ยนจากการสัญจรในต่างแดน เพื่อค้นหาคุณค่าในวิถีทางของผู้คน มาสู่โลกทั้งโลกในแก้วใบเดียว
สำหรับบางคน นั่นย่อมถือเป็นการเดินทางเฉกเช่นกัน
ทริปการเดินทางไปเยือนเกาะกูดส่งมาถึง “อินบ็อกซ์” ในช่วงต้นฤดูฝน แต่คราวนี้ ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่ธรรมชาติ หรือกิจกรรมสารพันระหว่างเส้นทางเท่านั้น เหนืออื่นใด มันหมายถึงการเดินทางไปในโลกแห่งไวน์ น้ำองุ่นหลากพันธุ์ที่มนุษย์ใช้เวลานับพันปี สร้างสรรค์ ค้นคว้า และพัฒนาขึ้นมา จนกลายเป็นวัฒนธรรมแห่งการใช้ชีวิตที่มีความหลากมิติหลายแง่มุมให้ค้นหา
ไม่บ่อยครั้งนัก กับการท่องไปในโลกของเครื่องดื่มคลาสสิกนี้ พร้อมๆ กับการสัญจรไปยังพื้นที่ที่ห่างไกลออกไปกลางทะเล ถึง 80 กิโลเมตร บนเกาะซึ่งได้ชื่อว่า มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศไทย แต่กลับมีประชากรอาศัยอยู่เพียงบางเบา ด้วยจำนวนน้อยกว่า 2,000 ครอบครัว
เพียงเพราะชื่อของ เจมส์ ซัคคลิงส์ (James Sucklings) นั่นแท้เชียว ทำให้การตัดสินร่วมทริปครั้งนี้ เป็นไปอย่างง่ายดาย ในแวดวงเครื่องดื่ม เจมส์ นับเป็นกูรูไวน์ชั้นนำที่ฝากผลงานเอาไว้ยาวนานในนิตยสาร Wine Spectator ปัจจุบัน เขาลาออกจากนิตยสารฉบับนี้มานานหลายปีแล้ว เจมส์ มีเว็บไซต์ส่วนตัว และทำงานประจำอยู่ในกลุ่มนิตยสาร Tatler ซึ่งมีฐานที่มั่นในฮ่องกง
แค่เริ่มต้นจินตนาการ ก็ออกจะสนุกแล้วว่า เจมส์ ซัคคลิงส์ กับมาตรฐานความหรูหราไฮเอนด์ของรีสอร์ท อย่าง โซเนวา คีรี (Soneva Kiri) บนเกาะกูด จะให้ประสบการณ์ดีๆ เพียงใด
-1-
แทนที่เราจะใช้เส้นทาง “บางนา-ตราด” ซึ่งมีพื้นผิวตะปุ่มตะป่ำราวกับท้าวแสนปม มุ่งสู่ถนนสายไฮเวย์เพื่อไปยังจังหวัดตราด นัดหมายของเรา กลับเริ่มต้นขึ้น ณ เคาน์เตอร์เช็คอิน แถว 5 P บนชั้น 3 ของอาคาร 1 ท่าอากาศยานดอนเมือง
ประสบการณ์เฉพาะตัวเริ่มขึ้น ด้วยเครื่องบินโดยสารส่วนตัวขนาด 10 ที่นั่ง เอ็กคลูซีฟเฉพาะรีสอร์ทแห่งนี้ ขาไปคือ เที่ยวบิน Flight 209 DMK - MSI เวลา 14:00 - 15:30 ส่วนขากลับ คือเที่ยวบิน Flight 206 MSI - DMK 11:50 - 13:20
เราใช้เวลาประมาณ 80 นาทีอยู่บนเครื่องบินลำเล็กๆ ที่แกว่งไปมาตามแรงลม (ความรู้สึกบอกเราอย่างนั้น) โดยเบนเข็มจากทางเหนือของกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ แล้วค่อยๆ เลาะแนวอ่าวไทยไปเรื่อยๆ จนในที่สุด มา “แลนดิ้ง” อย่างปลอดภัย ตรงสนามบินที่เร้นตัวอย่างมิดชิด ด้วยรันเวย์สั้นๆ ประมาณ 1 กิโลเมตร และมีโค้ดตัวย่อว่า “MSI”
จากสนามบินส่วนตัว มีขบวนรถกอล์ฟ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า electric cart พาทุกคนมาลงเรือยอร์ชขนาดย่อม เพื่อนั่งต่อไปในท้องทะเลอีก 2 กิโลเมตร ก่อนจะเข้าสู่พื้นที่ของตัวรีสอร์ท โซเนวา คีรี ที่มีลักษณะเป็นอ่าวโค้งสวยงาม อาณาบริเวณรายล้อม มองเห็นสิ่งปลูกสร้างที่แฝงตัวกลมกลืนไปกับธรรมชาติ และมีท่าเรือไม้ทอดยาวออกไปในผืนน้ำ
ราวกับรับรู้การมาเยือนของอาคันตุกะ ทุกคนในรีสอร์ทออกมาตั้งแถวต้อนรับอย่างอบอุ่น จนอดคิดไม่ได้ว่า พวกเขาช่างรักในงานที่ทำเสียนี่กระไร นำโดย แฟรงค์ กราสส์แมนน์ (Frank Grassmann) จีเอ็มของที่นี่ พร้อมกับการแนะนำตัวของบรรดา “มิสเตอร์/มิส ฟรายเดย์” ซึ่งทำหน้าที่เป็น "บัทเลอร์" หรือผู้ดูแลส่วนตัวของแขกทุกคนที่นี่ ตามด้วยการแจกโทรศัพท์ขนาดพกพา รุ่น 2.0 เพื่อใช้กดโทร.หาได้ทุกเวลา ยามเมื่อมีข้อสงสัย หรือความต้องการใดๆ
ปรัชญาท้องถิ่น “สโลว์ ไลฟ์” ผ่านเข้าสู่โสตประสาททันที เมื่อแรกมาถึง ราวกับคัมภีร์ของการใช้ชีวิตชิลล์ๆ บนเกาะ นั่นก็คือ “No News , No Shoes” "ไม่มีข่าว ไม่มีรองเท้า" ด้วยเหตุผลง่ายๆ น่ารับฟังว่า ในเมื่อมาพักผ่อนอยู่ที่นี่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีข่าวสาร และไม่ต้องใช้รองเท้าให้ชีวิตยุ่งยาว แถมด้วยการปรับเวลาให้เร็วขึ้นอีก 1 ชั่วโมง จากเวลาในประเทศไทย !
เมื่อที่นี่ "ไม่มีข่าว" ดังนั้น จึงไม่มีหนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์ให้ติดตามข่าวสาร แม้กระทั่งทีวีในห้องพัก ซึ่งบรรจุไว้ในกล่องท้ายเตียงนั้น ก็เพียงเพื่อเป็น Home Entertainment สำหรับดูหนังจากแผ่นดีวีดีเท่านั้น ถามถึงเรื่องนี้ มิสเตอร์แฟรงค์ บอกว่าเอาเข้าจริงๆ อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีบริการอินเตอร์เน็ตไวไฟ ซึ่งทุกคนสามารถติดตามข่าวสารได้ทุกเวลา หากมีความจำเป็นจริงๆ
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาแนะนำให้ทำ เพราะบนเกาะแห่งนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีกมากมาย จะมามัวพะวงกับข่าวสารไปทำไมกัน
ส่วนเหตุผลที่ไม่ต้องใช้รองเท้า ไม่ใช่เพียงเพราะความสะอาดหมดจดของที่นี่ แต่เป็นเรื่องของแนวคิด เพราะ "รองเท้า" เป็นสัญลักษณ์ของการทำงาน หัวโขน ภาระหน้าที่ ของอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ในการปล่อยให้เท้าของเราเปลือยเปล่า ทำให้รู้สึกได้ในทุกสิ่้ง ได้สัมผัสกับธรรมชาติจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นทรายอันเนียนนุ่ม พื้นไม้ที่ปูเป็นทางเดินอย่างสบาย หรือจะเป็นส่วนไหนของรีสอร์ทก็ตาม
การโยนรองเท้าจึงเท่ากับการโยนพันธนาการอันหนักหน่วงทิ้งไป เพื่อใช้เวลากับการพักผ่อนและมีชีวิตที่เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง
-2-
อากาศต้นฤดูฝนที่เกาะกูดร้อนอบอ้าว เหมือนจะไม่เป็นใจ แต่ค่ำวันนั้น ทุกอย่างดูจะพิเศษสุด เมื่อ เจมส์ ซัคคลิงส์ เลือกสรรไวน์อิตาเลียนจับคู่กับอาหาร ในนามของ “Italian Wine Collectors” โดยมี เควิน ฟอว์กส์ (Kevin Fawkes) และ มาร์ค โจนส์ (Mark Jones) เป็นเชฟที่ดูแลเรื่องอาหาร แต่ละอย่างจัดวางอยู่ในตำแหน่งพอเหมาะ ในบรรยากาศอันสวยหรู ทิวทัศน์งดงาม ณ ร้านอาหาร เดอะ วิว
เริ่มต้นด้วย แฟรงค์ กราสส์มานน์ ในฐานะเจ้าบ้าน กล่าวต้อนรับทุกคน พร้อมกับขอบคุณ เจมส์ ซัคคลิงส์ สำหรับการให้เกียรติเดินทางมาเป็นวิทยากรเรื่องไวน์ในครั้งนี้
เจมส์ ถือโอกาสอธิบายการจับคู่ไวน์แต่ละตัวกับอาหารที่เลือกสรรมา ว่ามีความลงตัวอย่างพอเหมาะเพียงใด ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการเอ่ยขอบคุณ ธนานันท์ วิไลลักษณ์ เจ้าของธุรกิจในเครือสามารถเทเลคอม ซึ่งในอีกภาพลักษณ์หนึ่ง เขาคือไวน์เลิฟเวอร์ตัวจริง ที่มีธุรกิจส่วนตัวนำเข้าไวน์มานานนม จนขึ้นชื่อในเรื่องการดูแลรักษาไวน์แต่ละขวดอย่างพิถีพิถัน ระหว่างการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจนถึงสถานที่จัดเก็บ กระทั่งถึงมือผู้บริโภค
เพราะอุณหภูมิร้อน คือศัตรูตัวฉกาจของไวน์ !
อุณหภูมิที่เกาะกูดในค่ำวันนั้น ทำให้ เจมส์ พูดถึงลักษณะของอากาศที่เหมาะสม การเตรียมไวน์สำหรับดื่ม หรือแม้กระทั่งไวน์แดงที่ระบุว่า ให้ดื่ม ณ อุณหภูมิห้อง ซึ่งบางครั้งก็ต้องชิลล์ให้เย็นลงสักหน่อย สำหรับอากาศร้อนแบบเมืองไทย
ไวน์ดินเนอร์ในค่ำวันนั้น ดำเนินไปตามสูตร เรียกน้ำย่อยด้วยสปาร์คกลิงไวน์ จาก "โพรเซ็คโก" พันธุ์องุ่นขาวชื่อดังของอิตาลี ตามด้วยไวน์ขาว และไวน์แดง โดยมี บรูเนลโล ของ Sesta di Sopra ปี 2005 ประชันกับ บาโรโล ของ Paolo Scavino ปี 2004 รับประทานคู่กับเนื้อกวางสก็อตแลนด์ แต่ไฮไลท์จริงๆ สำหรับผม คือ Ornellaia จาก Bolgheri ปี 2008 จับคู่กับเนื้อแกะจากออสเตรเลีย ต่อจากนั้น ไปไกลยิ่งกว่าเดิม ด้วย Montevetrano colli di salerno rosso 2007 จนตบท้ายด้วยจาน "สวนผลไม้" จับคู่กับ Acininobili ไวน์หวานสูตรอิตาเลียน ปี 2003 จากผู้ผลิตชื่อดัง Maculan
ระหว่างการสนทนาในวงไวน์ เจมส์ ซัคคลิงส์ อธิบายเปรียบเปรยลำดับของไวน์อิตาเลียนกับไวน์พันธุ์ต่างๆ รวมทั้งการผลิตไวน์ของฝรั่งเศส อย่างที่ทราบกัน เหตุผลที่ไวน์อิตาเลียนสำแดงฤทธิ์เดชเป็นที่ยอมรับในกลุ่มไวน์โลกเก่า ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าไวน์ฝรั่งเศส ก็มาจากเหล่าผู้ผลิตขบถจากแคว้นทัสคานีทั้งหลาย ที่มีส่วนพัฒนาให้ไวน์มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ โดยใช้โนว์ฮาวและความรู้ในกระบวนการผลิตจากฝรั่งเศสนั่นเอง
จบจากดินเนอร์ค่ำวันนั้น โปรแกรมยังไม่จบลงเสียทีเดียว เพราะกิจกรรมลำดับถัดไป คือการชมภาพยนตร์กลางแจ้ง 'Cannubi: A Vineyard Kissed by God' บนจอยักษ์ของ Cinema Paradiso เรื่องราวของเจมส์ ซัคคลิงส์ กับการเดินทางไปยังคันนูบี ไร่องุ่นอายุ 250 ปีที่อยู่ในใจกลางภูมิภาคบาโรโลของเมืองปิเอด์มองต์ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี งานนี้ยังหอมกรุ่นด้วยป๊อปคอร์นขจายไปทั่วทั้งโรงกลางแจ้งนั่น
ค่ำคืนนั้นบนเกาะกูด จึงเป็นการเดินทางไกลไปในโลกของไวน์อิตาเลียนโดยแท้
-3-
ยามเช้าตรู่ อากาศบนเกาะกูดยังร้อนอบอ้าวเหลือแสน ฝรั่งคนหนึ่งเดินผ่านมาในพื้นที่ของอาหารเช้า เจ้าตัวส่งยิ้มขำๆ ชี้ให้มองเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มตัว แถมยังพร้อมจะหยดแหมะๆ ได้ทุกเมื่อ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศอาหารเช้าที่จดจำไปได้อีกนาน นอกเหนือจากพืชผักออร์แกนิกที่มีให้เลือกรับประทานมากมาย
ตอนที่ เอวา และ โซนุ ชีฟวาซานี ตัดสินสร้าง โซเนวา คีรี ที่้เกาะกูดเมื่อ 6 ปีก่อน ทั้งคู่ประสบความสำเร็จมาแล้วจากธุรกิจรีสอร์ทในมัลดีฟส์ พวกเขาชูคำขวัญ SLOW LIFE ซึ่งแม้จะมีความหมายในตัวเอง แต่ก็ยังแยกย่อยออกเป็นแนวคิดตามแต่ละตัวอักษร ได้ดังนี้ Sustainable-Local-Organic-Wellness Learning-Inspiring-Fun-Experiences
ชีวิตสโลว์ไลฟ์บนเกาะกูด แม้ด้านหนึ่งจะให้ความสะดวกสบาย แต่ในอีกด้านหนึ่งก็บ่งบอกถึงความพยายามที่จะทำร้ายธรรมชาติให้น้อยที่สุด ดังกรณีเรื่องการลดขยะ การหันหลังให้แก่ขวดพลาสติก แล้วหันมาใช้ขวดแก้วเพื่อบรรจุน้ำที่ผลิตขึ้นใช้บริโภคเอง เป็นต้น
แม้จักรยานจะเป็นยานพาหนะที่สะดวกในการท่องไปรอบๆ ตัวรีสอร์ท แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ แขกที่มาพักแต่ละห้อง จึงได้รับรถกอล์ฟไฟฟ้าให้ใช้ขับขี่หลังจะ 1 คัน นับเป็นการผจญภัยที่สนุกสนาน โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ
ยามสายของวันที่ 2 นักนิยมไวน์ต่างขับรถกอล์ฟที่มีหมายเลขห้องพักของตัวเองไปยัง 'เรสสิเดนเชียล วิลลี คลิฟ' เรือนพักหรูขนาด 6 เตียงริมทะเล เพื่อฟังการบรรยายของ เจมส์ ซัคคลิงส์ ภายใต้หัวข้อ How to Taste Like A Wine Critic ซึ่งแรงบันดาลใจในเรื่องนี้ของ เจ มส์ มาจากความสำคัญของแก้วไวน์ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการที่จะเข้าถึง "สารัตถะ" ของไวน์ได้อย่างแท้จริง โดยมี Chateau Cap de Faugeres 2009 และ Chateau Marjosse 2009 เป็นไวน์ตัวทดสอบ
ล่าสุด เจมส์ ได้ร่วมพัฒนาแก้วไวน์ กับผู้ผลิตคริสตัลรายสำคัญแห่งฝรั่งเศส ที่มีชื่อว่า Lalique (ก่อตั้งโดย เรเน ลาลีค เมื่อ 100 ปีที่แล้ว) จนถือเป็นแก้ว 100 แต้ม ซึ่งไม่เพียงสวยงามในฐานะศิลปกรรมด้านการเจียระไนเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นแก้วไวน์ดีๆ ไปพร้อมๆ กัน
ระหว่างบรรยาย เจมส์ ซัคคลิง ยังได้อธิบายถึงความฝันของเขาที่จะมีแก้วไวน์ดีๆ หลังจากผ่านประสบการณ์ดื่มไวน์มากกว่า 150,000 ตัวอย่าง ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ในฐานะนักชิมไวน์ของเขา !
จบจากการฟังวิชาการชิมไวน์ ตอน 11 โมงเช้า ช่วงเวลาที่ กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม ยืนยันว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรับรสไวน์ หลังจากนั้น ทุกคนมีเวลากลับไปพักสักระยะหนึ่ง ก่อนจะขับรถกอล์ฟขึ้นเรือสปีดโบ้ทไปปิคนิกอาหารกลางวันบนชายหาดของอุทยานแห่งชาติทางทะเล ซึ่งอยู่ใกล้กับเกาะรัง งานนี้พลาดไม่ได้กับไวน์โรเซ 2 ตัวที่คัดสรรมาแล้ว นั่นคือ Domaines Ott Les Domaniers และ Domaines Ott Clos Mireille จาก Cotes de Provence ปี 2012 ทั้งคู่ พร้อมอาหารที่จัดเตรียมโดยเชฟเบนซ์ หนึ่งในเชฟอาหารไทยของที่นี่
เสร็จสิ้นจากการเดินทางไปปิคนิกอาหารกลางวัน หลายคนถือโอกาสสวมใส่ชุดดำน้ำ พร้อม "สน็อกเกิล" ลงไปชื่นชมความงามของแนวปะการังตรงจุดดำน้ำ ที่ถือว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
-4-
ค่ำคืนสุดท้ายผ่านการเดินทางของไวน์บนเกาะกูด จัดขึ้นภายใต้แสงดาว ณ หอดูดาวของ โซนาวา คีรี ซึ่งมีกล้องดูดาวของ Celestron ขนาด 14 นิ้ว หนึ่งในกล้องดูดาวที่ดีที่สุดที่มีให้บริการในเอเชีย
ภายใต้คอนเซ็พท์ Great Whites of Burgundy Dinner ทุกอย่างคลี่คลายมาสู่ความเบาสบาย ไม่หนักจนเกินไป กับอาหาร 5 คอร์ส ที่แพริงกับไวน์ขาวอีก 6 ตัว
เช่นเดียวกับโต๊ะดินเนอร์เมื่อค่ำคืนก่อน ที่ทาง เจมส์ ซัคคลิงส์ จัดให้มีไวน์คู่หนึ่งประชันในอาหารตัวเดียวกัน นั่นคือ Domaine LeFlaive Puligny-Montrachet 2009 ชนกับ Verget Batard-Montrachet Grand Cru 2004 ผ่านเมนคอร์ส อย่าง Oven Roasted Poulet Bresse ผสานกับกลิ่นรสสกัดจากเห็ดทรัฟเฟิลดำของฝรั่งเศส และซอสอัลบูเฟอรา ที่สอดรับกันอย่างกลมกลืน พอเหมาะพอดี
คืนนี้ ทุกอย่างจะดูยาวนานไปจนถึงดึกดื่น บางคนใคร่จะขึ้นหอสูงไปดูดาวต่อ บางคนใคร่จะกลับไปพักผ่อน หลังเหนื่อยล้าจากการสวมใส่บิกีนีดำน้ำชมปะการังมาทั้งวัน โชคดีที่การขับรถกอล์ฟขับห้องนั้นไม่ใช่เรื่องยากลำบากจนเกินไปนัก
"ไวน์คือกวีนิพนธ์ในขวดแก้ว" โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเฟนสัน เคยรจนาไว้เช่นนั้น การเดินทางของไวน์ในคราวนี้มาไกลถึงเกาะกูด จึงไม่ต่างจากกวีนิพนธ์อีกบทที่ให้เราตีความและชื่นชมยินดีแตกต่างไปจากเดิม
ทั้งนี้ โดยมีกูรูคนสำคัญ นาม เจมส์ ซัคคลิงส์ ผู้เป็นเสมือนวาทยกรของกิจกรรมครั้งนี้.







