สู้จริง อิงหนัง

สู้จริง อิงหนัง

ลางสถานการณ์ปัจจุบัน หนัง "ฮอลลีวู้ด" สามารถ สื่อสาร หรือ จุดประกาย "ปรัชญา" แนวคิดต่อคนรุ่นใหม่มากกว่า สื่ออื่นๆ ในยุคนี้ หรืออย่างไร

จากปรากฏการณ์มีพรรคการเมืองที่สมาชิกพรรคสวมคอสตูมดาร์ธเวเดอร์ จาก Star Wars ขอร่วมชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี ในยูเครน การใช้หน้ากากขาว จาก V for Vendetta ต่อต้านอำนาจทุนนิยมในหลายประเทศและการชูสามนิ้วจาก The Hunger Games ในเมืองไทย หนัง "ฮอลลีวู้ด" สามารถ สื่อสาร หรือ จุดประกาย "ปรัชญา" แนวคิดต่อคนรุ่นใหม่มากกว่า สื่ออื่นๆ ในยุคนี้ หรืออย่างไร

ตัวละครและการแสดงออกแบบเดียวกับภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ถูกนำมาใช้ในกิจกรรมสังคม และการต่อสู้เพื่อนำเสนอความคิดต้านสังคมควรจะเป็น ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ภาวะเศรษฐกิจสังคมการเมือง มีการปะทะทางความคิดแบ่งแยกเป็นหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น

หน้ากากขาว กาย ฟอล์คส์ จาก V for Vendetta หนังที่สร้างจากต้นฉบับนิยายภาพ ออกฉายปี 2006 ตัวละครใส่หน้ากากขาวเพื่อต่อสู้โค่นล้มพรรคการเมืองฝ่ายอำนาจนิยมในอังกฤษ ตามเนื้อเรื่อง และหน้ากากขาวกลายเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลก ในการเคลื่อนไหว Occupy Wall Street ในปี 2011 ที่ขยายวงกว้างจากนิวยอร์คจนถึงซิดนีย์ โดยหน้ากากขาวสวมใส่โดยบุคคลนิรนาม ถือเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ของปัจเจกชน (เป็นใครก็ได้)ที่มีจุดร่วมเดียวกัน ในฐานะปัจเจกที่ยืนหยัดสู้กับระบบที่ไม่เป็นธรรม ต่อมาถึงการใช้หน้ากากขาวในเมืองไทยต่อต้านทุนเผด็จการและคอรัปชั่น ในประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมา

ในปี 2011 การตั้งพรรค Ukrainian Internet Party (UIP) ในเมืองเคียฟ ยูเครน ซึ่งมีคนสวมชุดตัวละครเอกอย่าง ดาร์ธ เวเดอร์ และบรรดาลูกสมุนสตอร์มทรูปเปอร์ จากหนังไซไฟมหากาพย์การต่อสู้ของประชาชนหลายเผ่าพันธุ์กับกองทัพอันฉ้อฉลของจักรวรรดิในกาแลกซี่อันห่างไกล ในหนังทำเงินมหาศาลจากฮอลลีวู้ด อย่าง Star Wars ที่เริ่มภาคแรกเมื่อปี 1977 และ มีการสร้างภาคต่อเนื่อง เป็นไตรภาคมาแล้วถึงสองชุด และจะมีชุดที่สามกำหนดฉายภาค 7 ในปี 2016

และเดือนมีนาคม 2014 ที่ผ่านมา สมาชิกพรรค UIP ไม่ใช่การแต่ง คอสเพลย์ ประกวด แต่พวกเขาเสนอตัวขอลงสมัครเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในยูเครนอย่างจริงจัง และได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

จนถึง กิจกรรมของแฟนคลับ Star Wars ในเมืองไทย ที่มีคนแต่งชุดดาร์ธเวเดอร์ ตัวละครเอก และลูกสมุนสตอร์มทรูปเปอร์ ออกมาทำกิจกรรม "เพื่อสังคม" ในการเรี่ยไรเงินเพื่อการกุศล และช่วยองค์กรการกุศลอื่นๆงานบริจาคเลือดให้กับสภากาชาด ล่าสุดในงาน ไทยแลนด์คอมมิคคอน ที่การเปิดบูธธีมหนัง Star Wars ให้แฟนหนังได้ถ่ายภาพในราคาหัวละ 100 บาท สามารถรวบรวมทุนได้ถึง 100,000 บาท ที่ทางกลุ่มแฟนคลับที่เรียกตัวว่า "กองร้อย 501 ไทยแลนด์" จะนำไปมอบต่อให้มูลนิธิเด็กอ่อนพญาไท ในเร็วๆนี้

ตัวละครเด่น เป็นแรงบันดาลใจ

เรื่องราวของสตาร์วอร์ส สงครามแย่งชิงอำนาจ ระหว่างฝ่ายจักรวรรดิ์ นำโดย จักรพรรดิ์ ผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกสภาสาธารณรัฐ ที่แยกตัวไปและกลายเป็นศัตรูกับ อัศวินเจได ผู้มีทั้งวิทยายุทธ์และจิตอันเที่ยงธรรม

เรื่องราวในภาพยนตร์ ตัวละครเด่น เนื้อหาที่โดนใจแฟน และ การนำมาใช้ในชีวิตจริง อย่างไร สำหรับ วชิรภัทร อินทุภูติ หัวหน้ากองร้อย 501 ประเทศไทย เผยว่า

"การตั้ง กองร้อย 501 ประเทศไทย เป็นการรวมตัวที่ชอบ Star Wars แสดงออกความชื่นชอบของการแต่งตัว การแต่งตัวมาเล่นเฉยๆ คงดูเด็กเกินไป เพราะแฟนน่าจะเป็นผู้ใหญ่ สืบทอด แนวคิดว่า ให้ทำความดี และให้ทำเมอร์แชนไดส์มาทำการกุศล เหมือนพวกบิ๊กไบค์ไปทำการกุศล เน้นการทำแชริตี้ เร็วๆนี้ จะนำเงิน 100,000 บาท ไปให้มูลนิธิเด็กอ่อนพญาไท กองร้อย 501 ได้รับการรีเฟอร์จาก ลูคัส ฟิล์มส์ เพื่อการทำกิจกรรมทางการตลาด ถือว่า มี QC ของออร์แกไนเซอร์ เพราะชุดนี้ต้องได้รับการตรวจสอบจากเจ้าของลิขสิทธิ์หนัง อย่างบริษัทลูคัสฟิล์มส์ ด้วยต้นทุนของชุดคอสตูมที่ราคาสูงคนร่วมกิจกรรมจึงเป็น คนที่มีอาชีพการงานมั่นคงในระดับหนึ่ง อย่างตอนนี้ กองร้อย 501ในเมืองไทย มีทั้งระดับผู้บริหาร เจ้าของกิจการ สถาปนิก รุ่นเด็กสุด อายุ 34-35 เด็กสุด เป็นเจ้าของกิจการแล้วด้วย เด็กศิลปะกราฟฟิกดีไซเนอร์ มีระดับคณบดีด้วย ภาควิชาประยุกต์ศิลป์ด้วยครับ"

อิทธิพลของหนังต่อ คนดูที่มากกว่าความสนุก ?

"หนังเป็นจุดเริ่มให้เราชอบตัวละคร อย่างลูคัสฟิล์มทำให้มันมีแฟนคลับ มีเมอร์แชนไดส์ ออกมา ของที่ระลึกที่ทำให้คน keep ต่อไป 40 ปี ก็ยังออกมา ทุกวันนี้ ตัวดำๆ เด็กก็รู้จัด learning experience ของสตาร์วอร์ส เขาคิดแล้วว่า แค่หนังออกฉายอย่างเดียวก็จบไป แต่หนังทำให้คนดูชื่นชอบ และมี "ของ" ออกมา และเก็บไว้ เสื้อใส่ได้ ของเล่นต่อจากพ่อถึงลูก มีธีมปาร์ค มันสะท้อนการคิดแบบวางแผนธุรกิจ และผมมองว่า นี่คือจุดสำคัญ และลูคัส รีเฟอร์ 501 ได้ทั่วโลก คือได้ ฟรีมาร์เก็ตติ้ง พวกผม เมืองไทยอาจจะมีมิติของเอเอฟ ทำคล้ายๆ แต่เมอร์แชนไดส์จะร้อยคนทั้งหมดเขาด้วยกัน อย่างเทียบ Lord of the Rings หรือ Harry Potter หนังจบก็จบ เพราะเขาไม่ได้ฟอลโลว์ของเล่นออกมา คนที่เกิดไม่ทันอาจนึกไม่ออกว่า Star Wars 40 ปีที่แล้วดังแค่ไหนก็เท่า LOTR เลย แต่มันยังอยู่ข้ามทศวรรษเพราะ เมอร์แชนไดส์ คนสะสมของเล่นเหล่านี้จะโยงไปเรื่อย " แฟนคลับสตาร์วอร์ส ตัวจริงกล่าว

ในด้านเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อผู้ชมนั้น วชิรภัทร ให้ความเห็นว่า พล็อตของสตาร์วอร์ส พูดถึง ประเด็นเรื่องการเมืองด้วย ซึ่งมันมีพล็อตที่โยงใยให้เห็นว่า ความวุ่นวายมันมีคนอยู่เบื้องหลังทุกอย่างอยู่ด้วย แต่เขากลับชื่นชม อิทธิพลในแง่ธุรกิจมากกว่า

"ตัวละครดาร์ธเวเดอร์ ภาค 1-3 (ในยุค 70s-80s) เป็นพระเอก และ ในภาค 4-6 (ในยุค 2000s) เป็นผู้ร้าย และในภาค 7-9 เขาจะกลับมาเป็นพระเอกอีก เขาเป็นตัวเอกของสตาร์วอร์ส เขามีเชิงลึกของตัวละครมีทั้งด้านร้ายด้านดี และตัวชุดของเขาดูเท่ด้วย มันจับใจผู้ชม แนวคิดปรัชญาภาพยนตร์คือ มีทั้งให้กำลังใจ อย่าง may the force be with you. พลังจงสถิตย์อยู่กับคุณ แฟนๆจะสัมผัสได้ และถ้ามองการเมืองมันก็มีพล็อตที่มีตัวผู้ร้ายแฝง ตัวละคร พาพัลตีน ในสภาฯ (ในภาค 4-6) ต่อมาเป็นจักรพรรดิ (ในภาค 1-3) ที่เริ่มจากแสร้งทำเป็นอ่อนแอแล้วมายุให้คนตีกัน จนเป็นสงคราม และเรื่องมันมองหลายมุม ทั้งเวิร์สเคสและเบสท์เคส ซึ่งสำหรับผมเองมาใช้ในธุรกิจได้"

หนังฮิตกับสังคม

"ต้องยอมรับว่ามันเป็นหนัง mass (product) เงื่อนไขทางพานิชย์มันนำหน้าเนื้อหาด้วยซ้ำ แต่ยุคนี้ มันจะสอดแทรกเรื่องแนวคิดเข้าไป โดยเฉพาะหนังจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ต้องยกความดีให้ต้นฉบับหนังสือ เมื่อมันมีอะไรจุดประเด็นตรงกับสังคม คนก็จะเข้าถึงง่ายกว่า" ภาณุ อารี นักทำหนังสารคดี และนักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ให้ความเห็น

ความหมายหนัง mass เป็นหนังที่สร้างเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก และเน้นจับกลุ่มผู้ชมหมู่มาก จึงมีองค์ประกอบทุกด้านที่จะดึงดูดผู้ชมไปออกจากบ้านไปสู่โรงภาพยนตร์ แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ เนื้อเรื่องที่ประจวบเหมาะกับความรู้สึกผู้ชมต่อสถานการณ์สังคมปัจจุบัน

"หนังในราวช่วง 5 ปีหลัง หนังที่เข้าถึงคนหมู่มาก หนังไปจับประเด็นเหล่านี้ (สังคมการเมือง) และต้องยกเครดิตให้หนังสือต้นฉบับ ตั้งแต่ V for Vendetta (นิยายภาพ) นิยายอย่าง Harry Potter เอง ก็สะท้อนเรื่องราวในสังคม การสื่อสารเรื่องประเด็นพวกนี้ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา มันพูดถึงประเด็นที่ซีเรียสขึ้นในวรรณกรรมเยาวชน และพอมาถูกสร้างมาเป็นหนัง ก็เข้าถึงคนดู ที่สำคัญการมีโซเชียลเนตเวิร์ค การได้แชร์ความรู้สึก(เกี่ยวกับหนัง) ผ่านถึงกัน คนที่อยู่เมืองไทยก็คุยแลกเปลี่ยนกับคนอีกซีกโลก เป็นพันไมล์ได้ไม่ยาก และบังเอิญว่าหนังมัน pop และเป็น mass จัดๆ อะไรที่เขาแชร์กันได้ มันก็นำมาซึ่งการหยิบเอาสัญญลักษณ์ หรือตัวละครในหนังมาใช้พูดความคิดเห็นได้ หนังมันอิงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว คนจึงอินมากกว่า " ภาณุ ให้ความเห็น

ดย ภาณุ ตั้งข้อสังเกตว่า ความเป็นแมสของหนังมีความสำคัญในแง่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อเทียบอิทธิพลของหนังที่สร้างจากบทดั้งเดิม หรือเขียนเรื่องใหม่ไม่ดัดแปลงจากวรรณกรรมนั้น ยังไม่เห็นหนังบล็อคบัสเตอร์เรื่องใด ที่มีแก่นสาระให้จับต้องได้ชัดเจน หรือหากมี ก็มักเป็นหนังที่มีคนดูไม่มากนักและเน้นกลุ่มคนดูเฉพาะมากกว่า

"เมื่อก่อนการใช้ (แรงบันดาลใจ)จะหยิบเอาจากหนังสือ หรือนิยายมากกว่า หนังในยุคก่อนอาจจะไม่มีพลังพอ เมื่อก่อนหนังไม่ตอบสนองความรู้สึกร่วมเท่าทุกวันนี้ ยกเว้นหนังในยุค 70s อย่างเรื่อง Hair ที่ประเด็นมันพูดถึงสงครามเวียดนาม แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ และหนังไม่ใช่คนดูทุกกลุ่มเข้าถึงได้ เพราะเมื่อก่อนหนังพวกที่พูดถึงการเมือง จะเป็นเฉพาะกลุ่ม ซีเรียส อย่างหนังของ ฌอง-ลุค โกดาร์ด พูดถึง คอมมิวนิสต์ ก็เป็นหนังดูเฉพาะกลุ่ม คนดูน้อย ในยุค 50s-60s ต้องเป็นกลุ่มผู้กำกับที่มีแนวคิดการเมืองจัดๆ ตอบสนองคนดูในกลุ่มแคบๆ เจาะกลุ่มคนดูผู้ใหญ่ ถือว่ามันเข้าถึงยาก

เทรนด์หนังสีเทา

หลังจาก แบทแมนไตรภาค เวอร์ชั่นของ ผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่ทำให้หนังซูเปอร์ฮีโร่ ไม่ใช่แค่มนุษย์จอมพลังกอบกู้โลก แต่มีมิติของตัวละครที่ซับซ้อนและสะท้อนจิตวิทยาสังคมปัจจุบัน ขณะที่หนังยังครองใจคอหนังแอ็คชั่นผสมจินตนาการ เร้าใจนั้น ดูเหมือนว่า ทิศทางของหนังบล็อคบัสเตอร์ที่ไม่เอามันอย่างเดียว

หนังฮิตแอ็คชั่นเร้าใจ ตัวละครมีเอกลักษณ์ กลายเป็นหนังดูจริงจัง และไม่ได้เสนอโลกที่ขาวดำหรือสว่าง อีกต่อไป

" หนังซูเปอร์ฮีโร่ ที่มีมิติความลึก มันน่าจะเป็นทิศทางที่เป็นไป เพราะหนังหลายเรื่องมันซ่อนประเด็นเหล่านี้ได้ มีผู้กำกับที่มีแนวคิดและตีความใหม่ เพราะงั้นเรื่องราวมันจึงไม่ให้เป็นขาวจัดดำจัดแล้ว แต่มันจะมีสีเทา และมันก็ตอบรับกับสภาวะในโลกปัจจุบัน อย่าง Hunger Games มันเริ่มต้นจากภาคนิยาย ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นภาคซีเรียส ที่สะท้อนความเป็นจริงของสังคม เมื่อเทียบกับ Twilight ที่เป็นหนังสือสำหรับวัยรุ่น และโด่งดังในระดับเดียวกัน แต่เนื้อเรื่องและเนื้อหาของ Hunger Games นั้น เข้มข้นจริงจังมากกว่า ขณะที่หนังยังดูสนุกและประสบความสำเร็จไปทั่วโลก การเข้าถึงมันง่ายกว่า และคิดว่าหนังมันก็น่าจะถูกใช้อ้างอิงถึง (ในกิจกรรมทางสังคมการเมือง)ต่อไปเรื่อยๆ นะ "

เมื่อหนังถูกอ้างอิงเกี่ยวกับความมั่นคง จะมีผลกระทบต่อการเผยแพร่หนัง ซึ่ง ภาณุ เห็นว่า

"เราไม่เห็นด้วยกับการโทษหนัง เพราะการที่สังคมต่อเชื่อมกับหนังได้ มันเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม อย่างตอนที่ Hunger Games ภาค 2 ตอน Catching Fire ออกฉายเมื่อปลายปี 2013 มันก็ถูกดึงมาใช้สนับสนุนความคิดของทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายต่อต้านรัฐบาล และ ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ณ ตอนนั้น ก็ยังโยงว่านางเอกแคตนิส เป็นเหมือน(อดีตนายกฯ)คุณยิ่งลักษณ์ ก็ได้ แล้วแต่ว่าใครจะตีความไปทางใด และตอนนี้ทุกคนมันแชร์ความคิดกันได้ถึงกัน หนังมันสนุก และเข้าถึงคนจำนวนมากได้"

มองในด้านอิทธิพล ที่ ฮอลลีวู้ด ต้นทางของหนังเหล่านี้ ที่ส่งออกภาพยนตร์และวิธีการทางการตลาดที่บุกทุกมุมโลก ด้วยสื่อที่เพียบด้วยภาพเคลื่อนไหวและเสียงในยุคนี้ เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ ชีวิตจริงอิงหนัง ในกิจกรรมทางความคิดเหล่านี้หรือไม่ ภาณุอธิบายว่า

"สื่อหนัง ฮอลลีวูด เข้าถึงคนมากมันก็ใช่ และผมว่ายุคนี้ โซเชียลเนตเวิร์ค มันช่วยพาทุกอย่างไปได้ไกลกว่าเมื่อก่อน ถ้าเปรียบเทียบ Hunger Games หนังเรื่องนี้คงอาจจะเหมือน Les Miserable หรือ เหยื่ออธรรม ของ Victor Hugo สำหรับคนสมัยก่อน ผมเข้าใจว่า ฮังเกอร์เกม คนทุกวันนี้น่าจะรู้จักมากกว่าหนังสือของ วิคเตอร์ ฮูโก แน่นอน ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว มันคือ หนังมันเป็นภาพเคลื่อนไหว มันไปได้ไกลกว่า คนรับได้ง่ายกว่า ต่างจากกลุ่มคนที่เข้าหาหนังสือของอูโก้ก็เป็นคนกลุ่มมีความรู้มากๆ สนใจเฉพาะทางจริงๆ " ภาณุกล่าว

การที่ตัวละครถูกดึงมาสู่โลกความเป็นจริง ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ของยุคนี้ ที่สลับขั้วจากงานศิลปะเลียนแบบชีวิตจริง แต่เป็นชีวิตจริงอิงงานศิลปะอย่างภาพยนตร์มากกว่า?

นักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์มองว่า มันเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม เห็นได้ชัดว่า Hunger Games ประสบความสำเร็จระดับโลก และตัวเนื้อหนัง มันสะท้อนสถานการณ์ในเมืองไทย

"การที่เกิดขึ้นในประเทศไทย มันตรงกับในหนัง หนังเรื่องนี้เลยกลายเป็นสัญญลักษณ์ ซึ่งคิดว่าน่าจะมีไปเรื่อยๆ ในประเทศอื่นๆ ก็ได้ เพราะ มันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่มันโยงเข้ากับหนังได้ อย่างกรณีอียิปต์ มันอาจจะไม่ได้โยง เพราะหนังออกฉายสักสองสามปีที่แล้ว อาจจะยังไม่ได้ดู"

..........

โลกของ The Hunger Games

บายไลน์ : ศากุน บางกระ

The Hunger Games เป็นวรรณกรรมไตรภาคที่ผสมทั้งแอ็คชั่นดราม่า ไซไฟ และเสียดสีสังคมเข้าด้วยกัน ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ภาคแรกจากสามภาคออกฉายเมื่อปี 2012 มีกลุ่มแฟนคลับไทยที่ตั้งแฟนเพจขึ้นเพื่อจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนกันมาตั้งแต่ช่วงที่ภาพยนตร์ภาคแรกเข้าฉาย การพูดคุยกันระหว่างแฟนคลับส่วนใหญ่จะเป็นเป็นการร่วมสนุกเพื่อแจกของสะสมจากภาพยนตร์ และมีการจัดเวทีเสวนาพูดคุยเรื่องแนวคิดที่น่าสนใจจากเรื่องทั้งในแง่มุมรัฐศาสตร์และปรัชญาด้วย

ภาณุมาศ อิสริยศไกร ได้ศึกษาเปรียบเทียบวรรณคดีและภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games ในแง่ของสัญลักษณ์ที่แฝงไว้ในเรื่อง อธิบายว่า โลกที่ The Hunger Games แสดงให้เห็นจะมี 2 ชนชั้นชัดเจน คือ ชนชั้นสูงที่คอยขูดรีดทรัพยากร และชนชั้นล่างที่ถูกปิดหูปิดตาด้วยเครื่องมือหลายแบบ โดยเครื่องมือหลักที่ใช้คือ การแข่งขันเพื่อเอาชีวิตรอด หรือ ฮังเกอร์เกมส์ (The Hunger Games)

“ชนชั้นสูงจัดเกมนี้เพื่อกดคนที่อยู่ในสถานะต่ำกว่า และยังคอยกันไม่ให้ชนชั้นล่างลุกฮือขึ้นมาสู้ได้ คล้ายๆ สร้างความกลัวให้ชนชั้นล่าง แต่ในเรื่องก็เห็นชัดเจนว่า ชนชั้นล่างไม่พอใจ โดยแคตนีส นางเอกของเรื่องจะมาจากชนชั้นล่างที่เข้ามาแข่งขันเกมนี้ เขาเป็นตัวแทนของสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของคนที่ไม่ยอมถูกเอารัดเอาเปรียบ”

ตามเรื่องแล้วแคตนีส ตัวเอกของเรื่องจะใช้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดตลอดเวลา เพื่อให้ตัวเองและคนอื่นรอด ซึ่งเป็นไปโดยธรรมชาติและเกิดขึ้นจากการปกครองที่โหดร้ายเกินไป

จุดสำคัญของเรื่องนี้ คือ การกระทำหลายอย่างที่แคตนีสทำกลับเป็นการปลุกระดมให้คนที่ไม่พอใจพวกชนชั้นสูงลุกขึ้นต่อต้านโดยที่เขาไม่รู้ตัว เช่น การแสดงเครื่องหมายชู 3 นิ้ว หรือเพลงที่เขาร้องเพื่อไว้อาลัยให้ตัวละครตัวหนึ่ง

“เครื่องหมายชู 3 นิ้วในเรื่องจะมีความหมายหลายระดับ ระดับแรก คือการไว้อาลัย ระดับสอง คือการทำความเคารพ และระดับที่ลึกกว่าเป็นการต่อต้านกลุ่มที่คอยเฝ้ามองดูอยู่ หรือคนที่มีสถานะสูงกว่า ในเรื่อง นางเอกชูเครื่องหมาย 3 นิ้วเพื่อแสดงถึงสันติภาพจากใจจริง แต่กลับไปปลุกปั่นสังคมได้พอสมควร” ภาณุมาศ อธิบาย โดยงานศึกษาเรื่องนี้เป็นวิทยานิพนธ์หลักสูตรอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวรรณคดีเปรียบเทียบ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ วรรณกรรมเรื่องนี้ยังสะท้อนเรื่องการจดจ้องของสังคมว่า ในการปกครองทั่วไป มีคนเฝ้ามองดูจากคนหลายกลุ่ม ทั้งจากชนชั้นที่สูงกว่าและจากคนในชนชั้นล่างด้วยกัน การจดจ้องนี้เองส่งผลให้คนในชนชั้นล่างไม่มีใครกล้าทำตัวแตกแถวจากสังคม

ภาณุมาศ อธิบายเพิ่มว่า “ความรุนแรงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง มีทั้งการกระทำความรุนแรงต่อเด็ก แล้วก็ความรุนแรงที่คนกระทำต่อกันเอง การที่ชนชั้นสูงส่งคนเข้าไปฆ่ากันตายในเกม ในหนังจะบอกชัดเลยว่าทำไปเพื่อความบันเทิงเท่านั้น คือดูแล้วเอาสนุก แต่ว่าถ้าเกิดเทียบเป็นชั้นๆ อีกทีหนึ่ง ถ้ามองกลับมาที่เรา เราไปดู Hunger Games เราก็ไปดูเขาเข่นฆ่ากันอยู่ในนั้น เราก็ดูเพื่อความบันเทิงเหมือนกัน ย้อนกลับมาที่ตัวเราว่า เราเสพความบันเทิงอะไร”

ภาณุมาศทิ้งท้ายว่า “เมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้น แล้วเราทำอะไรบ้าง หรือว่าแค่ดูเฉยๆ เราเห็นคนอื่น เห็นความรุนแรงเกิดขึ้น เราดูเพื่อความสะใจ หรือเพื่ออะไร แล้วหากเราไม่เข้าไปทำอะไรเลย ก็เป็นความรุนแรงได้เหมือนกัน”