มิตรภาพข้ามโขง ณ เวียงจันทน์

ด้วยนิยามแห่ง วันหยุด และ การพักผ่อน ที่อาจแตกต่างไปจากใครหลายคน เราสองคนแม่ลูกมักจะออกไป ผจญภัย
แต่เราก็รู้ดีและเชื่อลึก ๆ ในใจเสมอว่า เราจะไม่ได้เผชิญกับ “ภัย” ใดๆ ตรงกันข้าม..ในทุกทริปลักษณะนี้ของเราสองคน กลับทำให้เราพบเห็นความมีน้ำใจ เอื้ออาทรของผู้คนอีกมากมายในแต่ละถิ่นฐานบ้านช่องที่ยื่นมือมาช่วยเหลือเกื้อกูลเราสองคนแม่ลูก ไม่ว่าจะเป็นคุณลุงขับวินมอเตอร์ไซค์ คุณน้าขับรถสองแถว คุณพี่คนขับรถทัวร์ คุณป้าแม่ค้าในตลาด คุณตำรวจ ฯลฯ ดังเช่น ทริปนี้ที่จะข้ามโขงไป เวียงจันทน์
สถานีแรก อุดรธานี
เราจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพ-อุดรธานี ราคาโปรโมชั่นที่จองไว้ล่วงหน้า 8 เดือน แต่ไฟลท์บินเวลา 7.50 น.ของวันพุธซึ่งเป็นวันทำงานของชาวกรุงทำให้เรากะเวลาเดินทางไม่เพียงพอ ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลง แต่ยังยืนยันจะไปตามแผนให้ได้ เราเปลี่ยนไปใช้บริการรถทัวร์จาก สถานีหมอชิต 2 ถึงปลายทางเดิม อุดรธานี
การตกเครื่องบินครั้งนี้กลับกลายเป็นเรื่องดี ลูกสาวได้ตื่นตาตื่นใจกับ "รถทัวร์" ที่สะอาดสะดวกสบาย มีอาหารกล่องและของว่างดูดีน่ารับประทาน กับอุปกรณ์ไฮเทคจอทีวีแบบสัมผัสพร้อมการ์ตูน เกม เพลง ภาพยนตร์ ฯลฯ แบบส่วนตัวให้เด็กน้อยได้ตื่นเต้น ดูการ์ตูนยาวติดต่อกันเกือบ 5 ชั่วโมงจนต้องวิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำ(ฮา) แล้วจึงมานอนยาวจนถึงเมืองอุดรฯ พักค้างคืนชมเมืองอุดรหนึ่งคืน
จากนั้นต่อรถ บขส. จากอุดรถึงหนองคาย เป็นจุดที่เราต้องดำเนินการทำ "หนังสือผ่านแดน" ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณ ที่ว่าการอำเภอเมืองหนองคาย แสนสะดวก เพียงยื่นบัตรประชาชน หรือสูติบัตรของลูกเท่านั้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ค้นหาข้อมูลของเราจากระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ส่วนลูกสาวนั้น ต้องเดินเข้าไปจุดถ่ายรูป ดูแล้วน่าจะเป็นจุดเดียวกับที่ถ่ายบัตรประชาชน แล้วเจ้าหน้าที่จึงพิมพ์ใบผ่านแดนที่มีรูปและข้อมูลของเราสองคนแม่ลูกไว้ในเอกสารขนาด A4 แผ่นเดียวกัน ค่าธรรมเนียมสำหรับการทำหนังสือผ่านแดนนี้ 40 บาทสำหรับสองคน เราก็ลืมถามว่าคนละ 20 หรืออย่างไร
ที่หนองคาย เราเข้าพักกันที่ เรือนไทยเกสต์เฮาส์ ราคาคืนละ 350 บาท มีแอร์ ทีวี น้ำอุ่น และตู้เย็น ซึ่งราคานี้ลดจากเมื่อปี 53 ไป 50 บาทจากการขอราคาคุณลุงคุณป้าดู ซึ่งทั้งสองก็ใจดีลดให้ แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าลูกสาวต้องดูทีวีเบา ๆ เพราะฝรั่งข้างห้องต้องการความสงบ เนื่องจากผนังของห้องเป็นเพียงไม้อัดเท่านั้น
เป้าหมายต่อไปของเรา คือ สูดกลิ่นไอของแม่น้ำพรมแดนสามประเทศ ชมวิวริมโขง ถ่ายภาพบรรยากาศในยามที่แสงกำลังสวยเพื่อบันทึกความทรงจำ กับร้านรวงที่ได้รับการออกแบบตกแต่งให้มีมุมถ่ายภาพที่ระลึกเก๋ๆ หลายร้าน ไม่ว่าจะเป็นการจำลองร้านถ่ายภาพโบราณ ตู้โทรศัพท์และเครื่องโทรศัพท์รุ่นอนาล็อกที่ยังต้องใช้นิ้วหมุนตัวเลขเป็นช่องๆ ผนังไม้กระดานที่เป็นฉากถ่ายภาพบรรยากาศเก่าๆ มีรถเข็นขายของ จักรยานรุ่นเก่าดูคร่ำคร่าเล็กน้อยที่เด็กๆ สมัยนี้ไม่คุ้นตา เป็นอุปกรณ์ประกอบฉากให้ภาพถ่ายได้บันทึกความรู้สึกที่ไม่ซ้ำซากจำเจไว้ให้คนได้เสพรับ ตรงฉากถ่ายรูปแต่ละจุดจะมีชื่อสถานที่ ตลาดท่าเรือ ตลาดนี้อยู่ใกล้กับ ตลาดท่าเสด็จ
แต่ไฮไลท์ของเมืองริมโขง ณ จ.หนองคาย ยังเป็นแหนมเนืองแสนอร่อย ราคาประหยัด สะอาดบรรยากาศดี มาคราวนี้หนูน้อยติดใจแหนมซี่โครงหมูเป็นพิเศษ สั่งมาเพิ่มอีกหนึ่งจานเป็นสองจาน กับแหนมเนืองชุดเล็ก 5 ไม้ ก็แทบจะทานกันไม่หมด อิ่มแปร้สบายพอดีไม่ต้องห่อกลับเหมือนคราวก่อนที่สั่งชุดกลาง ด้วยราคาที่เช็คบิลมาแล้วเพียง 260 บาทเท่านั้น
วันต่อมา ช่วงเช้าได้แวะ ตลาดท่าเสด็จ ถนนมีชัย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.หนองคาย เรา ได้ซื้อกระเป๋าผ้าสะพายเล็กๆ ที่มองผ่านผิววัสดุคล้ายหนัง และกางเกงสไตล์พื้นเมืองของทางเหนือ (แต่มาซื้อที่หนองคาย) และผ้าคลุมไหล่พันคอกันหนาวกันลมมาฝากน้องๆ เพื่อนร่วมงาน ก่อนจะโทรเรียก รถสกายแล็บ (รถสามล้อคล้ายตุ๊กตุ๊กแต่มีส่วนกั้นที่นั่งผู้โดยสารด้านข้าง) ที่ผูกสัมพันธ์ไว้เมื่อวานนี้ เพื่อเดินทางมุ่งไปยัง สะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพื่อข้ามแดนสู่ความน่าตื่นตาตื่นใจครั้งใหม่กัน
มิตรภาพ ณ เวียงจันทน์
เรามาถึงด่านตรงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ตอนบ่ายสองนิด ๆ ผ่านกระบวนการตรวจเอกสารผ่านแดนในเวลาอันรวดเร็ว และใช้บริการ "รถบัส" ขนาดเท่ารถบสข.นั่งกันตามอัธยาศัย ข้ามสะพานถึงฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งผู้โดยสารเต็มรถ ดูแล้วน่าจะมีเพียงเราสองคนแม่ลูกเท่านั้นที่เป็นชาวต่างชาติ นั่งมาประมาณไม่ถึง 10 นาที ก็มาถึงด่านทางฝั่งสปป.ลาว
แวะเคาน์เตอร์แลกเงิน แลก "เงินกีบ (kip)" ติดตัวไว้บ้าง จากนั้นจึงไปผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายอีกเล็กน้อย เป็นค่าบัตรผ่านแดน คนละ 1,000 กีบ หรือ 5 บาท จ่ายค่าเหยียบแผ่นดินคนละ 10,000 kip หรือประมาณ 50 บาท ต่อแถวเข้าเมือง เสียบบัตรเหยียบแผ่นดิน เหมือนที่สถานี BTS บ้านเรา จากนั้นจึงพาลูกเดินไปขึ้นรถประจำทางปรับอากาศสู่เวียงจันทน์ ค่ารถคนละ 6,000 kip ( ประมาณ 30บาท) รถที่ว่านี้สภาพค่อนข้างดี เป็นรถเมล์สีเขียว เพื่อนชาวเวียงจันทน์เล่าให้ฟังว่า เป็นรถประจำทางที่ใช้ในเมืองเวียงจันทน์ด้วย ได้รับมาจากประเทศญี่ปุนซึ่งช่วยเหลือมาในช่วงประชุม ASEM
ระยะทางราว 20 กิโลเมตรนี้เราใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้นก็ถึงย่านตลาดเช้าที่เป็นเหมือนย่านการค้าขนาดใหญ่ มีร้านค้ามากมายขายสินค้านานาชนิด เช่น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ผ้าทอลายพื้นเมือง เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า งานแกะสลักไม้ ฯลฯ เราเรียกรถที่หน้าตาเหมือนรถสกายแล็บที่ฝั่งบ้านเราไปหา ที่พัก ย่านริมน้ำโขง ชื่อ ปากป่าสัก เป็นที่พักแบบเกสต์เฮาส์ สะอาดกว้างขวางสะดวกสบายราคาคืนละ 600 บาท พร้อมแอร์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น
หลังจากพักพอให้หายเหนื่อยแล้ว จึงพาลูกสาวออกเดินเตร็ดเตร่เลาะเลียบแม่น้ำโขง ชมวิวพระอาทิตย์ตก เที่ยวตลาดนัดริมน้ำ ได้ชอปปิงเบาๆ กับ กระเป๋าใส่ธนบัตร ลายปักพื้นเมืองดูแปลกตาวางขายเรียงรายหลายแผง ราคาใบละ 5,000 kip หรือราว 25 บาท เห็นว่าราคาไม่แพงจึงซื้อมาเป็นของฝาก 5-6 ใบ พร้อมด้วยกระเป๋าถือเป็นผ้าลายปัก แบบที่เราเคยเห็นแถวตลาดวังหลัง ย่านศิริราช กรุงเทพฯ ราคา 160 บาท แต่ที่นี้ขายตกราคาเพียง 60-70 บาทเท่านั้น ช่วงบ่ายหมดไปกับตลาดนัด ก่อนแวะพักโรงแรมรอนัดหมายอาหารเย็น
นัดหมายที่เราตื่นเต้น จะได้พบหน้าครอบครัวเพื่อนสาวชาวนครหลวงเวียงจันทน์ เพราะไม่เคยพบกันมาก่อน เพียงเห็นและสนทนากันเพราะการติดตามข่าวคราวของวงดนตรี The Palace (เดอะ พาเลซ การรวมตัวใหม่ของอดีตสมาชิกวงขวัญใจวัยรุ่นไทยเมื่อสามสิบปีก่อน) ทางเฟสบุ๊คเท่านั้น เพื่อนและครอบครัวมาถึงราวทุ่มครึ่ง โดยมีสามีเพื่อน และเพื่อนรุ่นน้องคนสนิทของเพื่อนเดินทางมาด้วย เราพูดคุยอย่างที่รู้สึกเป็นกันเองอย่างไม่น่าเชื่อ ลูกสาวเข้ากับบรรดาน้าๆ ได้อย่างรวดเร็ว
มื้อเย็นสุดพิเศษที่ต่างแดนวันแรก คือ หมูกระทะ ที่ไม่ใช่เป็นบุฟเฟ่ต์รายคนเหมือนที่เมืองไทย มีพนักงานมาส่งอาหารให้ บรรยากาศร้านเป็นแบบ open air คึกคักมากถึงมากที่สุดแม้ราคาอาหารต่อถาดนั้นก็ไม่ธรรมดา สอบถามกับเพื่อนจึงได้ทราบว่า นี่เป็นวิถีชีวิตปกติของคนที่นี่ที่จะนิยมการกินดื่มนอกบ้านสังสรรค์ในลักษณะนี้ สนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้ไม่ต่างจากชนชาติไหน ในส่วนของรสชาติอาหารนั้นไม่ต่างจากร้านหมูกระทะสะอาดและอร่อยในเมืองไทย ถ้าจำไม่ผิดทานกัน 4 คน เช็คบิลไปราว 1,700 บาท เพื่อนชวนไปหาที่ฟังเพลงต่อ ดูเจ้าลูกสาวอยากไป แต่แม่เลือกที่จะปฏิเสธเพราะชักเริ่มเหนื่อยและออกจะเกรงใจอยู่มาก เนื่องจากในวันรุ่งขึ้นเพื่อนยังจะมารับไปทานอาหารเช้า และพาเราเที่ยวต่ออีก
ความประทับใจในมิตรภาพที่ก่อตัวเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงแรกพบกันไม่กี่ชั่วโมงนี้ทำให้เราไม่ลืมที่จะตระหนักถึงวิธีการที่จะทำให้มิตรภาพยืนยาวต่อไป
โปรแกรมแรกที่เวียงจันทน์วันนี้ เริ่มตอน 9 โมง เจ้าบ้านผู้อารีพาไปทาน "อาหารเช้า" ที่อร่อยและรสชาติยอดนิยม ขายดีมากของเวียงจันทน์ นั่นคือ เมนู “ข้าวเปียก” (ไม่มีชื่อร้าน) อาหารเส้นเหนียว ๆ นุ่ม ๆ เหมือนเส้นอุด้ง น้ำซุปเมื่อคลุกผสมกับตัวเส้นแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนทานข้าวต้มหมู เราลองปรุงดูด้วยเครื่องปรุงแบบที่มีพริกเผาตามเพื่อน แต่กลับพบว่ากินแบบไม่ปรุงถูกปากเรามากกว่า สนนราคาไม่ธรรมดาเลย ราคาราวชามละ 60 บาทไทยกันเลยทีเดียว
เรียบร้อยกับมื้อเช้าแล้ว เราจึงไปซื้อตั๋วล่วงหน้าสำหรับขากลับ เป็น "รถทัวร์ระหว่างประเทศ" ที่ออกจากท่าย่านตลาดเช้าเวียงจันทน์ สู่บขส.อุดรธานี เป็นความสะดวกที่ต้องใช้ความเร็วและความแม่นยำในการขึ้นรถคันเดิม เพราะรถจะจอดให้เราตรวจเอกสารและกลับมาขึ้นเพื่อเดินทางไปต่อ เราเลือกรอบบ่ายสองโมง เพื่อที่จะได้ไหว้พระและท่องเที่ยวสถานที่สำคัญกันก่อน ราคาค่าตั๋วต่อคน คือ 22,000 kip ก็ประมาณ 80 บาท และเนื่องจากเราเดินทางกลับในวันที่ตรงกับวันเสาร์ จึงต้องมีค่าทำงานล่วงเวลา OT ให้กับเจ้าหน้าที่อีกที่นั่งละ 15-20 บาท (ไม่ค่อยแน่ใจ) หลังจากได้ตั๋วแล้ว จุดหมายต่อไปคือ การไหว้พระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง
สถานที่แรกที่เพื่อนพาไปคือ หอพระแก้ว สถานที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต เมื่อครั้งยังเป็นสมบัติของลาว
หอพระแก้ว แห่งนี้มีตัวอาคารและลายฉลุทำจากไม้สวยงามมาก ภายในหอพระแก้วไม่ได้รับการอนุญาตให้ถ่ายภาพ เราออกมาเก็บภาพที่ระลึกกันที่ด้านนอก และเดินชมอาคารจากทางด้านล่าง ส่วนที่เหลือคือหอพระ ที่องค์พระประธาน หรือพระแก้วมรกต ได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานในประเทศสยามตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีแล้ว
ต่อด้วย วัดสีสะเกด วัดเก่าแก่ของลาว ที่มีองค์พระพุทธรูปเก่าแก่ภายในโบสถ์ ให้ชื่นชมความงามและรากฐานของศาสนาพุทธในประเทศลาว ประวัติในไกด์บุ๊คบอกไว้ว่า วัดแห่งนี้สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1818 และมีจุดเด่นน่าชม ที่ลานภายในระหว่างโบสถ์และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ถึง 6840 องค์ เป็นงานศิลปะที่หาชมยากและเป็นลักษณะเฉพาะของลาวด้วย
วัดที่สามที่เราไปชมคือ วัดศรีเมือง สะดุดตากับผนังภายนอกสีเหลืองสดใสเป็นความงดงาม ว่ากันว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดแห่งโชคลาภ และเป็นสถานที่ตั้งของเสาหลักเมืองประจำนครเวียงจันทน์ เราแวะพักทานขนม ผลไม้และน้ำกันที่นี่ รู้สึกเหมือนมากับเพื่อนกับครอบครัวของคนที่รู้จักคุ้นเคยกันมานานแสนนาน
สถานที่สุดท้ายที่เราได้ไปเยือนอีกครั้งคือ ประตูชัย เวียงจันทน์ ที่เมื่อคราวก่อนเราก็พาลูกสาวมา เพียงแต่ไม่ได้เดินขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ของเมืองจากมุมสูงด้านบน
ประตูชัย หรือ ชาวลาวเรียกว่า ประตูไซ (Patuxai) เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้ที่เสียสละชีวิตในสงครามก่อนเกิดการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งนี้ สร้างขึ้นโดยรัฐบาลฝรั่งเศส เสร็จสมบูรณ์เมื่อปีพ.ศ.2512 ตามอย่างแบบประตูชัยที่ปารีส และยังจัดภูมิทัศน์วางผังถนนคล้ายกับถนนฌองเอลิเซ่ในฝรั่งเศส บริเวณรอบๆ ประตูชัยเป็นลานกว้าง มีประชาชนชาวลาวมานั่งเล่นโดยรอบ การขึ้นไปชมวิวเมืองเวียงจันทน์ด้านบนของประตูชัยจะต้องเสียค่าธรรมเนียม ซึ่งเจ้าบ้านที่แสนดีก็ดูแลค่าใช้จ่ายให้เราและลูกดังเช่นทุกวัดที่ผ่านมา ในยามเย็นสถานที่นี้จะเป็นที่ออกกำลังกาย และพักผ่อนของชาวเวียงจันทน์และนักท่องเที่ยว ส่วนน้ำพุที่เห็นเพื่อนรุ่นน้องบอกว่าสร้างตามหลักฮวงจุ้ยจีน โดยทางจีนมาสร้างให้เป็นสิริมงคล
ใกล้กับประตูชัยเราจะเห็นอาคารขนาดใหญ่หลังออกสีส้ม เป็น สำนักงานนายกรัฐมนตรี ด้านหน้าเป็นบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ เป็นบรรยากาศชวนให้นึกถึงภาพโปสการ์ดจากยุโรป และเมื่อเดินขึ้นไปด้านบนแล้วมองลงมา เรายังเห็นอาคารขนาดใหญ่อีกสองอาคาร เป็นอาคารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนที่เป็นตึกเก่าๆ สีเขียวคือ ศาลประชาชนสูงสุด
ภาพจากมุมสูง จุดชมวิวที่เราเห็น ซ้ายมือมองไปไกล ๆ จะสามารถมองเห็นแม่น้ำโขง แล้วส่วนขวามือจะมีถนนพี่พาเราสู่ พระธาตุหลวง สถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองชาวเวียงจันทน์ที่มาคราวก่อนได้พาลูกสาวปั่นจักรยานไปสักการะ ส่วนคราวนี้นั้นไม่มีเวลาเพียงพอที่จะไป
การเดินทางมาเยือนเวียงจันทน์เป็นครั้งที่สองนี้ แม้จะมีเวลาไม่มากเช่นเดียวกับคราวก่อน แต่สิ่งที่ได้รับคือความอิ่มใจ ประทับใจปลาบปลื้มเป็นที่สุดกับมิตรภาพและการต้อนรับอันดีเยี่ยมจากเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักไม่นาน ลูกสาวคงได้รับรู้ถึงคำว่า “ให้” และ “มิตรภาพ” ที่ไม่จำกัดด้วยพรมแดน
.........................
การเดินทาง
สามารถเลือกได้หลายเส้นทาง เครื่องบินมีสายการบินทั้งจากกรุงเทพฯถึงเวียงจันทน์ หรือกรุงเทพฯถึงหนองคาย และต่อรถโดยสารข้ามประเทศ ส่วนเส้นทางที่สองแม่ลูกเลือกแวะอุดรธานี (เหตุจากได้ตั๋วเครื่องบินราคาโปรโมชั่น รวมสองคน ไป-กลับ กรุงเทพฯ-อุดรธานี ราคาไม่ถึง 2,000 บาท) ต้องต่อรถทัวร์ปรับอากาศที่กลางเก่ากลางใหม่ ราคาคนละ 40 บาท กับระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 40 นาที ไปที่จ.หนองคาย จากนั้นเดินทางจาก อ.เมือง หนองคายไปยัง สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว เพื่อข้ามแดน มีรถบัสท้องถิ่นจากจุดตรวจเอกสารข้ามแดน ข้ามสะพานไปถึงแผ่นดินลาว ค่าโดยสารคนละ 15 บาท รถโดยสารจากด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งลาว จะมีรถประจำทางปรับอากาศสู่เวียงจันทน์ ค่ารถคนละ 6,000 kip ( ประมาณ 30บาท) รถที่ว่านี้สภาพค่อนข้างดี เป็นรถเมล์สีเขียวถึงเวียงจันทน์ สำหรับผู้ต้องการเข้าชม ด้านในของประตูชัย ค่าเข้าชม คนละ 2,000 กีบ เปิดให้เข้าชม ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น. ทุกวัน หอพระแก้ว ค่าธรรมเนียมเข้าชม คนละ 5,000 กีบ เวลา 08.00 - 12.00 น.และ 13.00 น. - 16.00 น. ทุกวัน







