รอยจำหมายเลข 13

บันทึกระหว่างทางบนถนนสายที่ได้ชื่อว่า "สร้างชาติ" ของ สปป.ลาว ที่กำลังถูกเนรมิตใหม่ให้กลายเป็น "เส้นทางสายไหม" แห่งลุ่มน้ำโขง
คนเรามักทิ้งข้อความเอาไว้สำหรับตัวเองเสมอ...
ความคิดทำนองนี้แวบผ่านเข้ามาแทบทุกครั้งที่ได้ชายตาไปเจอตัวหนังสือบนหน้ากระดาษที่ตัวเองเขียนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสมุดบันทึกเล่มโต หรือเศษกระดาษที่แสดงให้เห็นถึงร่องรอยของ "ความสมบุกสมบัน"
ถ้อยคำสั้นๆ ชวนให้หวนนึกถึงเรื่องราวระหว่างทาง ที่หลายคราวอาจหล่นหายจากความทรงจำ
เหมือนครั้งนี้ "R 13" ที่เขียนด้วยปากกาลูกลื่นประทับบนหน้ากระดาษขาวขุ่น (จากความเก่า) ในสมุดหนังสังเคราะห์ขนาดกระทัดรัด บอกเล่าถึงการผจญภัยที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว ในช่วงปลายร้อนต้นฝนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ใครบางคนให้นิยามถึงถนนเส้นนี้ว่า เป็น "เส้นทางสายสร้างชาติ" ของลาว ที่อยู่ทางทิศเหนือของประเทศ คล้ายๆ เป็นเส้นทางสายกระดูกสันหลังที่มีความสำคัญในระบบเศรษฐกิจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอๆ กับความไม่คาดฝันถึงที่มาที่ไปของการเดินทางครั้งนี้
"การเดินทาง คือ ความเจริญงอกงาม"
สติ๊กเกอร์สีขมุกขมัวท้ายรถออฟโรดคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างทางลูกรังระหว่างวังเวียง - หลวงพระบางเปิดประเด็นให้คิดต่อ หากการเดินทางเท่ากับการเริ่มต้น จะมีอยู่สักกี่เหตุผลที่ทำให้เราคว้าเป้สะพายหลัง
สีสันของชีวิตรายทาง หรือ มายากลแห่งธรรมชาติกันแน่ ที่ดึงดูด ผลักดัน (และเสือกไส) ให้คนเราออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้ง
ไม่ต่างจากเส้นทางหมายเลข 13 นี้ที่ผ่าน 7 เมืองสำคัญของลาว คือ เวียงจันทน์ พูคูน หลวงพระบาง อุดมไซ หลวงน้ำทา และบ่อเต็น ที่นอกจากจะเกาะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศ มันยังหมายถึงการยึดโยงมิติทางสังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่ทักทายผู้มาเยือนอยู่ตลอด 2 ข้างทาง
"รุ่งอรุณแห่งลาวใหม่"
ประโยคนี้เริ่มต้นที่...เวียงจันทน์
นครหลวงเวียงจันทน์วันนี้ อาจจะแปลกตาไปจากสาวแรกแย้มที่หลายๆ คนเคยรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของสิ่งปลูกสร้างกลางเมือง ระบบสาธารณูปโภค ยวดยานพาหนะ กระทั่งสีสันของแฟชั่นในชีวิต "ชาวกำแพงพระนคร" รุ่นใหม่
ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเหล่านี้ เราอาจได้ยินเสียงจากใครต่อใครพากันบอกว่า ทุกอย่างล้วนเป็นดอกผลของการพัฒนาที่ผลิบานกลายเป็นสถาปัตยกรรมใหม่ โครงการก่อสร้างจากกลุ่มทุนต่างชาติต่างทยอยเข้ามาจับจองพื้นที่ของนครหลวงเวียงจันทน์ แผ่นป้ายขนาดใหญ่เรียงราย และพบเห็นได้ทั่วไป พอๆ กับรถราหน้าตาแปลกๆ บนถนนหนทางก็ดูหน้าตาขึ้น บางครั้งมากจนชาวเวียงบางคนอดสบถเป็นคำหยาบออกมาไม่ได้ในชั่วโมงเร่งด่วน
ความเคลื่อนไหวของยุคสมัยยังคงดำเนินไปท่ามกลางอนุสรณ์แห่งความทรงจำของคนลาวอย่าง ประตูชัย (Patuxay) ที่ถึงจะ "ถอดแบบ" มาจาก L'Arc De Triomphe ของฝรั่งเศส แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน หรือ พระธาตุหลวงเวียงจันทร์ พระธาตุที่ใหญ่ที่สุดของประเทศลาว ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กระทั่งสวนสาธารณะเจ้าอนุวงศ์ ที่ได้รับการปรับปรุงจากพื้นที่รกร้างริมโขงกลายเป็นสวนหย่อมขนาดย่อม ที่มีพื้นที่กินระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร แลนด์มาร์กของสมัยคมลาวยุคใหม่
คล้ายกับว่า ความเรียบง่ายก็เดินจูงมือไปความเร่งรีบได้เหมือนกัน
"เจี่ย" โพนโฮง
ความรู้ใหม่อย่างหนึ่งในการเดินทางครั้งนั้น ทำให้เราแยกแยะได้ว่า บ้าน หมายถึง ตำบล เมืองหมายถึงอำเภอ ขณะที่แขวงก็คือ จังหวัด และเรื่องเล่าสนุกๆ บนโต๊ะอาหารอย่าง ตำจอก = ชนแก้ว หรือหากอยู่ๆ เผลอปากไปสั่งไวน์ 1 แก้วก็จะได้ไวน์ขวดเขื่องๆ มาตั้งบนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว
เมื่อออกเดินทางจากกำแพงพระนครไปตามเส้นทางหมายเลข 13 นอกจากจะได้ลอง "ตับควาย" เป็นครั้งแรกในชีวิตแล้ว ระหว่างทาง เวียงจันทน์-วังเวียง เนื้อ "เจี่ย" ก็ถูกเปิปครั้งแรกที่นี่เหมือนกัน
สถานที่เกิดเหตุอยู่ที่ บ้านโพนโฮง ระหว่างทางไปยัง เขื่อนน้ำงึม หนึ่งในเขื่อนขนาดใหญ่ของ สปป.ลาวที่เป็น 1 ในนโยบายสร้างชาติโดยอาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ภายในประเทศ กับลักษณะเฉพาะของภูมิประเทศเพื่อใช้น้ำ "ปั่นไฟ" กับยุทธศาสตร์ "หม้อไฟแห่งเอเชีย" ซึ่งนอกจากเขื่อนขนาดใหญ่ที่รัฐบาลมีโครงการก่อสร้างแล้ว ทางภาครัฐยังส่งเสริมให้นักธุรกิจภายในประเทศสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดอย่าง น้ำ และลม ให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
บ้านโพนโฮงเป็นเหมือนจุดพักรถของคนเดินทางที่จะมีรถจากแขวงในภาคเหนือของลาวที่จะมุ่งหน้าสู่เวียงจันทน์มาแวะพัก พอๆ กับรถยนต์ในพื้นที่ที่วิ่งข้ามอำเภอ ด้วยลักษณะทางที่คดเคี้ยว และทางเป็น "ภูดอย" ทำให้จะมีจุดพักรถอยู่เป็นระยะๆ ตลอดเส้นทาง
ที่นี่นอกจากเปลี่ยนรถแล้ว ก็ยังมีสินค้าจากป่าชนิดต่างๆ มาเร่ขายด้วย ตัวอ้น หรือตุ่น ตัวเป็นๆ ก็เพิ่งได้เห็นที่นี่
"อะไรเสียบไม้อยู่น่ะ" ใครบางคนถาม
"เจี่ย"
"เจี่ย ?"
ได้เห็นถนัดๆ ถึงได้เข้าใจว่า ค้างคาวตัวเขื่องเวลาขดอยู่ในไม้ก็แทบไม่ต่างอะไรกับปีกไก่ย่างที่เขาขายกันเลย
ต่างกันก็แต่รสฝาด กับหืนในคอที่รู้เลยว่า ถึงจะตากแห้ง และปรุงรสด้วยเกลือกับพริกไทยแล้วก็ไม่ช่วยอะไรจริงๆ
เมืองในหมอก... ตรงสามแยกการเปลี่ยนแปลง
2 คำพูดนั้น ใช้อธิบาย พูคูน ได้เป็นอย่างดี ถ้าได้เห็นหมอกที่ปกคลุมเส้นทางอยู่ตอนนี้
หลังจากผ่านเวียงจันทน์ - วังเวียง ทางก็จะเริ่มเป็น "ทางดอย" มากขึ้นตามระดับน้ำทะเล และต้องใช้เวลาเกือบค่อนวันจากวังเวียงกว่าจะเดินทางมาถึง ส่วนหนึ่งที่ทำให้การมาพูคูนยากกว่าปกติก็เพราะ เส้นทางเป็น "เลนสวน" และความคดเคี้ยวที่มีตีนดอยเป็นเดิมพันหากคนขับหักพวงมาลัยพลาด
แต่ก็ยังไม่วายมีจังหวะสนุกๆ ให้ได้หวั่นใจเล่น เมื่อรถยนต์ 2 คันเกิดอยากประลองความเร็วบนความสูงระดับ "ไหล่เขา" การมาถึงพูคูนเมื่อเย็นก็ยังดีกว่าไม่มีวันมาถึงเลย
นอกจากความสวยงาม และความ "สด" ของอากาศ (อากาศสด - อากาศที่ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ) อุณภูมิที่ "สวิง" จนต้องหยิบเอาเสื้อคลุมขึ้นมาสวมทับอีกชั้นก็ถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่ด้วย
พูคูน จัดเป็นเมืองทางผ่านอันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างบ้านแปงเมืองของ สปป.ลาว ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ตั้งอยู่บนแนวปราการธรรมชาติ เชื่อมระหว่าง 3 เมืองใหญ่ เวียงจันทน์ หลวงพระบาง และเชียงขวาง
กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของคนพูคูนอิงวิถีชีวิตกับเกษตรกรรมเป็นหลัก ควบคู่กันไปกับวัฒนธรรมของคนลาวสูง หรือลาวภูเขาที่ใช้ชีวิตภายใต้สภาพภูมิอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี
ถึงแม้จะได้รับการขนานนามว่า เมืองในหมอก แต่ความคึกคักของการเดินทาง และการขนส่งก็ยืนยันถึงความสำคัญของอดีตสามแยกแห่งการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดีว่า วันนี้ พูคูนได้เปลี่ยนตัวเองให้เป็นสามแยกการค้าอย่างเต็มตัวแล้วจริงๆ
"แม่ค้า!!!" ใครบางคนตะโกนร้องเรียกเจ้าของห้องพักที่มีร้านค้าอยู่ด้านล่างเพื่อบอกให้รู้ว่า ระบบประปาบนห้องพักมีปัญหา
"อะไร น้ำไม่ไหลเหรอ" เธอทวนคำถาม
"ใช่"
"เมื่อคืนก็อาบแล้วไม่ใช่เหรอ"
"!!!!"
ประตูสู่...หลวงพระบาง
"ธรรมชาติมีคู่รักของเธอเสมอ และมีแต่คนเหล่านี้เท่านั้นที่ได้สัมผัสเธอด้วยความปลื้มปิติ..."
บันทึกของ อังรี มูโอต์ เมื่อครั้งที่เขาตัดสินใจเดินทางมาสำรวจผืนป่าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ น่าจะอธิบายถึง มนต์เสน่ห์ของผืนป่าเขตร้อนของดินแดนอุษาคเนย์ได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางแนวเขาสลับซับซ้อน เชียงเงิน ซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆ
ที่นี่นอกจากจะมีบ้านพักของนักสำรวจนามอุโฆษเมื่อครั้งเดินทางมาสำรวจป่าแถบนี้ ก่อนจะฝังกายพักผ่อนอยู่ริมน้ำคาน ใกล้เมืองหลวงพระบาง ในทางหนึ่ง ความผูกพันระหว่าง 2 เมืองนี้จะไม่มีทางแยกออกจากกันได้ เพราะเชียงเงินที่ทำหน้าที่ในการสนับสนุน และสร้างความมั่นคงให้กับหลวงพระบางมาโดยตลอด
เชียงเงินก็เรื่องหนึ่ง ขณะที่หลวงพระบางก็เป็นอีกเรื่อง เพราะวันนี้ เมืองมรดกโลกกำลังเดินหน้าสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายที่สุดอีกครั้งหนึ่ง
ศรัทธาธรรมของพระสงฆ์ที่เรียงรายสุดสายตาอันถือเป็นเอกลักษณ์อันทรงเสน่ห์ รวมทั้งสถาปัตยกรรมดั้งเดิมกำลังเดินมาถึงเส้นแบ่งระหว่างปัจจุบันกับอนาคต ในฐานะที่ "อนุรักษ์ความเก่าแก่ดั้งเดิมไว้ได้ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" ความรุ่งเรืองของศิลปวัฒนธรรมและประเพณีในอดีต ยังคงปรากฏให้เห็นแม้ในช่วงเวลาปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ปัญหาหนึ่งที่หลวงพระบางกำลังประสบก็คือการที่จำนวนนักท่องเที่ยวมากจนในบางครั้งแขวงหลวงพระบางเองก็รับไม่ไหว การรักษาความเป็นเมืองมรดกโลกให้คงอยู่จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทางภาครัฐต้องวางแผน เพื่อจะรักษาจุดเด่นจุดนี้เอาไว้
ภาพการปรับปรุงอาคารบ้านเรือน โครงการสร้างโรงแรมที่พัก หรือกระทั่งแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้เมือง ผู้คน ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่างๆ เปลี่ยนไป และกลายเป็นต้นทุนที่หลวงพระบางต้องจ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่ต่างกับ รอยยิ้มนั้นจะ "เต็มยิ้ม" ไปอีกนานเท่าไหร่
นั่นเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจควบคู่ของชายหนุ่มบางคน หลังตกหลุมรอยยิ้มของแม่หญิงชาวนครหลวงเก่าแห่งดินแดนล้านช้าง
ชายแดน และความฝัน
ซากปรักหักพักของหมู่ตึกที่เคยเป็นอดีตแหล่งบันเทิงที่สร้างเม็ดเงินให้สะพัดไปทั่วพรมแดนลาว-จีน ยิ่งทำให้บรรยากาศแถวนี้ดูเปลี่ยวร้างขึ้นในความรู้สึก ทั้งๆ ที่ห่างไปอีกไม่เท่าไหร่ก็มีความเคลื่อนไหวเข้า-ออกของสินค้า และผู้คนระหว่าง 2 ประเทศนี้ไหลเวียนอยู่ตลอด
บ่อเต็น เป็นด่านพรมแดนที่มีบทบาทด้านการขนส่งโดยเฉพาะในแง่ของการที่จีนจะเดินทางสู่อาเซียน ทำให้ประตูนี้กลายเป็นประตูทางการค้าที่สำคัญไปโดยปริยาย แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงก็กำลังเกิดขึ้นกับอาณาบริเวณนี้ด้วยเหมือนกัน เส้นทางถนนตัดใหม่ กองดินของโครงการก่อสร้างอาคารต่างๆ หรือแม้แต่การล้นทะลักเข้ามาของคนจีน เหมือนอย่างที่เมืองอุดมไซ ชุมทางสุดท้ายก่อนมาสิ้นสุดเส้นทางหมายเลข 13 ที่ด่านนี้
อุดมไซ เป็นภาพสะท้อนของการรุกคืบของจีนได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากคนงานจีนที่เข้ามาใช้แรงงาน ทำการค้าที่นี่แล้ว อาคารบ้านเรือนหากมองเผินๆ เราอาจนึกว่ากำลังอยู่ที่ประเทศจีนก็ได้ เช่นเดียวกันกับที่เขตคาสิโน บริเวณด่านที่ครั้งหนึ่งเคยถูกหมายมั่นปั้นมือให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษทำให้มีผู้คนเดินทางหลั่งไหลมาทั่วทุกสารทิศ
หลังทุกอย่างกลายเป็นอดีต ความฝันของผู้คนก็ "ตกค้าง" อยู่ที่นี่
"ไม่มีอะไรเหลือแล้ว" ภาษาลาวสำเนียงจีนของชาวจีนที่หวังมาขุดทองที่นี่ตัดพ้อ
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง แรงงานจีนกลุ่มใหญ่ก็กำลังขะมักเขม้นเกลี่ยกองดินเพื่อปรับผิวถนนเตรียมการก่อสร้างให้เสร็จทันตามกำหนด
เมื่อความหวังสูญสลาย แต่ชีวิตก็ยังคงดำเนินต่อ
วัน และเวลาบนกระดาษอีกแผ่น อาจทำให้เราได้เห็นว่าช่วงเวลาการเดินทางที่ผ่านมา บางครั้งอาจไม่ได้จบด้วยความสุข แต่สาระสำคัญของการเก็บเกี่ยวเอาดอกผลของประสบการณ์กลับมาฝากผู้คนรอบข้าง หรือแม้แต่เก็บใส่กล่องความทรงจำ เท่านั้นก็เพียงพอกับการถามหาคุณค่าระหว่างย่างก้าวนั้นแล้ว
ไม่ต่างจากวลีท้ายรถคันนั้น
"การเดินทาง คือ ความเจริญงอกงาม"
.......................................
เส้นทางใน สปป.ลาว
ปัจจุบัน สปป. ลาว อยู่ในระหว่างพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะด้านคมนาคม จึงได้มีการตัดถนนเพิ่มและสร้างถนนเครือข่ายไปตามพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น เพื่อให้สะดวกในการติดต่อเดินทาง การค้าและการลงทุนข้ามพรมแดนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใน 6 ประเทศตามลุ่มแม่น้ำโขง (ไทย กัมพูชา มณฑลยูนานของสาธารณรัฐประชาชนจีน สปป. ลาว สหภาพพม่า และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม)โดยเป็นไปตามกรอบแผนยุทธศาสตร์ของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจากองค์กรระหว่างประเทศจำนวนมาก
ถนนทั้งหมดของสปป.ลาวนั้น ประกอบด้วย ทางหลวงเชื่อมต่อระหว่างแขวงและติดต่อกับเส้นทางหลวงระหว่างประเทศยาว 3,390 กิโลเมตร เส้นทางแขวงติดต่อระหว่างเมือง 1,620 กิโลเมตร ที่เหลือเป็นเส้นทางระหว่างหมู่บ้าน







