ย่ำหิมะที่ "โทโฮคุ"

บนพื้นที่ของเกาะฮอนชู เหนือโตเกียวขึ้นไป มีพื้นที่เรียกว่า "โทโฮคุ" ประกอบด้วยจังหวัดอะโอะโมะริ อิวาเตะ อะกิตะ ยะมะกะตะ ฟุคุชิมะ และนิอิกะตะ
คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของเกาะฮอนชู ประชากรราว 12 ล้านคน
ในแง่ของที่ตั้งพื้นที่ "โทโฮคุ" ตั้งอยู่บนฝั่งเหนือสุดของปลายเหนือสุดของเกาะฮอนชู โดยรวมเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ราบระหว่างภูเขาและมีแม่น้ำหลายสายไหลลัดเลาะริมเขา เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีภูเขาไฟที่ยังมีชีวิตทำให้มีแหล่งบ่อน้้ำร้อนกระจายอยู่ทั่วไป ล้อมด้วยทะเลญี่ปุ่น และมหาสมุทรแปซิฟิก สภาพอากาศทั้งสองฝั่งต่างกันพอควร อย่างไรก็ตามสภาพอากาศโดยรวมจัดว่าค่อนข้างเย็นแม้ในฤดูร้อน ส่วนฤดูหนาวสบายใจได้ว่าหนาวแน่ หิมะตกมีให้เห็นค่อนข้างแน่นอน โดยเฉพาะพื้นที่ฝั่งที่ติดทะเลญี่ปุ่น
ในฤดูร้อน อุณหภูมิฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกจะสูงขึ้นไม่มากนักเนื่องจากกระแสลมยะมะเสะที่พัดผ่านมา ตรงข้าม พื้นที่ฝั่งทะเลญี่ปุ่นจะร้อนกว่าโดยเฉพาะในบริเวณที่เป็นที่ราบลุ่ม หากเป็นฤดูหนาวฝั่งแปซิฟิกจะยังคงมีอากาศดีและอาจจะมีหิมะบ้างเล็กน้อย ส่วนฝั่งทะเลญี่ปุ่นจะมีหิมะมากกว่าโดยเฉพาะพื้นที่แถบภูเขาหิมะอาจจะตกหนาถึง 5 เมตร ทำให้เป็นหนึ่งในพื้นที่หิมะตกหนักที่สุดในโลก
ด้วยความที่พื้นที่โทโฮคุมีลักษณะยาวจากเหนือลงใต้ ทำให้ในวันเดียวกันอุณหภูมิของพื้นที่ฝั่งเหนือกับใต้อาจจะต่างกันได้ถึง 4 องศา และถ้าเป็นบนยอดเขาอุณหภูมิอาจจะลดต่ำจากพื้นราบได้ถึง 10 องศา ถ้าจะไปเยือนโทโอคุหน้าหนาวต้องเตรียมเสื้อกันหนาวไปให้ดีทีเดียว
อุ่นอดีตกลางหิมะ ที่ "ฟุคุชิมะ"
เราเริ่มต้นเดินทางเที่ยวตามลมหนาวที่โทโฮคุกันที่ เมืองไอซุ วะคะมัตสุ (Aizu-Wakamatsu City) จังหวัดฟุคุชิมะ (Fukushima Prefecture) เมืองไอซุแห่งนี้เป็นเมืองเก่าที่มีความสำคัญทางการเมืองการปกครองสมัยโบราณ เป็นเมืองหลักที่ปกครองภาคตะวันออกของญี่ปุ่น หลากหลายขุนศึกจากทั่วญี่ปุ่นมาปกครองเมืองนี้
เริ่มเดินทางย้อนอดีตสู่ยุคซามูไรที่ปราสาท "Tsuruga-jo Castle" หรือ "ปราสาททสึรุกะ" ความเป็นมาของปราสาทแห่งนี้ย้อนกลับไปถึงปีค.ศ.1591 เมื่ออุจิซะโตะ กะโมะ เรืองอำนาจปกครองดินแดนแถบนี้ และได้สร้างปราสาท 7 ชั้นนามว่า ปราสาททสึรุุกะ ขึ้น แต่หลังจากเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในปีค.ศ.1611 ปราสาทได้รับความเสียหาย เริ่มมีอาการเอียงและทรุด กระทั่งในปีค.ศ.1627 โยชิอะกิ คะโตะ ขึ้นครองอำนาจ ได้จัดการซ่อมแซมปราสาทใหม่เป็น 5 ชั้น
ปราสาทแห่งนี้ต้องรับบทหนักในสงครามระหว่างรัฐบาลเมจิกับกลุ่มซามูไรที่เรียกว่า "สงครามโบชิน" ฝ่ายรัฐบาลเมจิที่มีอาวุธที่ทันสมัยกว่าเป็นฝ่ายชนะ เป็นจุดสิ้นสุดของยุคซามูไร ภายหลังฝ่ายรัฐบาลเมจิได้สั่งทำลายปราสาทแห่งนี้เหลือเพียงกำแพงหินดั้งเดิมที่ยังเหลือให้เห็นถึงในปัจจุบัน ตัวปราสาทมาได้รับการสร้างใหม่ในปีค.ศ.1965 โดยอาศัยหลักฐานภาพถ่ายตัวปราสาทจากครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ที่คาดว่าถ่ายไว้โดยช่างภาพชาวฝรั่งเศส
ปัจจุบันตัวปราสาทมีทั้งหมด 5 ชั้นกับ 1 ชั้นใต้ดินซึ่งเดิมใช้เป็นที่เก็บเกลือและเสบียงอื่นๆ ตอนนี้ใช้เป็นห้องจัดแสดงวิถีชีวิตในปราสาทสมัยนั้น ส่วนชั้น 1-3 ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ โดยชั้น 1 จะเป็นการแนะนำเรื่องราวของผู้ครองเมืองแต่ละรุ่น รวมทั้งประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในภาพรวม ส่วนชั้นที่ 2 เล่าเรื่องราวของวิถีชีวิตประจำวันของชาวเมืองในสมัยเอะโดะรวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ บนชั้นนี้จะมีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่จัดเป็นพื้นที่สำหรับสตรีสูงศักดิ์ในสมัยโบราณ จะมีชุดกิโมโนสำหรับฝ่ายหญิงที่ตกแต่งอย่างหรูไว้ให้ลองใส่ถ่ายรูปกันได้ (ถ้าจะใส่ให้เอาสาบเสื้อด้านซ้ายทับด้านขวา ใส่สลับจะไม่เป็นมงคล) ส่วนชั้น 3 เป็นเรื่องราวของสงครามโบชิน หรือการสู้รบระหว่างฝ่ายซามูไรกับรัฐบาลเมจิ ส่วน 2 ชั้นบนเป็นที่ชมวิวที่สามารถมองเห็นพื้นที่ปราสาทและตัวเมืองโดยรอบ
ช่วงที่เราไป เผอิญ (หรือไม่) ว่าตรงกับช่วงเวลาของ เทศกาลจุดเทียน "Aizuwakamatsu Painted Candle Festival" ที่จัดกันทุกปีระหว่าง 8-9 กุมภาพันธ์ ในบริเวณปราสาท เอกลักษณ์ของงานนี้คือการจุดเทียนที่วาดลวดลายเป็นดอกไม้ต่างๆ จากทั้ง 4 ฤดู บนพื้นที่ทุ่งหิมะรอบปราสาทจึงพราวไปด้วยแสงเทียนประมาณ 7,000 เล่ม
อีกจุดหนึ่งในจังหวัดฟุคุชิมะที่น่าไปคือสถานที่ที่เรียกว่า "Ouchijuku" ตั้งอยู่ที่เมืองชิโมะโกะ (Shimogo Town) ประมาณ 20 กิโลเมตรทางใต้ของเมืองไอซุ "โอจิจุกุ" เคยเป็นเมืองแวะพักที่ตั้งขึ้นในสมัยเอะโดะ (คศ.1603-1868) ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางโบราณที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองไอซุกับเอะโดะ เป็นเส้นทางที่ไดเมียว ซามูไร พ่อค้าใช้เดินทาง รวมทั้งขนส่งสินค้า เช่น ข้าว
ที่นี่เคยเป็นเมืองที่คึกคักมากในสมัยเอะโดะ จนกระทั่งเข้าสู่สมัยเมจิ (ค.ศ.1868-1912) จำนวนคนที่ใช้เส้นทางนี้ก็ลดลง แต่การที่ชุมชนนี้ถูกหลงลืมไปในช่วงเวลาหนึ่งกลับกลายเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้เรายังคงเห็นรูปแบบของบ้านเรือน ร้านค้าและถนนของเมืองเก่าได้ที่นี่ บ้านเรือนสองฝั่งถนนยังคงรูปแบบการก่อสร้างแบบเดิม ปรับฟังก์ชั่นกลายเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารท้องถิ่น ร้านกาแฟ แต่ก็ยังมีโรงเรือนที่คงรูปแบบการใช้สอยจากครั้งก่อน เช่น โรงตากแห้งหัวไชเท้า การชิมอาหารท้องถิ่นพร้อมกับชมภาพของเมืองที่ไม่เปลี่ยนไปตั้งแต่สมัยเอะโดะได้อารมณ์ญี่ปุ่นโบราณ ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี
อุ่นสุดขั้ว หนาวสุดขีด ใน "ยะมะกะตะ"
จังหวัดยะมะกะตะ (Yamagata Prefecture) เรียกได้ว่ารวมเอาความอบอุ่นสุดๆ ของบ่อน้ำร้อนแบบญี่ปุ่นหรือ "อนเซ็น" (Onsen) เอาไว้มากมายหลายที่ เช่นเดียวกับความหนาวสุดๆ ของอากาศบวกกับกระแสสมแรงจัดบนยอดเขา
อันดับแรก ขอแวะไปสัมผัสความอบอุ่นของบรรยากาศเทศกาลท่ามกลางความหนาวและกองหิมะ ในเทศกาล "Uesugi Snow Lantern Festival" ที่ ศาลเจ้าอุเอะสุงิ (Uesugi Jinja Shrine) ที่เมืองโยเนะซะวะ จังหวัดยะมะกะตะ ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ.1876 เพื่อเป็นที่รำลึกแด่อุเอะสุงิ เคนชิน ผู้บัญชาการกองทัพสมัยสงครามที่ได้รับฉายาว่า "เทพแห่งสงคราม) ก่อนจะได้รับการบูรณะใหม่ในปีค.ศ.1923
ช่วงที่ไปเยือนศาลเจ้าอุเอะสุงิแห่งนี้ เป็นช่วงเวลาของการจัดงานเทศกาล Uesugi Snow Lantern Festival ที่จัดต่อเนื่องมาเป็นครั้งที่ 37 แล้ว เพื่อระลึกถึงบรรพบุรุุษ รวมถึงผู้คนในอดีตที่ได้แผ้วถาง สร้างบ้านจนเป็นเมืองให้ได้อยู่สบายอย่างในปัจจุบัน ทุกๆ ปีชาวเมืองจะนำหิมะมาก่อเป็นรูปตะเกียงตามสองข้างทาง ใช้พื้นที่บริเวณณศาลเจ้าอุเอะสุงิ และสวนสาธารณะมัตสุกะมิซะกิ และที่ทำการ Yonezawa City Hall โดย บริษัท ห้างร้าน โรงเรียน จะแบ่งกันเป็นเจ้าภาพสร้างตะเกียงหิมะตามรูปแบบของตะเกียงหินที่นิยมประดับในสวนญี่ปุ่น
พอตกค่ำตั้งแต่เวลาประมาณ 17.30 น. การจุดตะเกียงหิมะก็จะเริ่มขึ้น แสงไต้ที่ตามไว้ในตะเกียงหิมะทำให้บรรยากาศของเมืองดูอบอุ่นขึ้น นอกจากการจุดตะเกียงหิมะก็มีการประกวดปั้นหิมะของเด็กๆ
การแสดงบนเวที การขับร้องประสานเสียง การแสดงพื้นบ้านญี่ปุ่นอย่างละคร "โนะ" รวมทั้งการออกร้านขายของในอารมณ์คล้ายๆ งานวัดบ้านเรา
เสพความหนาวท่ามกลางอุณหภูมิติดลบมาสักพักเริ่มโหยหาความอบอุ่น เราจึงพากันไปสัมผัสบรรยากาศของอนเซ็นแบบญี่ปุ่นแท้ๆ แนะนำ"Ginzan Hot Spring" หรือ "Ginzan Onsen" เป็นกลุ่มของอาคารที่พักแบบโบราณที่สร้างมาตั้งแต่สมัยไทโชและต้นโชวะ เรียงรายอยู่สองข้างระหว่างแม่น้ำสายเล็กๆ ชื่อ Ginzangawa เป็นอีกหนึ่งภาพของเมืองเก่าญี่ปุ่นยังคงเหลือให้เห็น อาคารส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมที่มีบริการแช่น้ำแร่ พร้อมๆ กับเป็นร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกด้วย มีตั้งแต่บ่อน้ำร้อนราคาประหยัดสุดๆ ที่ลูกค้าต้องบริการตัวเอง ตั้งแต่การตักน้ำจากบ่อน้ำร้อน ผสมน้ำให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการ ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล ใช้ระบบเชื่อใจกัน มีกล่องไว้ให้หยอดเงินค่าอาบน้ำ ไปจนถึงสปาบ่อน้ำร้อนสมัยใหม่ที่ออกแบบโดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียง
ที่น่าสนใจอีกอย่างของที่นี่ คือศิลปะการตกแต่งอาคารด้วยภาพเขียนปูนเปียกแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า "ชิกกุย" (Shikkui) ที่เก่าแก่แต่ยังคงความสวยงาม เป็นเทคนิคที่หาช่างที่ทำได้น้อยเต็มที ซึ่งทางชุมชนนี้ก็ยังช่วยกันอนุรักษ์ไว้ด้วยเป็นอย่างดี
แต่ถ้าอยากไปให้ถึงที่สุดของความหนาว ต้องที่ "Zao" หรือภูเขา "ซะโอะ" ที่มีสกีรีสอร์ทที่เป็นหนึ่งในลานสกีที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น นักสกีญี่ปุ่น และต่างชาติก็นิยมบินมาเล่นสกีและสโนว์บอร์ดที่นี่ ลานสกีที่นี่มีทั้งหมด 15 เนิน แบ่งเป็น 12 คอร์ส สูง ต่ำ ยาก ง่าย ต่างกันไป เล่นได้ตั้งแต่มือใหม่จนถึงมือโปร ถ้าเล่นไม่เป็นไม่เป็นไร ที่นี่มี 7 โรงเรียนสกี และ 1 โรงเรียนสโนว์บอร์ด มีครูพูดภาษาอังกฤษแต่ต้องจองล่วงหน้า ราคาค่าเรียนโดยประมาณ ครึ่งวันเริ่มต้นที่ 12,000 เยน และเต็มวันเริ่มต้นที่ 20,000 เยน
อย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของซะโอะ คือปรากฎการณ์ธรรมชาติในฤดูหนาวที่เรียกว่า "Ice Monsters" หรือ "Juhyo" ถ้าอยากชมต้องฝ่าความหนาวนั่งรถกระเช้าขึ้นไปจนถึงยอดเขาในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ หิมะ ละอองน้ำ บวกกับลมที่พัดแรงจัดตามฤดูกาล ทำให้หิมะพากันไปเกาะตามต้นไม้ที่ขึ้นบนเขากลายเป็นรูปแบบเฉพาะตัวดูราวกับฝูงปีศาจน้ำแข็ง หากไปช่วงกลางคืนจะมีการฉายไฟตามจุดต่างๆ ได้มุมมองอีกแบบ แต่ที่สำคัญคือห้ามเดินออกไปดู Ice Monsters ตามลำพังเด็ดขาด เพราะเคยมีคนออกไปแล้วตกลงไปในหลุมหิมะใต้ต้นไม้ต้องปีนป่ายอยู่เป็นนานกว่าจะกลับขึ้นมาได้
วงจรชีวิตของ Ice Monsters เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมที่หิมะจะเริ่มจับต้นสน ค่อยๆ ก่อรูปร่างในเดือนมกราคม จนถึงกุมภาพันธ์เป็นช่วงที่เหมาะที่สุดเพราะหิมะจะเกาะเต็มต้นสนเป็นรูปเป็นร่างมากที่สุด หลังจากนั้นพอเข้าสู่เดือนมีนาคมหิมะก็จะค่อยๆ ละลายไปจนหมดในหน้าร้อน ก่อนจะถึงเวลาที่ปีศาจหิมะจะรวมร่างอีกครั้งในช่วงปลายปี
เริงร่าถ้าลมหนาวอย่างมีศิลป์ ที่ "อิวะเตะ"
ถ้าจะพูดถึงเทศกาลหิมะระดับอลังการงานสร้าง หนึ่งในนั้นคือกิจกรรมที่เรียกว่า "Iwate Snow Festival" จัดกันบนพื้นที่ของ Koiwai Farm ในจังหวัดอิวะเตะ ปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ปีนี้จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 47 แล้ว และได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 5 เทศกาลหิมะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโทโฮคุ
จุดเด่นของเทศกาลหิมะที่นี่อยู่ที่ "ประติมากรรมหิมะ" ตั้งแต่ขนาดย่อมไปถึงขนาดยักษ์ รวมทั้งเครื่องเล่นหิมะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลานลื่น Slider ยักษ์ที่สร้างจากหิมะ เวทีการแสดงที่สร้างจากหิมะ ประติมากรรมหิมะชิ้นย่อมลงมา เช่น เขาวงกตหิมะ รถไฟหิมะ อนุสาวรีย์หิมะที่สร้างจากเรื่องราวในวรรณกรรมเด็กของนักเขียนญี่ปุ่น สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ส่วนหนึ่งสำเร็จได้ด้วยฝีมือของทหารจากกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นที่เข้ามาติดตั้งโครงสร้างที่ทำจากเหล็ก ก่อนจะใช้เครื่องพ่นหิมะจัดการพ่นละอองหิมะใส่โครงเหล็กจนเป็นรูปร่างตามต้องการก่อนจะทำการเก็บรายละเอียดเป็นขั้นตอนสุดท้าย
กิจกรรมในเทศกาลนี้ก็มีให้เลือกเล่นได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการละเล่นออกแรงอย่างเล่นเลื่อนหิมะที่เด็กเล่นได้ผู้ใหญ่ก็เล่นดี แต่อย่างหนึ่งที่ฮิตมากคือการเข้าไปจับจอง "บ้านหิมะ" (คะมะคุระ) เป็นที่กินอาหารร่วมกันของครอบครัว โดยเฉพาะอาหารแนะนำคือ "เนื้อย่าง" และเมนู "เนื้อย่างเจงกิสข่าน" หรือเนื้อแกะย่าง เนื่องจากโคอิวะ ฟาร์ม แห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตเนื้อคุณภาพดี แต่หากไม่อยากย่างเนื้อเองจะเข้าไปสั่งที่ภัตตาคารก็มีข้าวหน้าเนื้อเจงกิสข่านให้บริการ ส่วนเครื่องดื่มแนะนำเป็น "อะมะซะเกะ" เครื่องดื่มรสหวานที่ทำจากข้าวหมัก
ส่วนภาคกลางคืนมีกิจกรรม Fantasy Night บริเวณงานและประติมากรรมทั้งหมดจะตกแต่งด้วยแสงไฟ และที่ขาดไม่ได้คือการแสดงดอกไม้ไฟให้ความรู้สึกอลังการไปอีกแบบ
...
ก่อนอำลาดินแดนโทโฮคุมีโอกาสได้คุยกับคนที่เกิดในพื้นที่อย่างคุณไซโตะ ทัตสึฮิโกะ จากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวโทโฮคุ คุณไซโตะอธิบายว่า ความน่าสนใจของโทโฮคุคือเป็นพื้นที่ธรรมชาติสวยงามในทุกฤดู เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเดินทางพักผ่อนกับธรรมชาติที่มีให้ชื่นชมได้ในทุกฤดูกาลแตกต่างกันไป แต่ถ้าอดคิดถึงแสงสีไม่ได้ก็เพียงแต่นั่งรถไฟชิงกันเซ็นไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงโตเกียว
ทิวทัศน์ เทศกาล อาหาร ปราสาท ประวัติศาสตร์ และเรื่องราวของซามูไร ถ้านั่นคือสิ่งที่มุ่งหมายจากการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ดินแดน "โทโฮคุ" แห่งนี้มีให้ครบ
....
ดูข้อมูลการท่องเที่ยวโทโฮคุได้ที่ : http://en.tohokukanko.jp







