ฝาย...ตามรอยพ่อ

ฝาย...ตามรอยพ่อ

กลุ่มเยาวชนกว่า 70 ชีวิตในนาม "ค่ายคบเด็กสร้างฝาย" ดั้นด้นสู่ต้นน้ำแม่ปิง เรียนรู้การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน...ตามรอยพ่อของแผ่นดิน

แม้ระยะทางจะไกลเพียงใด แต่เยาวชนกว่า 70 ชีวิตก็ดั้นด้นเข้าไปเรียนรู้การจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตามศาสตร์พระราชา โดยเดินจากลุ่มน้ำป่าสักสู่ต้นน้ำแม่ปิง บนยอดดอยผาส้ม อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ความสูงกว่า 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล

พร้อมกันนี้พวกเขายังร่วมแรงร่วมใจกันสร้างฝายบนผืนป่าที่สูงเสียดฟ้า ซึ่งเยาวชนเหล่านี้เป็นอาสาสมัครจากโรงเรียนโป่งเกตุ โรงเรียนโป่งไทร อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และโรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย มาบเอื้อง จังหวัดชลบุรี มารวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็น "ค่ายคบเด็กสร้างฝาย" ภายใต้โครงการ "พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน" จากการสนับสนุนของผู้ใหญ่ใจดีอย่าง บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด สถาบันเศรษฐกิจพอเพียงและมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ

จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่มาเรียนรู้การทำฝายชะลอน้ำอย่างถูกวิธีโดยบูรณาการตามสภาพภูมิประเทศของแต่ละท้องถิ่น เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจว่า การสร้างฝายตามแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทำให้ป่าสมบูรณ์ได้จริง และเมื่อแผ่นดินสมบูรณ์ ก็มีน้ำไปหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน โดยมี พระอาจารย์สังคม ธนปัญโญ เจ้าของฉายาผู้ดับไฟป่าแห่งเทือกเขาสะเมิง ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการสร้างฝายมาแล้วกว่า 3,000 ฝาย เป็นพี่เลี้ยงของเยาวชน

พระอาจารย์สังคม ธนปัญโญ เล่าว่า แต่ก่อนผืนดินแห่งนี้เคยอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้นานาพันธุ์ มีน้ำกินน้ำใช้ตลอดทั้งปี แต่เมื่อ 30 ปีที่แล้วมีการสัมปทานป่าไม้ เกิดการตัดไม้ทำลายป่า และเกิดไฟป่าทุกปี ชาวบ้านหันมาปลูกพืชเชิงเดี่ยว จนพื้นที่แห้งแล้งไม่สามารถทำการเกษตรได้ เมื่อไม่มีพื้นที่ทำกินชาวบ้านก็เดินทางไปทำงานในเมือง แทบจะกลายเป็นหมู่บ้านร้าง

"ขณะนั้นอาตมาเพิ่งสำเร็จการศึกษาจากอเมริกาและมานั่งวิปัสสนาที่นี่ เห็นภาพชาวบ้านทิ้งบ้านไปหางานทำในเมือง จึงอยากช่วยชุมชนให้พ้นจากความยากจนและการเป็นหนี้สิน โดยใช้หลักการที่เรียกว่า 'บวร' คือ"บ้าน วัด โรงเรียน" ชุมชนจะเข้มแข็งต้องอาศัย 3 ส่วนนี้ร่วมแรงร่วมใจกัน"

นั่นเป็นสาเหตุให้พระอาจารย์ใช้เวลาสำรวจป่า 1 ปีเต็ม และลงมือสร้างฝายแห่งแรกในปี 2550 เพราะเชื่อว่าตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน เพื่อให้ชาวบ้านเห็นว่าการปลูกป่า สร้างฝาย จะช่วยคืนชีวิตให้แผ่นดินได้ จากนั้นท่านก็สร้างมาเรื่อยๆ หลายครั้งที่ไปสร้างบนพื้นที่ของป่าไม้จนถูกสั่งปราม แต่เพื่อประโยชน์ของชุมชน จึงยังคงมุ่งหน้าสร้างต่อไป

นอกจากสร้างฝาย พระอาจารย์ยังชวนชาวบ้านปลูกป่า ทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อพึ่งพิงตนเอง โดยเน้นปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่างตามแนวทางพระราชดำริ และสร้างโรงเรียนทางเลือก“ดอยผาส้ม โฮมสคูล” เพื่อให้เด็กพึ่งพาตนเองได้

"เราทำให้ดู จนทุกคนเชื่อและทำตาม จาก 30 ปีที่ไม่เคยมีน้ำ ตอนนี้มีน้ำใช้ แถมยังต่อท่อไปหล่อเลี้ยงยังหมู่บ้านอื่นๆ นี่เป็นที่มาของการพึ่งตนเองอย่างแท้จริงตามศาสตร์พระราชา นอกจากนี้เรายังทำแนวกันไฟบริเวณเทือกเขาดอยผาส้มเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร ถ้าขึ้นไปจะเห็นเลยว่าบริเวณที่ทำแนวกันไฟกับแนวไม่ได้ทำ ป่ามีความสมบูรณ์ต่างกัน นับจากวันนั้นก็ 6 ปีแล้ว ที่เราทำฝายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3,000 ฝาย ในพื้นที่อำเภอสะเมิง แม่ริม แม่วาง ฯลฯ ของจังหวัดเชียงใหม่ และจะยังคงเดินหน้าทำต่อไปจนกว่าจะทำไม่ไหว"

ด้วยเหตุผลดังกล่าว เยาวชนเหล่านี้จึงได้มาเรียนรู้ใช้ชีวิตอยู่บนยอดดอยผาส้ม สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนต่างวัฒนธรรม สัมผัสธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และไปแสดงพลังที่ยิ่งใหญ่ด้วยการสร้างฝายเก็บกักน้ำให้ชุมชนได้มีน้ำกินน้ำใช้ ซึ่งภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง เยาวชนสามารถสร้างฝายได้ถึง 4 ฝาย ประกอบไปด้วย ฝายชะลอน้ำ ฝายดักตะกอน ฝายกึ่งถาวร ฝายหินทิ้ง ซึ่งฝายเหล่านี้เกิดจากสองมือเล็กๆ และพลังสามัคคีของเด็กนักเรียนที่มาจากต่างโรงเรียน ต่างท้องถิ่น แต่มารวมตัวกันเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน

ด.ญ.กนกวรรณ วงศ์ศรี นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 3 โรงเรียนโป่งเกตุ จังหวัดสระบุรี กล่าวว่า ที่เดินทางมาดอยผาส้ม เพราะต้องการมาเรียนรู้การทำฝายจากพระอาจารย์สังคม เพื่อที่เราจะได้ไปประยุกต์ใช้ในชุมชนของเรา

"หนูได้มีโอกาสขึ้นไปดูแนวกันไฟบนยอดดอยเลยตั้งใจว่าจะนำแนวคิดนี้ไปทำที่บริเวณต้นน้ำป่าสักที่เป็นบ้านของหนูบ้าง เพราะป่าต้นน้ำถูกทำลายไปมาก ทั้งจากไฟป่าและการทำเกษตรเชิงเดี่ยว พวกเราวางแผนไว้ 10 ปีว่าจะทำพื้นที่ต้นน้ำป่าสักให้เป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ให้หมู่บ้านอื่นมาเห็นและนำกลับไปใช้ที่ชุมชนตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเราเคยทำฝายด้วยไม้ไผ่มาแล้ว แต่พอเกิดอุทกภัยฝายที่ทำไว้ก็พังเสียหาย แต่ครั้งนี้เราได้ศึกษาการทำฝายหินทิ้ง ฝายกึ่งถาวร ซึ่งจะต้านทานแรงน้ำจากธรรมชาติได้ดีกว่า หนูก็หวังว่าสิ่งที่พวกเราทำจะช่วยให้ชุมชนตระหนักถึงปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งและหันมาช่วยกันอนุรักษ์ป่าต้นน้ำมากขึ้น"

ด้าน ด.ช.ธนาวุฒิ ทาหา อายุ 14 ปี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโป่งไทร กล่าวว่า มีโอกาสช่วยกันสร้างฝายให้หมู่บ้าน ได้มีน้ำกินน้ำใช้ จึงได้เรียนรู้การทำฝายชนิดต่างๆ ทั้งฝายชะลอน้ำ ฝายดักตะกอน ฝายชั่วคราว และยังเป็นการสร้างความสามัคคีเพราะมีเพื่อนๆ ต่างโรงเรียนมาช่วยกัน เลยได้เพื่อนใหม่ไปด้วย ซึ่งความรู้ที่ได้วันนี้ผมตั้งใจจะนำไปพัฒนาชุมชนโป่งไทร เพราะทั้งหมู่บ้านมีบ่อเก็บน้ำแค่บ่อเดียว เวลาหน้าแล้งจะไม่มีน้ำใช้ ดังนั้นการสร้างฝายจะช่วยให้หมู่บ้านผม มีน้ำใช้ตลอดทั้งปี

เช่นเดียวกับ ด.ช.รัตพล อินทร์ทา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย มาบเอื้อง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนทางเลือกต้นแบบในการจัดการการศึกษาที่มุ่งเน้นให้เยาวชนช่วยเหลือตนเองได้ และเปิดกว้างให้เด็กได้เรียนรู้และลงมือทำจริงตามศาสตร์พระราชา

เขาบอกว่า "แม้จะเคยเรียนรู้การปลูกป่า การทำเกษตรอินทรีย์ และทำฝายด้วยไม้ไผ่มาบ้าง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ทำฝายหินทิ้ง โดยใช้หินและปูนเพิ่มความแข็งแรง ได้เห็นสันเขื่อนที่ทำจากดินที่พระอาจารย์ทำไว้บนยอดเขา จึงรู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก ถึงขนาดที่ว่าถ้ามีโอกาสจะกลับมาทำประโยชน์เพื่อชุมชนอีก"

ส่วน หทัยรัตน์ อติชาติ ผู้จัดการฝ่ายนโยบายด้านรัฐกิจและกิจการสัมพันธ์ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า เราเชื่อว่าหากเราปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ให้กับเยาวชนในวันนี้ พวกเขาจะเติบโตพร้อมกับความรู้ที่ช่วยรักษาธรรมชาติในพื้นที่ตนเองและในที่อื่นๆ ได้ นอกจากการสร้างฝายเป็นแล้ว เด็กๆ ยังได้เรียนรู้การอนุรักษ์ ดิน น้ำ และป่า คืนความสมดุลให้ธรรมชาติ และช่วยกันป้องกันภัยธรรมชาติอันเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า

งานนี้ ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยท่ามกลางอากาศบนยอดดอยที่หนาวเหน็บ แต่พวกเขากลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เห็นสิ่งที่ตัวเองทำ และเกิดประโยชน์ต่อชุมชนสิ่งแวดล้อม ได้เห็นหมู่บ้านที่เคยแห้งแล้งกลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยสองมือเล็กๆ และสิ่งสำคัญพวกเขาสัญญาว่า จะนำความรู้นี้ไปพัฒนาชุมชนของตัวเองให้เป็นชุมชนตัวอย่างที่เดินตามรอยพ่ออย่างแท้จริง...