ฟองสนาน จามรจันทร์ ดวงดาว...ไม่เคยโกหก

ฟองสนาน จามรจันทร์
ดวงดาว...ไม่เคยโกหก

ถ้าจะให้ประเมินสถานการณ์การเมืองเวลานี้ อดีตนักสื่อสารมวลชนคนนี้ ขอเลือกใช้วิชาโหราศาสตร์ วิเคราะห์ดวงเมือง...

เธอเป็นนักจัดรายการวิทยุที่คนฟังติดงอมแงมคนหนึ่งในประเทศไทย มีลีลาการพูดฉะฉาน ตรงไปตรงมา น้ำเสียงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นแหละเธอ ฟองสนาน จามรจันทร์ อดีตหัวหน้าข่าวสายการเมืองสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ สื่อสารมวลชนที่กล้าโยนคำถามที่คนอื่นไม่กล้าถาม


ถ้าใครรู้จักเธอ คงรู้ว่า ตอนเธอทำหน้าที่นักข่าวสายการเมือง เคยถูกสั่งย้ายใน 24 ชั่วโมง และเคยถูกขู่วางระเบิดที่่บ้าน ทั้งหมดเป็นผลพวงจากการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ว่า เธอไม่กลัว เธอบอกว่า กลัว แต่ต้องทำหน้าที่สื่อฯ


ปัจจุบันเธอเออรี่รีไทร์จากราชการ เกษียณออกมารับบำนาญหลังจากรับตำแหน่งสุดท้ายเป็นนักจัดรายการวิทยุทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เพื่อทำสิ่งที่อยากทำ ทั้งการเขียนหนังสือ เขียนคอลัมต์ "จัดฉากชีวิต ลิขิตดวงดาว" ในหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก จัดรายการวิทยุ(เท่าที่มีคนอยากจ้าง) เล่นหุ้น และเป็นโหรสมัครเล่น ดูดวงให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ แค่สลึงเดียว


แต่เมื่อใดโหรสมัครเล่นคนนี้ ทำนายดวงเมือง หรือ ดวงนักการเมือง ก็จะถุูกโพสต่อบนสื่อออนไลน์ นั่นเพราะความแม่นยำ


13 ปีกับการเรียนรู้วิชาโหรศาสตร์ด้วยตัวเอง ถ้ายังเรียนรู้ไม่ถึง 30 ปี เธอบอกว่า ยังเป็นแค่โหรสมัครเล่น แรกๆ เธอฝึกฝนจากการดูดวงตัวเอง จากนั้นผันมาดูดวงเพื่อนๆ รวมไปถึงนักการเมืองและดวงเมือง
ดวงเมืองไทยเป็นเช่นไร เธอเขียนไว้ปีกว่าๆ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์จริง ในหนังสือ รับมือ...เทวสุรสงคราม สยามประเทศ


เธอบอกว่า ดวงดาวไม่เคยโกหก และส่วนใหญ่คำทำนายของเธอแม่นยำ....มีพลาดก็ครั้งเดียว


ในฐานะนักข่าวการเมืองรุ่นเก๋า วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองตอนนี้อย่างไร
เราวิเคราะห์อะไรไม่ได้เลย ขอตอบคำถามนี้ แบบโหราศาสตร์ก็แล้วกัน เพราะตอนนี้เป็นโหรสมัครเล่น และถูกชี้นำความคิดแบบโหรแล้ว แต่ต้องบอกก่อนว่า โหรจะดูดวงดาวแบบภาพรวม สถานการณ์ตอนนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่


ก่อนจะตอบคำถามอื่น...ขอถามที่มาที่ไปในการศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ?
เมื่อ 13 ปีมีคนชวนไปจัดรายการชีพจรการเมือง เป็นช่วงสิ้นปีที่คนเชิญ ต้องชวนนักโหราศาสตร์มาออกรายการ เราเป็นนักจัดรายการ เมื่อโหรเหล่านั้นมานั่งคุยกันนอกจอ เราไม่รู้เรื่องเลย โหรลักษณ์ เรขานิเทศ บอกให้เราไปซื้อหนังสือแถวเวิ้งนครเกษมมาอ่าน อ่านลึกลงไปเรื่อยๆ เพื่อนคนแรกที่เป็นเหยื่อใคือ ภาสกร จำลองราช พอเอาดวงไปผูก ทำนายถูก เพื่อนด่า จากนั้นก็มีเพื่อนๆ น้องๆ มาให้ดูดวงอยู่เรื่อยๆ ก็แม่นนะ ค่าดูหมอสลึงเดียว จนกระทั่งคุณลุงวิชา ปัทมพงศ์ เขียนจดหมายและโทรมาหาหลายครั้งให้ไปเอาตำราโหร เพราะรู้ว่า เราดูดวงครั้งละสลึงเดียว คุณลุงวิชาบอกให้เข้าไปพบ เก็บหนังสือไว้ให้ร้อยกว่าเล่ม เพราะลูกหลานไม่สนใจวิชาโหราศาสตร์ พอเอามาดู ก็ตอบข้อข้องใจ แม่นเหมือนตาเห็น เรามีหนังสือเป็นครู เรียนด้วยตัวเอง อ่านหนังสือเยอะตั้งแต่เด็กๆ พ่อเคยยกคัทเอ้าต์ไฟออก บีบบังคับให้เลิกอ่านหนังสือ คนเราใช้เวลาวันละชั่วโมง ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญได้แล้ว มันมีเทคนิคที่จะจำง่ายๆ


ก่อนหน้าที่จะศึกษาโหราศาสตร์ มีความเชื่อเรื่องแบบนี้ไหม
ตอนช่วงวัยที่ฮอร์โมนเยอะๆ ก็คิดว่า ข้าขอลิขิตชีวิตข้าเอง แต่พอศึกษา เพื่อที่จะคุยกับโหรออกรายการก็ได้ความรู้ เพื่อเป็นแนวทางชีวิตเวลาดวงขึ้นหรือดวงตก และพิสูจน์ความแม่น เคยทำนายไปว่า ประเทศไทยจะไปสู่ยุคใหม่ คือ มีนายกรัฐมนตรีผู้หญิง ตอนนั้นโดนโหรผู้ชายคนหนึ่งบอกว่า เป็นไปไม่ได้ เราก็ดูตามดวงดาว ตอนนั้นให้จับตาดูนักการเมืองที่ชื่อ ‘ส’ (คุณหญิงสุดารัตน์) นั่นเป็นการพลาดครั้งแรก แต่การดูภาพรวมถูกต้อง เพราะตอนนั้นเราไม่มีดวงผู้หญิงแนวหน้าของประเทศไว้ในมือ


การทำนายบอกภาพรวมได้ หรือมีครั้งหนึ่งพิสูจน์ความแม่น ตอนนั้นฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดสนามบิน สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี หาสนามบินลงไม่ได้ การเมืองวุ่นวายมาก อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ ผู้บริหารเครือเนชั่น โทรมาถามว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร เราก็บอกไปว่า ไม่รู้นะ วันที่ 4-17 ธันวาคม ปี 2551 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนั้นคนถามก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ พอมาวันที่ 4 ธันวาคมมีการแถลงเปลี่ยนขั้วการเมืองที่โรงแรมสุโขทัย และโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีวันที่ 15 ธันวาคม 2551


การทำนายชื่อนายกรัฐมนตรีผู้หญิงพลาดครั้งนั้น จะให้เหตุผลอย่างไร
หมอรักษาโรค ยังวินิจฉัยโรคผิดได้ เราก็เคยบอกว่า อย่าเชื่อเรามาก นี่เป็นแค่แนวทาง ดวงดาวเป็นแค่สิ่งที่บ่งบอกแนวโน้ม แต่ต้องประกอบการกระทำของคน ณ ปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องแนวทางพุทธศาสนา


การตีความเรื่องดวง เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ คุณกลัวพลาดบ้างไหม
แม้โหรแต่ละคนจะรู้เหมือนกัน แต่ตีความไม่เหมือนกัน โหรแฉล้ม เหลี่ยมเพชรรัตน์ เคยหาฤกษ์ให้พระองค์เจ้าบวรเดชปฎิวัติ แล้วคนไม่ทำตาม ท่านก็เลยเป็นกบฏ ติดคุก หนีจากเกาะตะรุเตาไปลังกาวี ซึ่งโหรคนนี้บอกว่า ถ้าเรียนโหรยังไม่ถึง 30 ปี อย่าเรียกตัวเองว่าโหร อย่างเราเรียนมา 13 ปี เราบอกว่าเป็นโหรสมัครเล่น ถ้าดูจากดวงดาว ดาวที่เดินช้าที่สุดคือ พระเสาร์ ครบรอบวงโคจรของพระเสาร์ คือ ครบรอบในชีวิตคน 30 ปี พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วสามสิบปี พระองค์จึงออกบวช เราทำงานครบ 30 ปีออกจากราชการเลย เหลืออีกสองปีไม่คอยแล้ว เพราะครบรอบพระเสาร์ ดวงของเรา คือดวงครูที่เราศึกษาด้วยตัวเอง


ถ้าจะให้มองผ่านโหราศาสตร์...ในอนาคต ถ้าคนที่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง จะไม่ทันคนอื่น รวมทั้งตัวเราด้วย เราจึงหยุดทางสื่อ เพราะโลกเปลี่ยนไปเยอะ วิชาทางด้านโหรบอกได้มากกว่าสื่อฯ แต่การใช้ภาษาโหราศาสตร์อธิบายให้ผู้คนเข้าใจได้ยากมาก จึงเข็ดกับการให้สัมภาษณ์ เพราะที่ผ่านมา เวลาพูดไป คนเอาไปโพส แล้วโพสผิด วิชาโหราศาสตร์ทำนายได้แม่นนะ เราจึงหันมาใช้วิธีเขียน เล่มที่เขียนดวงเมืองชื่อ "รับมือ...เทวสุรสงคราม สยามประเทศ"เป็นผลงานร่วมกับภิญโญ พงศ์เจริญ เขียนไว้ล่วงหน้าเป็นปีแล้ว ตอนนั้นมีคนอ่านแล้วด่าว่า "บ้า" แต่เป็นจริงหมด โดยเฉพาะข่าวร้ายๆ แต่เวลาดูดวงให้เพื่อนๆ ไม่ว่าจะดวงดีหรือดวงตก เราจะบอกว่า ดวงดาวเป็นแค่สิ่งที่บ่งบอก แต่การกระทำเป็นของมนุษย์ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เชื่อเรื่องดวงดาว ให้เชื่อการกระทำของตนเอง คือกฎของการกระทำ ชีวิตคนเราแค่ทำดีก็พอแล้ว ทำไมต้องไปบูชาราหู สวดมนต์บทอิติปิโสก็สูงสุดแล้ว


ทำไมไม่ยึดอาชีพหมอดูไปเลย
ทุกคนก็ถามว่า ทำไมไม่เปิดรับดูดวง เราก็บอกว่า รำคาญคน เพราะบางคนตีหนึ่ง ตีสอง ก็โทรมา แต่ในอนาคตไม่แน่
เวลานึกถึงดวงเมือง หลายคนนึกถึงฟองสนาน จามรจันทร์ นั่นเพราะคุณนำความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์การเมืองมาใช้หรือเปล่า
คนส่วนใหญ่พูดอย่างนั้น เพราะเห็นว่าเราเป็นนักข่าวสายการเมืองมานาน แต่เราทายเรื่องดวงเมืองแตก เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2555 ทำนายล่วงหน้าปีกว่าๆ คุณจะเชื่อไหมว่า จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ตอนนั้นมีคนด่าว่า อีบ้าทั้งเมือง


ถ้าอย่างนั้นก็เข้าประเด็นเลยกับคำถามยอดฮิต ดวงเมืองตอนนี้เป็นอย่างไร
เสาหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์วางเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2325 สมัยรัชกาลที่ 1 เวลา 6.54 น. ก็คือ ดวงเมือง ณ วินาทีนั้น และต่อไปจะเป็นแผนที่ชีวิตดวงเมือง ดาวทุกดวงเคลื่อนไปเรื่อยๆ แต่เมื่อทำมุมกับดวงเมืองที่นิ่งแล้ว เราก็ใช้ทำนายจากดาวที่เคลื่อนไป อย่างพระยาโหราธิบดี พ่อศรีปราชญ์ ได้ทำแผนที่ชีวิตลูกไว้ตั้งแต่เกิด ก็เลยรู้ว่า ในอนาคตศรีปราชญ์จะถูกตัดคอ จึงขอพะมหากษัตริย์ไว้ว่า ถ้าลูกตัวเองทำผิดอย่าประหาร ขอแค่เนรเทศ กระทั่งศรีปราชญ์มีเรื่องกับพระสนมก็ถูกเนรเทศ แต่ในที่สุดศรีปราชญ์ก็หนีชะตากรรมตัวเองไม่พ้น แต่อย่างไรก็ตาม โหรที่เก่งจริงๆ เมื่อรู้วันเกิด ก็รู้วันตาย


ส่วนดวงเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ที่วางไว้เข้มแข็ง มีรากฐานที่มั่นคง มีบางช่วงเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่ไม่ล้ม ไม่ถูกทำลาย ยกเว้นย้ายเมืองหลวง แล้ววางเสาหลักเมืองใหม่ ย้อนไปเมื่อสมัยวางเสาหลักเมือง หลังจากนั้น ปี2328 กรุงรัตนโกสินทร์เจอศึก 9 ทัพ ทั้งๆ ที่กรุงรัตนโกสินทร์มีกำลังคนแค่เจ็ดหมื่น แต่ชนะศึกที่ลาดหญ้า นั่นแหละความเข้มแข็งดวงเมือง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นแพ้สงคราม แล้วไทยแพ้ด้วยหรือเปล่า หรือช่วงเวียดนามแตก ในช่วงนั้นคอมมิวนิสต์เฟื่องฟู ใครๆ ก็นึกว่า ไทยจะล้มเป็นโดมิโน แต่ในที่สุดดวงเมืองและคนไทยเข้มแข็งมาก


ณ ปัจจุบัน ดวงเมืองแตกเป็นสองเสี่ยง แม้จะเข้มแข็งในตัวเอง แต่ก็มีเรื่องร้ายๆ ซึ่งก็เหมือนชีวิตเรา มีทั้งดีและร้าย แต่ดวงเมืองเข้มแข็ง ก็เอาตัวรอดได้ สาเหตุที่ดวงแตกเพราะพระเสาร์ เทพเจ้าแห่งความระทมจรมา ดวงเมืองแตกขั้นที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2555 ครั้นมาถึงวันที่ 11 ธันวาคม 2555 พระราหูเจ้าแห่งความลุ่มหลงมัวเมา เล็งใส่อีก คนไทยแตกเป็นสองข้าง


ดวงเมืองที่แตกมาตั้งแต่ปี 2555 ช่วงนี้ขึ้นสูงสุดที่สุมเสี่ยงจะปะทะกัน ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน- 16 ธันวาคม 2556 หลังจากนั้นจะดีขึ้น ถ้าเปรียบเทียบกับศึก 9 ทัพ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2556 จะเหมือนคนไทยชนะศึกที่ลาดหญ้า ปรากฏว่ามีการคว่ำร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และวันที่ 11 ธันวาคม 2556 จะเหมือนวันที่เราชนะศึกแถลง แต่วันนั้นรัฐบาลและการเมืองจะเปลี่ยนไป และไม่รู้ว่าจะออกมารูปแบบไหน แต่สุ่มเสี่ยงการปะทะกัน


ในมุมโหราศาสตร์ แนวโน้มประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
ถ้าเหตุการณ์ครั้งนี้ ผ่านไปถึงสิ้นปีได้ สถานการณ์จะเบาลง มีปรากฎการณ์หนึ่งในช่วงดวงเมืองแตก ซึ่งอธิบายยากมาก จะมีการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในเมืองไทย เพราะดาวสองขั้วตรึงกัน พฤหัสบดีดาวดี ดาวเสาร์ตรึงกับดวงเมือง บ่งบอกว่า ดวงเมืองจะถูกบีบให้เดินในทางไม่อยากเดิน ตั้งแต่ 30 พฤษภาคม 2556 ดวงเมืองต้องสู้อย่างหนัก แต่เมื่อผ่านพ้นวันที่ 17 มิถุนายน 2557 ดวงจะเลิกตรึงกัน ไปสู่กระบวนการวิวัฒนาการที่ดีขึ้น ทั้งการเมืองและสังคม และวันที่ 1 กค. 2557 ดวงเมืองจะหยุดแตกขั้นที่ 1 จากนั้นวันที่ 27 พย. 2557 ดวงเมืองจะหยุดแตกขั้นที่สอง และหลังวันเกิดดวงเมือง 21 เมษายน 2558 เราจะเข้าสู่ยุคใหม่ ศิวิไลซ์กว่าเดิม โหรสมัครเล่นเช่นเราจะบอกได้แค่แนวโน้มใหญ่ เพราะการตรึงกันของดาวพฤหัสบดีและพระเสาร์ดาวร้าย ใครไม่เปลี่ยนตัวเอง จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง


หลังวันที่ 21 เมษายน 2558 ประเทศจะเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ถ้าคน องค์กร หรือ ทุกฝ่ายยังงมงายกับสิ่งเดิม จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เป็นไปตามกระแสโลก ซึ่งต่อไปเมืองไทยจะรุ่งเรืองไปอีกนาน หลังจากดวงเมืองแตก แต่ตั้งแต่วันที่ 1 กค. 2557 เราจะเจอปัญหาเศรษฐกิจ มีปรากฎการณ์ราหูล่าหนี้ประชาชนและประเทศเป็นเวลาปีกว่าๆ ใครมีหนี้ระวังจะเดือดร้อน หนี้รัฐบาล หนี้ส่วนตัวจะหนักหนา ให้เตรียมเคลียร์หนี้ และไม่ต้องถามว่าทำไม ไม่สามารถตอบตามหลักเหตุและผลแบบวิทยาศาสตร์ได้


ที่บอกว่า เข้าสู่ยุคใหม่ จะช่วยอธิบายเพิ่มเติมได้ไหม
ถ้าไม่ใช่มุมโหราศาสตร์ อย่าถามเลย เราก็อยากอยู่ ดูให้ถึงตอนนั้นเหมือนกัน แต่ก็มีความหวัง ไม่ว่าเรื่องร้ายแรงจะเกิดกับคนไทยอย่างไร เรามีดวงเมืองที่เข้มแข็ง แต่สิ่งที่จะเกิดกับการเมืองต่อไป แปลกประหลาดมาก เกินคาดการณ์ คาดฝัน เกินจินตนาการของโหรอย่างเรา ไม่ว่าจะเกี่ยวกับรัฐบาล ฝ่ายค้านและประชาชน แต่ขอเตือนว่า การเมืองไทย แค่ลาออก ยุบสภาไม่พอ ต้องปฎิรูปใหญ่ ซึ่งคนไทยปรับตัวไปก่อนการเมืองแล้ว


ทำนายแบบนี้ กลัวพลาดบ้างไหม
ดวงดาวไม่เคยโกหก แต่เราไม่ใช่ผู้วิเศษ ไม่ได้เก่งกาจอะไร ดูตามดวงดาวตามตำรา สิ่งที่ทายถูก ไม่ใช่ฟองสนานเก่ง อาศัยขยันเรียนและตำราทั้งนั้น ตำราครูโหรที่ใช้ประจำเป็นหลักคือ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ,อ.เทอม เสตะกสิกร ,มหาบรรเทา จันทรศร และอาจารย์เชย บัวก้านทอง ถ้าว่าตามหลักแล้ว ไม่เคยพลาด อย่างคุณทักษิณเคยอ่านผิด คิดว่าวันที่ 8 ตุลาคม 2556 ประชาชนจะล้มรัฐบาลให้ได้ แต่วันนั้นเพิ่งเริ่มเข้าสู่กระบวนการล้มรัฐบาล


การเตรียมตัวเข้าสู่ยุคใหม่ มีข้อแนะนำอย่างไร
ควรฝึกภาษาอื่นๆ มากขึ้น ทำตัวให้ทันสมัยเข้าไว้ อย่าตกสมัย อย่าเพลิดเพลินไปกับอะไรมากไป เพราะโลกตะวันตกกลับมาหาเรื่องการทำสมาธิ ความสงบทางใจ ไม่มีอะไรดีเท่าความสงบทางใจ


นอกจากเรื่องโหราศาสตร์ การเป็นนักข่าวสายการเมืองมานาน คุณค้นพบสัจธรรมอะไรบ้าง
เห็นชัดๆ ความเป็นรัฐมนตรี ไม่ว่ายุคไหน วันแรกๆ รับพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม รัฐมนตรีจะหน้าใส ผ่านไปเก้าเดือน ตาตก เครียด พอพ้นจากตำแหน่งเศร้า หลังจากนั้นหกเดือนหน้าตากลับมาสดใสเหมือนเดิม มันนรกชัดๆ นั่นทำให้เราไม่เคยอยากเป็นอะไร ขอเป็นแค่นักจัดรายการที่เรารัก เป็นโหรอย่างที่เราชอบ นั่งเล่นหุ้นสบายใจกว่าเยอะ


สถานการณ์สื่อในโลกยุคใหม่ต้องปรับตัวอย่างไร
ตั้งแต่มีสื่อออนไลน์ ไม่มีพรหมแดนที่เหลือเป็นกรอบเก่าอยู่เลย ทำให้ไม่มีกรอบ เหมือนที่เราเรียนในคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เปลี่ยนไปจนนึกไม่ถึง อาณาจักรสื่อที่เคยยิ่งใหญ่ อาจพังทลายลง เพราะสื่อออนไลน์ทำให้คนได้ข่าวสารข้อมูลเหมือนกัน โลกเปลี่ยน ทำให้หนังสือพิมพ์ใหญ่ๆ ของโลกอยู่ไม่ได้ แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์หัวสีในอเมริกาที่เคยกุมความเป็นความตายของสังคม อยู่ไม่ได้แล้ว ทุกวันนี้แม้ผู้คนจะไม่ได้ฝึกมาเป็นสื่อสารมวลชน แต่ทุกคนสามารถถ่ายรูป เอาขึ้นเฟสบุ๊คเล่าเรื่องได้เลย แชร์กันเหมือนไฟลามทุ่ง คล้ายๆ ว่าจะเป็นสื่อได้ในตัวเอง


แต่อย่างไรก็ตาม สื่อกระแสหลัก ก็มีความเป็นมืออาชีพมากกว่าไม่ใช่หรือ
ก็ใช่ แต่ถ้าสื่อกระแสหลักไม่ปรับตัว ก็แย่ โลกใบนี้ไม่ได้อยู่ที่สื่อกระแสหลักเหมือนที่เราคิดอีกแล้ว ดูอย่างการชุมนุมตอนนี้ ปลุกกันด้วยเฟสบุ้ค ไลน์ ฟรีทีวีไม่ดูก็ได้ ก็ดูทีวีดาวเทียม แล้วอีกไม่นาน ทีวีดิจิตอล 48 ช่องก็มาแล้ว อย่างเราเองก็ถามตัวเองตลอด เพราะเราก็ถูกสอนมาจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ในเรื่องการเป็นสื่อ เราต้องมีจรรยาบรรณ แต่ตอนนี้มันท้าทายมาก กรอบของสื่อ กรอบของสังคมถูกทะลายลงหมด ปัจจุบันมีทั้งสื่อที่ไม่น่าเชื่อถือ สื่อเลือกข้าง และสื่อที่ไม่เป็นที่พึ่งประชาชน ซึ่งสิ่งที่จะยับยั้งได้ ก็คือ จรรยาบรรณของแต่ละคน สำนึกส่วนตัวที่ทำให้เรารอด ไม่ใช่จรรยาบรรณขององค์กร อย่างสภาการหนังสือพิมพ์อีกแล้ว


อย่างนักจัดรายการทีวีสถานีหนึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม เขาก็ลาออกจากสมาชิกสภาการหนังสือพิมพ์ไปเลย ใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เขาไม่แคร์ และอยู่ได้ในสังคม เรื่องนี้เรามองว่า กรอบของสื่อ กรอบของสังคมที่เคยจำกัด พังทลายลงด้วยสื่อออนไลน์ ในยุคนี้องค์กรสื่อก็ทำหน้าที่หาโฆษณาเอง สมัยก่อนเราเป็นสื่อฯ ต้องแยกกองบรรณาธิการออกจากกองจัดการ เราจะไม่ยุ่งกับโฆษณา เมื่อเจ้าของสื่อมาเป็นสื่อเอง ไม่เหลือกรอบอะไรให้เราวัดแล้ว แต่ต้องดูว่า เขาทำหน้าที่ของเขาหรือเปล่า บางคนเป็นเจ้าของสื่อด้วย เป็นสื่อด้วย แต่ทำหน้าที่ได้ดีอย่างสุทธิชัย หยุ่น โดยหลักการนิเทศศาสตร์ไม่ถูกต้อง แต่เขาก็เล่นบทบาทได้ดี ไม่น่าเกลียด


คุณคิดเห็นอย่างไรกับสื่อเลือกข้าง
ในยุคนี้สื่อเลือกข้างมีเยอะขึ้น จนประชาชนไม่รู้จะเชื่อข้อมูลส่วนไหน สื่อถูกท้าท้ายโดยกรอบของสังคมที่เปลี่ยนไป และกรอบของสื่อที่เปลี่ยนไป ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำคือ ยืนอยู่บนจรรยาบรรณที่เข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นจะอยู่ในวังวน อย่างคุณเป็นสื่อฯ คุณควรขายประกันเองไหม เป็นสื่อ...ควรหาโฆษณาเข้ารายการหรือเปล่า การเป็นสื่อและเจ้าของสื่อ หรือเจ้าของรายการ มัวไปหมด


ในยุคหนึ่ง คุณก็เคยถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลาง แล้วทำไมไม่ออกมาพิสูจนตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเอง เราเป็นอย่างที่เราเป็น ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดในสิ่งที่เราเชื่อ...ก็จบ ไม่ว่าคนอื่นจะคิดยังไง เราก็ต้องกำกับตัวเองว่า ฉันทำได้ดีที่สุดแล้ว


ถ้าดีที่สุดในมุมของคุณ ไม่ดีที่สุดในสังคมล่ะ
ก็แล้วแต่คนตัดสิน แต่เรารู้ว่า สำนึกส่วนตัวของเราเป็นอย่างนี้ เราต้องยืนในจุดที่ถูกต้อง แล้วเราต้องไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น แต่ถูกต้อง ก็ต้องมีสำนึกกำกับนะ ถ้าทำดีที่สุดแล้ว มันได้แค่นี้..ก็จบ ไม่อย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างมีคนชวนเราไปเป็นที่ปรึกษานักการเมือง ตราบใดที่เป็นสื่อฯอยู่ เราก็ไม่รับตำแหน่งนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เคยถูกขอมากที่สุด ให้เป็นที่ปรึกษานั่นโน้น เราไม่รับ มันไม่ใช่หน้าที่เรา หน้าที่สื่อฯคือ ตรวจสอบนักการเมือง


สื่อทีวีกระแสหลักในสถานการณ์ตอนนี้ คุณมองอย่างไร
ถ้าสื่อทีวีหรือสื่อวิทยุจะทำหน้าที่ก็ต้องให้ข้อมูลทุกด้าน แม้จะมีความคิดของตัวเอง ชอบฝ่ายไหน อันนี้ยอมรับได้ แต่ต้องให้ข้อมูลของอีกฝ่ายหนึ่งเต็มที่เหมือนกัน อย่างสถานการณ์ตอนนี้ เป็นเรื่องใหญ่ ไม่รายงานได้อย่างไร


จะเรียกว่า...วิกฤติสื่อกระแสหลักได้ไหม
เราปฎิเสธสื่อกระแสหลักไปเลย ไม่ไหวแล้ว สงสารพวกเขาที่ไม่พยายามทำหน้าที่ ไม่ว่าสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อทีวี วิทยุ ถ้าไม่ทำหน้าที่ก็ไม่เป็นไร เรามีทางเลือกเยอะ สื่อออนไลน์และสื่อต่างชาติก็มีให้ดูเยอะ ถ้าวันหนึ่งสื่อไม่ทำหน้าที่และไม่ปรับตัว พวกเธอก็จะตายเอง สักวันหนึ่งสื่อแบบนั้นจะถูกทอดทิ้ง เพราะในกรณีสถานการณ์การประท้วง ถ้าเป็นสื่อต่างประเทศ ไม่ว่าจะเสื้อสีไหน เขาจะให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน แต่สื่อบ้านเราจะให้น้ำหนักกับรัฐบาลเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง ถ้าเราเป็นสื่อฯ ตอนนี้ เราทำไม่ได้ ก็หยุดรายการไปเลย อย่างตอนที่เราเป็นข้าราชการ มีใบสั่งทางการเมืองมา ไม่ว่ายุคไหน เราก็ไม่ทำตาม เรารอวันปิดรายการของเรา เราไม่ทำในสิ่งที่เราไม่เชื่อ อยากปิดรายการ...ปิดเลย อยากย้ายเราไปที่อื่น...ย้ายเลย แต่เราจะไม่เสียหลักการที่เราเชื่อ เราจะทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องและดีที่สุด แม้จะมีคนมองว่า เข้าข้างนั้นข้างนี้ ...เราไม่ว่า แต่เรามีจุดยืนว่าจะทำอย่างนี้


ตอนจัดรายการวิทยุ โดนปิดรายการกี่ครั้ง
(หัวเราะ) ไม่ต้องถามเลย รายการเราเป็นเป้าหมายแรก เพราะฟองสนานปากเสีย ทั้งโดนปิดและโดนย้าย โดนมาตลอด เป็นตัวแสบ เพราะเราเป็นนักจัดรายการวิทยุราชการ แต่ทำตัวยิ่งกว่าเอกชน อยากวิจารณ์ใครก็ทำ เราก็ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น


ตอนที่ถูกคุกคาม...กลัวไหม
กลัวสิ ไม่มีทางไม่กลัวหรอก เพราะกระทบครอบครัว โดนมาหลายแบบ แต่กลัวไป ก็สู้ไป เคยโดนย้าย โดนเขียนด่าในห้องน้ำ และเคยถูกขู่วางระเบิดที่บ้าน หรือไม่ก็ย้ายสายงานยี่สิบสี่ชั่วโมงไปต่างจังหวัด คนเราเมื่อมีหน้าที่ ก็ทำไป ไม่อย่างนั้นก็ออกจากวงการไปซะ แต่เราจะไม่ทำในสิ่งที่เราไม่เชื่อ ไม่ทำผิดจากหลักการที่คณะนิเทศศาสตร์สอนเรา สมัยหนึ่งเคยมีเพื่อนลูกสาวบอกว่า "แม่เธอถูกย้าย...ซ่านัก" ลูกสาวบอกเพื่อนว่า "แม่ฉันไม่ได้ถูกย้ายเพราะโกง" ตอนนั้นเคยมีนักการเมืองคนหนึ่งบอกว่า ถ้ากล่าวชื่อเขาแต่ละครั้งในรายการวิทยุให้หนึ่งพันบาท เราก็เฉย และตั้งแต่นั้นมา นักการเมืองชื่อนั้น ไม่ได้ออกรายการเราอีกเลย


ถ้าไม่เชื่อในสิ่งนั้น คุณจะไม่นำเสนอ ?
อย่างเช่น ไม่เชื่อว่า การไม่ยอมรับศาลรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องถูกต้อง เราบอกได้เลยว่า ไม่ถูก เราคนไทยไม่เคารพศาลรัฐธรรมนูญได้ยังไง หรือกรณีคุณชายสุขุมพันธุ์ บริพัตร เซ็นอนุมัติต่ออายุสัญญาณบีทีเอส 13 ปี เราก็ต่อต้านในรายการวิทยุ หรือกรณีอภิรักษ์ โกษะโยธิน เซ็นต์สัญญารถเรือดับเพลิง เราก็ต่อต้านตั้งแต่ยกแรก


ในช่วงเป็นนักข่าวการเมือง ข้อหาใดภาคภูมิใจที่สุด
เคยถูกกล่าวหาว่า รับเงินคุณชวน หลีกภัย ข้อหานี้ชอบมากเลย เพราะคุณชวนเคยจ่ายเงินใครบ้างละ


หลังจากเออร์รี่รีไทร์ คุณทำอะไรบ้าง
ตั้งแต่เออรี่รีไทร์ปีที่แล้ว มีคนตามไปจัดรายการทีวีกว่าสิบครั้ง ก็ปฏิเสธไป เพราะไม่ใช่วิถีชีวิตที่เราถนัด ออกทีวีต้องสวยและทำฉลาด แต่จัดรายการวิทยุ เราจะนั่งถ่างขา หรือ นุ่งผ้าขาวม้าจัดก็ได้(หัวเราะ) การดำเนินรายการทีวีไม่ใช่ทางเรา ถ้าไม่ได้ทำอะไรที่เป็นตัวของตัวเอง ทำในสิ่งที่เราเชื่อมั่น เราคงทำไม่ได้ดี ตอนนี้จัดรายการวิทยุทันข่าว ทางเอฟเอ็ม 98 ช่วงสองทุ่ม-สองทุ่มครึ่ง เขียนหนังสือ และมีบำนาญก็ไม่เดือดร้อน ไม่ต้องใฝ่คว้าเหมือนตอนสร้างเนื้อสร้างตัว