อุ่นไอรักใน 'Korea'

ฉากรักแสนโรแมนติกในซีรีส์เกาหลี ไม่ได้มีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มอัตราเร่งของชีพจรการเดินทางได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เป็นอีกครั้งที่ฉันได้ไปยืนสูดกลิ่นโสมผสมกิมจิในดินแดนที่ส่งออกความโรแมนติกจนฮอตฮิตติดตลาด แต่ครั้งนี้เป็นการตามรอยสถานที่ถ่ายทำละคร Full House เวอร์ชั่นไทย 'วุ่นนักรัก รักเต็มบ้าน' ตามคำเชิญขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี และแฮปปี้โคเรีย บาย เคทีซีซี
เมืองอินชอน (INCHEON)
คำแนะนำตัวของ อินชอน คือเป็นเมืองท่าที่สำคัญ อยู่ห่างจากกรุงโซลเพียงหนึ่งชั่วโมง เป็นเมืองศูนย์กลางธุรกิจนานาชาติและอุตสาหกรรมไฮเทค สนามบินนานาชาติอินชอนเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และล่าสุดเมืองอินชอนแห่งนี้ยังได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 17 ในปี 2014 ระหว่างวันที่ 19 กันยายน - 4 ตุลาคม พ.ศ.2557
แม้จะเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของเกาหลีใต้ แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทริปนี้เราเลยถือโอกาสสำรวจสถานที่ท่องเที่ยวที่เจ้าบ้านบอกว่าน่าสนใจไม่น้อยหน้าเมืองอื่น ทั้งในเขตเมืองนานาชาติซงโด, เขตวอลมิโดและไชน่าทาวน์, เขตคังฮวา และย่านใจกลางเมือง
ไม่รอช้าทันทีที่ถึงออกจากสนามบินอินชอน เรามุ่งหน้าสู่ สะพานอินชอน (Incheon Bridge) ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมท่าอากาศยานนานาชาติอินชอนกับเขตธุรกิจนานาชาติซงโด สะพานนี้มีความยาว 21.27 กิโลเมตร เป็นสะพานแขวนที่ขึงด้วยเคเบิลที่ยาวเป็นอันดับ 5 ของโลก และยาวที่สุดในเกาหลี เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจด้านวิศวกรรมของคนที่นี่
ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงท่าเรือเพื่อมุ่งหน้าไปสู่ที่หมายแห่งแรก นั่นคือ เกาะวอลมิโด (Wolmi-do Island) จุดนี้นักท่องเที่ยวสามารถนำรถยนต์ลงไปในเรือที่เรียกว่า เรือนกนางนวลวอลมิโด ได้เลย กิจกรรมบนเรือนอกจากจากชมวิวทิวทัศน์แบบชิลๆ แล้ว ก็จะมีนกนางนวลฝูงใหญ่โฉบมาสร้างสีสัน คอยจิกอาหารจากมือนักท่องเที่ยว เรียกเสียงรัวชัตเตอร์ได้แบบไม่ยั้ง
ให้อาหารนกกันเพลินๆ รู้ตัวอีกทีเราก็มาถึงเกาะที่ว่ากันว่าเหมาะแก่การเดินจูงมือชมธรรมชาติภูเขาและท้องทะเลแสนงาม ยิ่งในยามอาทิตย์อัสดงยิ่งโรแมนติก จะล่องเรือเฟอร์รี่ หรือดินเนอร์ใต้แสงเทียนก็เหมาะ โดยเฉพาะในยามค่ำคืนทุกคนจะมารวมตัวกันที่ถนนวัฒนธรรมวอลมิ (Wolmi Culture Street) เพื่อชมน้ำพุหลากสีประกอบเสียงเพลง เช่นเดียวกับพระเอกนางเอกของ Full House เวอร์ชั่นไทยที่ก็มาเดินเที่ยวเล่นกินลมชมวิวกันแบบน่ารักๆ
เกาะนี้นอกจากจะมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติและระบบนิเวศวิทยา ยังเป็นทั้งสถานที่เก็บรวบรวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของประเทศเกาหลี ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของเมืองอินชอน
เรามาถึงวอลมิโดตอนสาย กิจกรรมที่ดูจะเหมาะที่สุดคือการไปชมธรรมชาติที่ สวนวอลมิโด (Wolmi-do Traditional Park) พื้นที่นี้เป็นศูนย์รวมทางพฤษศาสตร์ที่หลากหลาย ด้านบนสุดของยอดเขาเป็นที่ตั้งของ หอคอยสังเกตการณ์วอลมิ (Wolmi Observatory) ซึ่งสามารถขึ้นไปบนหอแห่งนี้เพื่อชมฟ้าใสๆ ตัดกับท้องทะเล รวมทั้งเกาะต่างๆ ที่อยู่รายรอบ ในยามค่ำหอคอยแห่งนี้จะสวยงามด้วยแสงไฟประดับ
กลับลงมาด้านล่าง เดินทางต่อไปยัง สวนประเพณีเกาหลี (Korean Traditional Garden) ซึ่งนอกจากจะมีการจัดต้นไม้ดอกไม้ไว้อย่างสวยงามแล้ว ยังมีการจำลองสถาปัตยกรรมแบบเกาหลีโบราณไว้ใช้ชม ส่วนใครที่อยากอินสุดๆ เขามีชุดประจำชาติที่เรียกว่า ฮันบก ไว้ให้ใส่ถ่ายรูปกันด้วย และถ้าโชคดีก็อาจจะได้ชมการละเล่นพื้นเมือง ว่ากันว่าในฤดูใบไม้ผลิ สวนแห่งนี้จะสวยงามไปด้วยดอกซากุระ ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงจะสดใสด้วยดอกเบญจมาศ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมตามเทศกาลและงานอีเวนท์ต่างๆ ตลอดทั้งปี
ไม่ไกลจากสวนประเพณีเกาหลี เรามีโอกาสไปทดลองทำอาหารที่ ศูนย์วัฒนธรรมอาหารโบราณ (Korea Traditional Food and Experience Center) ที่นี่เป็นศูนย์การศึกษาเรียนรู้และอนุรักษ์วิธีการทำอาหารเกาหลีโบราณ รวมถึงอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของอาหารเกาหลี มีอาจารย์จินยองฮวัน เป็นผู้ดูแล ท่านผู้นี้มีบทบาทสำคัญในละครเกาหลีเรื่องดัง แดจังกึม อีกด้วย
ชิมอาหารชาววังแล้ว ยามบ่ายก็ได้เวลาชิมอาหารพื้นบ้านพื้นเมืองกันบ้าง เราไปกันที่ ตลาดซินโป ตลาดเก่าอายุกว่า 100 ปี ที่นี่มีชื่อเสียงในหมู่คนเกาหลีและเริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว บรรยากาศก็เป็นแบบตลาดสดทั่วไปแต่สะอาดสะอ้าน มีทั้งอาหารและของกินเล่น ผักผลไม้สารพัดชนิด เรียกว่าชิมร้านโน้นนิดร้านนี้หน่อยก็อิ่มไปถึงมื้อเย็นแล้ว
พูดถึงเรื่องอาหาร นอกจากของดั้งเดิมที่พลาดไม่ได้แล้ว ช็อกโกแลต ก็เป็นจุดขายอีกอย่างหนึ่งของเมืองนี้ ที่พิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต Genese : The New World of Chocolate นักท่องเที่ยวจะได้ทำช็อกโกแลตด้วยตัวเอง และเมื่อทำเสร็จแล้วเขามีบริการบรรจุกล่องให้ฟรีเพื่อให้นำไปฝากคนที่รักเป็นของขวัญด้วย (ค่าเข้าชมและทำช็อกโกแลต คนละ 10,000 วอน (ประมาณ 280-300 บาท) ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง)
กังวอนโด (Gangwondo)
จะเรียกว่าเป็นเมืองแห่งภูเขาก็ได้ สำหรับกังวอนโด เนื่องจากมีภูเขามากที่สุดถึง 82 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ พื้นที่บางส่วนติดกับทะเล ทำให้มีทั้งเกษตรกรรมและการประมง อาหารการกินจึงอุดมสมบูรณ์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ โดยเฉพาะในฤดูหนาว นักท่องเที่ยวนิยมมาพักตามสกีรีสอร์ท เล่นสกี และสัมผัสกับความเย็นยะเยือกของหิมะที่ห่มคลุมเมืองทั้งเมือง
ส่วนฤดูอื่นๆ ก็ยังเที่ยวได้ทั้งปี ทริปนี้เราได้ไปปั่นจักรยานบนรางรถไฟกันที่ Gangchon Rail Park ตามประวัติบอกว่า สมัยก่อนเส้นทางนี้มีรถไฟผ่าน แต่เนื่องจากคนท้องถิ่นหันมาใช้บริการ KTX กันมาก เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางรถไฟเดิมจึงให้เป็น Rail Bike เพื่อบริการนักท่องเที่ยว
อากาศเย็นๆ ยามเช้า กับแดดอ่อนๆ ชวนให้ทุกคนไม่รีรอที่จะออกแรงปั่นจักรยานแบบสี่ที่นั่งไปตามรางรถไฟ เส้นทางนี้จะมองเห็นหุบเขา บ้านเรือน และสายน้ำ บางช่วงต้องออกแรงมากหน่อยเพราะเป็นการปั่นขึ้นเนิน แต่บางช่วงก็มีตัวช่วยให้ปั่นได้แบบชิลชิล ชมวิวถ่ายรูปกันสนุกสนานตลอดเส้นทางไม่มากไม่น้อย 5 ไมล์โดยประมาณ
ออกแรงขากันไปพอสมควร ก็ได้เวลาไปซึมซับความโรแมนติกกับสถานที่แสนสวยที่ถูกเนรมิตขึ้นภายใต้คอนเซปต์"Small Europe in the Forest” สวนพฤษศาสตร์ Jade Garden มีพื้นที่ถึง 160,000 ตารางเมตร เรียงรายไปด้วยต้นไม้นานานพรรณกว่า 3,000 ชนิด พื้นที่นี้มีทั้งผืนป่าธรรมชาติผสมผสานกับการจัดสวนขนาดเล็กในรูปแบบต่างๆ มากมาย ดอกไม้นานาพรรณ และสถาปัตยกรรมในสไตล์ยุโรป คือเสน่ห์ที่ทำให้หลายคนใช้เวลาอ้อยอิ่งตามมุมต่างๆ เพื่อเก็บภาพประทับใจ
ด้านในสุดของสวนมีน้ำพุสำหรับให้ผู้มาเยี่ยมเยือนได้อธิษฐานขอพร ที่พิเศษสุดคือนักท่องเที่ยวสามารถเขียนจดหมายรักบอกความในใจ โดยมีบริการส่งโปสการ์ดฟรีถึงคนพิเศษให้อีกด้วย และเพราะมีมุมสวยๆ มากมาย ที่นี่จึงกลายเป็นโลเคชั่นยอดฮิตในการถ่ายทำละคร รวมถึงถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในฉากโรแมนติกของเรื่อง Full House ตอนที่พระเอกซึ่งเป็นคนดังตกลงรับปากจะถ่ายโฆษณาคู่กับนางเอกเพื่อสยบข่าวลือไม่ดีต่างๆ
ก่อนจะจบวันที่กังวอนโด เราแวะไปชมความน่ารักของแอนิเมชันแดนกิมจิที่ พิพิธภัณฑ์แอนิเมชั่น เมืองชุนชอน ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์แอนิเมชันแห่งแรกของเกาหลี มีการจัดแสดงเรื่องราวที่น่าสนใจต่างๆ ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชัน จนถึงการสร้างแอนิเมชันในยุคดิจิทัลอย่างในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะเป็นศูนย์รวมการทำแอนิเมชันต่างๆ ทั้งในประเทศและทั่วโลก ยังมีห้องฉายภาพยนตร์แอนิเมชันซึ่งรองรับผู้ชมได้กว่า 200 ที่นั่ง และโรงภาพยนตร์ 3 มิติสำหรับฉายแอนิเมชัน 3D ด้วย
หลังอาหารเย็น คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการพักสายตาบนเตียงนุ่มๆ ทว่า ที่โรงแรม Kensington Flora Hotel มีมากกว่านั้น เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 700 เมตร และเป็นระดับความสูงที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้เป็นที่นิยมในการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงมีบริการแคมปิ้ง เต้นท์ที่พักและบาร์บีคิวมื้ออร่อย สำหรับคนที่ชอบพักผ่อนแบบใกล้ชิดธรรมชาติด้วย
กรุงโซล (Seoul)
เกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่ามาไม่ถึงเกาหลี สุดท้ายเราก็ต้องไปปฏิบัติตามประเพณีนิยมกันที่โซล เริ่มจาก คลองชองเกชอน (Chung Gaey Chun Stream) สถานที่สุดขลังของนักท่องเที่ยวไทย ซึ่งไม่ควรไปแค่ถ่ายรูปสวยๆ เพราะที่นี่มีความเป็นมาน่าเอาอย่าง นั่นคือเป็นคลองที่รัฐบาลเกาหลี ทุ่มงบประมาณกว่า 386 พันล้านวอน พลิกฟื้นจากสภาพดั้งเดิมที่เป็นชุมชนแออัดและมีทางด่วนตัดผ่าน ให้เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง
โดยรัฐบาลขณะนั้นได้ตัดสินใจทุบทางด่วนทิ้งและฟื้นฟูคลองที่เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลให้ทันสมัย มีน้ำพุ น้ำตก และไฟประดับ คลองนี้สร้างเสร็จเมื่อปี 2005 มีระยะทาง 2.9 กม. มักมีการจัดกิจกรรมต่างๆ อยู่เสมอ คนที่มาเที่ยวสามารถลงไปเดินเล่นนั่งเล่นได้ ทำให้ทุกวันมีหนุ่มสาว ครอบครัว นักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นจำนวนมาก
ใกล้กันๆ กันคือ Gwanghwamun หรือเรียกว่า จัตุรัสกวังฮวามุน สัญลักษณ์คือรูปปั้นของพระเจ้าเซจงมหาราช กษัตรย์เกาหลีผู้ประดิษฐ์อักษรเกาหลีให้ใช้แทนอักษรจีน เนื่องจากสมัยก่อนอักษรจีนจะใช้ในราชสำนักและต้องเป็นคนที่เรียนมาเท่านั้นจึงจะอ่านได้ พระเจ้าเซจงจึงคิดประดิษฐ์ตัวอักษรที่มีลักษณะเหมือนรูปปากและลิ้นเวลาออกเสียงแต่ละตัวอักษรและง่ายต่อการเขียน ทำให้คนเกาหลีสมัยนั้นสามารถอ่านออกเขียนได้ และสามารถร้องฎีกาเป็นตัวอักษรกับทางราชการได้ แถวนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า The Historic of the National Symbol Yukjo Street Restored เป็นถนนที่สร้างในสมัยกษัตริย์ทั้ง 6 ของราชวงศ์โชซอน
รำลึกถึงวิสัยทัศน์ของผู้นำเกาหลีกันแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่ทัวร์ไทยไม่เคยพลาดก็คือการชอปปิง หนึ่งในสถานที่ชอปปิงที่ทันสมัยแห่งใหม่ใจกลางกรุงโซลก็คือ "ลอตเต้ โคเอกซ์ ดิวตี้ ฟรี ชอป" (Lotte Coex Duty Free Shop) ที่นี่มีสินค้าแบรนด์เนมให้เลือกหลากหลาย ทั้งเครื่องสำอาง เสื้อผ้า นาฬิกา มากถึง 250 แบรนด์ดัง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หากไม่ได้ไป โซลทาวเวอร์ ถือว่าไม่ครบองค์ประกอบเรื่องความโรแมนติก หลังจากเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์น้องหมี Teddy Bear Museum ทุกคนก็ได้รับกุญแจรูปหัวใจสีแดง เพื่อไปคล้องตามมุมต่างๆ บนระเบียงที่อบอวลไปด้วยความรัก พิธีการก็คือคู่รักจะต้องร่วมกันคล้องกุญแจแล้วโยนลูกกุญแจทิ้ง เพื่อล็อกความรักให้ยั่งยืนตลอดไป จริงหรือไม่ต้องลองพิสูจน์กันดู แต่ที่แน่ๆ นี่เป็นอีกหนึ่งฉากหวานในละครที่กำลังจะออนแอร์ในเร็วๆ นี้เช่นกัน
ก่อนกลับเมืองไทยเราแวะไปลดวัยกันที่ One Mount ซึ่งไม่ใช่คลินิกความงามแต่ประการใด หากแต่เป็นสวนสนุกในเมือง Goyang ใกล้กรุงโซล ภายในมีทั้ง สวนน้ำ (Water Park), ลานหิมะ (Snow Park) และ Shopping Mall ที่นี่นอกจากจะเคยใช้เป็นฉากถ่ายทำ มิวสิควีดิโอเพลง "เจนเทิลแมน" (Gentleman) ของ "ไซ" หรือ "ปาร์ค แจ-ซัง" นักร้องหนุ่มชาวเกาหลีใต้ เจ้าของเพลง "กังนัม สไตล์" แล้ว ยังเป็นฉากที่คู่พระ-นางมาเล่นไอซ์สเกต ลากเลื่อน กันอย่างสนุกสนาน
ไปเกาหลีคราวนี้นอกจากจะได้ตื่นตาตื่นใจกับแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ และความประทับใจในแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อที่หลายคนรู้จักกันดี ยังแอบหวานด้วยเรื่องราวโรแมนติกของคู่รักในซีรีส์ที่เคยทำให้สาวกเคป็อปอมยิ้มมาแล้ว







