เที่ยวละไมไป 3 ประเทศ

เที่ยวละไมไป 3 ประเทศ

จะมีสักกี่ทริปที่จะสามารถเดินทางไปเยือนได้ถึง 3 ประเทศ โดยใช้เวลาเดินทางโดยรถบัสเพียงแค่ 1 วัน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะไปท้าพิสูจน์มาแล้วว่าทริปแบบนี้มีอยู่จริง

เที่ยว 3 ประเทศที่ว่า ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกล แต่เป็นรูทใกล้ๆ เมืองไทยนี่เอง นั่นคือเส้นทาง ไทย - ลาว - เวียดนาม หากมาเที่ยวแบบจัดเต็มแน่นอนว่าคงไม่ได้ใช้เวลาแค่วันเดียวแน่ๆ แต่ที่บอกว่าไปเหยียบ 3 แผ่นดินได้ใน 1 วันนั้นหมายถึงการเดินทางแต่เช้าจาก จ.นครพนม ประเทศไทย ข้ามไปยังประเทศลาว และถึงปลายทางที่เวียดนามได้ในเวลาเพียง 1 วัน ซึ่งท้าทายนักเดินทางอย่างเราๆ มากทีเดียว

นกเหล็กพาเราบินข้ามฟากฟ้ามาด้วยเวลาเพียงชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น เราก็ถึงสนามบิน จ.นครพนม อย่างที่ทราบกันว่า จ.นครพนมถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่ประชาชนมีความสุขมากที่สุดในประเทศไทย สำรวจโดยกรมสุขภาพจิตร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ พอได้มาเห็นของจริงก็อดใจไม่ให้หลงรักไม่ได้ เพราะที่นี่บรรยากาศดี อากาศบริสุทธิ์ ยิ่งผ่านถนนริมโขงจะเห็นผู้คนมาเดินเล่น ปิกนิกกันอย่างมีความสุข คนที่นี่ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย สบาย ไม่ต้องรีบเร่งแข่งขันกันทุกวินาทีเหมือนคนในเมืองกรุง

..เพราะบรรยากาศแบบนี้นี่เอง เข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่นี่ถึงมีความสุข

-1-

ก่อนที่จะสำลักความสุขจากบรรยากาศตรงหน้า ขอพักไปทำใจ(ให้หายอิจฉา)สักนิด ฉันและเพื่อนร่วมทริปอีกหลายชีวิตก็มุ่งหน้าไปเที่ยวชมหมู่บ้านเครื่องดนตรีกันก่อน นั่นคือ หมู่บ้านแคน หรือบ้านท่าเรือ ต.ท่าเรือ อ.นาหว้า จ.นครพนม ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตเครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสานแห่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย ชาวบ้านที่นี่ยึดอาชีพทำแคน โหวด และพิณ ขายเป็นอาชีพหลัก ซึ่งก็ทำรายได้ดีพอสมควร ชาวบ้านมีกินมีใช้กันตลอดปีไม่ต้องเป็นหนี้ ช่างทำแคนรุ่นเก่าคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า แคนของที่นี่ได้รับการยอมรับจากทั้งคนไทยและคนลาว วงดนตรีพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงหลายวงก็มาซื้อเครื่องดนตรีจากบ้านท่าเรือทั้งนั้น

จุดเด่นของแคนบ้านท่าเรือเห็นจะเป็นไม้ไผ่แคน ซึ่งเป็นไผ่ชนิดหนึ่งที่มีปล้องขนาดเล็ก เมื่อใช้มีดบากลงไปให้มีช่องลมแล้วเป่าจะเกิดเสียง แต่ละอันจะให้เสียงต่างกัน เวลาทำแคนช่างทำแคนจึงต้องค่อยๆ เจาะไม้ คอยเป่าแล้วเทียบเสียงโน้ตให้ได้อย่างที่ต้องการแล้วจึงประกอบจนเสร็จเป็นแคน 1 เต้า สนนราคาอยู่ที่เต้าล่ะ 1,200 -1,500 บาท ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีแคนเด็กอันเล็กๆ สำหรับขายเป็นของที่ระลึกด้วย เวลาเป่าอาจจะไม่ไพเราะเหมือนแคนใหญ่ แต่มีเสียงเหมือนนกหวีดซึ่งก็เป็นที่ถูกอกถูกใจเด็กๆ ไม่น้อย

นอกจากเครื่องดนตรี หมู่บ้านแห่งนี้ยังมีกลุ่มทอผ้าไหมบ้านท่าเรือ ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2518 เป็นกลุ่มทอผ้าที่มีชื่อเสียงเพราะมีดีกรีเป็นแชมป์ผ้าไหมทอมือระดับจังหวัด ทั้งยังเป็นกลุ่มที่อนุรักษ์ลายผ้าของนครพนมไว้ได้หลายลาย เช่น ลายหมากจับน้อย ลายหมี่เต่าน้อย ลายหมี่ขอขวดน้อย เป็นต้น และด้วยความที่มีฝีมือดี ช่างทอของที่นี่จึงได้รับโอกาสจากเจ้านายในรั้วในวังให้ทอผ้าไหมส่งเข้าไปให้ที่วังด้วย เป็นอีกความภาคภูมิใจที่ชาวบ้านระลึกถึงเสมอ

เราออกจากบ้านท่าเรือแล้วมุ่งหน้าไปชมหมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม ที่บ้านนาจอก ต.หนองญาติ อ.เมืองนครพนม ที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของ "บ้านลุงโฮ" หรือ "โฮจิมินห์" วีรบุรุษนักปฏิวัติ อดีตประธานาธิบดีแห่งเวียดนาม ที่ครั้งหนึ่งเคยลี้ภัยสงครามเข้ามาอยู่ในไทยในช่วงปีพ.ศ.2466-2472

ตัวบ้านที่เห็นเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ภายในจัดแสดงประวัติและภาพถ่ายลุงโฮไปทั่วบริเวณ ส่วนรอบๆ ตัวบ้านมียุ้งข้าวและเครื่องใช้ไม้สอยของคนสมัยก่อนจัดแสดงไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชม เดินชมไปฟังเจ้าหน้าที่เล่าประวัติศาสตร์เกี่ยวกับลุงโฮไป ก็เพลินดี และทำให้เข้าใจว่าทำไมคนเวียดนามถึงมองคนไทยว่ามีบุญคุณกับเขา นั่นก็เพราะไทยเคยให้ที่พักพิงกับผู้นำที่พวกเขารักและเคารพมากนั่นเอง ไม่เพียงแต่ชาวไทยที่นิยมเดินทางมาชมบ้านหลังนี้ แต่ชาวเวียดนามเองก็ซื้อทัวร์มาชมบ้านลุงโฮที่นครพนมปีละหลายๆ คันรถเช่นกัน

ช่วงเย็นๆ เรานัดหมายกันว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกกันที่ริมโขง แต่จะไปนั่งชมตรงไหนดีล่ะ? ก็เลือกกันอยู่นานจนที่สุดก็ตกลงกันว่าจะไปดูบนเรือ เราจึงลงเรือนำเที่ยวที่ท่าเรือเทศบาล ตรงข้ามกับตลาดอินโดจีนนครพนม ซึ่งเรือบริการนักท่องเที่ยวของที่นี่มีทั้งแบบซื้อตั๋วและแบบเหมาลำ ถ้ามาเที่ยวกันเป็นคณะใหญ่ 50-60 คน ก็เหมาลำได้ในราคาเพียง 1,000 บาท แต่ถ้ามาเที่ยวกันเองก็ซื้อตั๋วขึ้นเรือ โดยตั๋วผู้ใหญ่ราคา 50 บาท และตั๋วเด็กราคา 20 บาทเท่านั้น มีเรือบริการทุกวันโดยจะออกจากท่าเรือเวลา 17.00 น. และกลับเข้าท่าเรืออีกครั้งเวลา 18.00 น. เวลา 1 ชั่วโมงนี้สำหรับฉันแล้วคุ้มค่ามากทีเดียว เพราะได้ชมวิถีชีวิตของผู้คนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงในบรรยากาศที่โปร่งโล่งและเย็นสบาย มีลมพัดปะทะที่ใบหน้าตลอดเวลา มันทั้งสดชื่นและอิ่มเอมใจไปพร้อมๆ กัน ที่สำคัญพระอาทิตย์ที่กำลงตกน้ำนั่นก็สวยงามมากเช่นกัน

-2-

เช้าวันต่อมาเป็นวันที่เราจะต้องมาพิสูจน์กันว่าทริป 1 วัน เยือนแผ่นดิน 3 ประเทศนั้นจะเป็นจริงได้หรือไม่

เราออกจากโรงแรมกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเปลี่ยนยานพาหนะจากรถตู้เป็นรถโค้ชคันใหญ่ เอาล่ะ.. รู้แล้วว่าแผ่นดินแรกที่ได้เหยียบคือแผ่นดินไทยนี่แหละที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทาง หลังจากรองท้องมื้อเช้าเบาๆ ด้วยข้าวต้มปลา เราก็ขึ้นรถและมุ่งหน้าสู่แผ่นดินแห่งที่สองที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยต้องไปทำเอกสารผ่านด่านกันก่อนที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 เชื่อมสองฝั่งโขงไทย-ลาว ระหว่างนครพนม-กับเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 เดือน 11(พฤศจิกายน) ค.ศ. 2011(พ.ศ.2554) ในภาพรวมการท่องเที่ยวในนครพนมดูคึกคักขึ้น เพราะมีคนมาใช้สะพานแห่งนี้ข้ามไปเที่ยวยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น

ใช้เวลาไม่นาน เราก็เคลื่อนรถออกจากด่านพอเข้าสู่แขวงคำม่วน ขณะนั่งรถไปก็ได้ฟังข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางท่อเงที่ยวหมายเลข 12 ไปด้วย โดย ดร.สมชอบ นิติพจน์ นายกอบจ.นครพนมผู้เป็นอีกหนึ่งเรี่ยวแรงสำคัญในการผลักดันให้เกิดโครงการ “วันเดียวเที่ยว 3 ประเทศ” โดยใช้นครพนมเป็นฮับเชื่อมต่อไปยังลาว-เวียดนาม ดร.สมชอบบอกว่า นครพนมเป็นจังหวัดที่มีทำเลที่ตั้งดี มีความพร้อมในการสนับสนุนการท่องเที่ยวซึ่งเชื่อม 3 ประเทศได้ง่าย ปัจจุบันมีเส้นทางหลักที่เชื่อมไทย ลาว เวียดนาม เข้าด้วยกัน 3 เส้นทาง คือ เส้นทางหมายเลข 8, 9 และ12 ซึ่งเส้นทางที่ใกล้ที่สุดคือหมายเลข12

ตลอดสองข้างทางของคำม่วนเต็มไปด้วยความเขียวขจีของป่าไม้ที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก มีช่วงหนึ่งที่เราผ่านจุดที่เรียกว่า ช่องเขาขาด ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยฝรั่งเศสเข้ามาปกครองลาว โดยฝรั่งเศสมาระเบิดภูเขาเพื่อทำเส้นทางคมนาคมขนส่งให้มีมากขึ้น บริเวณนี้จึงเกิดช่องของภูเขาที่ขาดออกจากกันให้เห็นอย่างชัดเจน นั่งรถชมวิวไปเรื่อยๆ ข้างทางมีน้ำตกขนาดเล็กให้เห็นตลอด บางช่วงเราก็จอดพักและแวะลงไปถ่ายรูป พอถึงกลางทางก็ได้เวลาพักกลางวัน เรารับประทานอาหารพื้นเมืองลาวกันแบบจัดเต็ม จากนั้นก็เดินทางกันต่อเพื่อข้ามฝั่งไปยังเวียดนาม ซึ่งจุดนี้เราก็ต้องทำพิธีผ่านทางกันอีกครั้งที่ชายแดนลาว-เวียดนาม บริเวณด่านนาพ้าว(ลาว)-ด่านจอหลอ(เวียดนาม) ครั้งนี้นานหน่อยประมาณ 30 นาที แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ลงรถมายืดเส้นยืดสายพร้อมถ่ายรูปวิวทิวเขาอันสง่างามของเวียดนาม

หลังจากขึ้นรถกันอีกครั้ง กว่าจะรู้ตัวอีกที เราก็เข้าเขตเมืองดงเหย แขวงกวางบินห์ ประเทศเวียดนามกันแล้ว แม้ว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางนานหน่อย แถมเสียเวลาเรื่องทำหนังสือข้ามแดนอีก แต่ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงปลายทางที่เวียดนามได้ก่อนที่ตะวันจะลาลับขอบฟ้าด้วยซ้ำ เป็นอันว่าเราทำสำเร็จตามเป้า

-3-

เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ก็ได้เวลาเข้าที่พัก แต่ก่อนจะเข้าพักในโรงแรม 5 ดาวของเวียดนามอย่าง Sun Spa Resort เราแวะเดินเที่ยวกันที่ตลาดสดริมแม่น้ำยัดเลย์ หรือแม่น้ำหยดน้ำตากันก่อน เนื่องจากดงเหยเป็นเมืองชายฝั่งติดทะเล และมีแม่น้ำหลายสายที่ไหลมาสิ้นสุดลงที่นี่ หนึ่งในนั้นก็คือแม่น้ำสายนี้นี่เอง และบริเวณตลาดแห่งนี้ก็เป็นปากแม่น้ำจึงมีความอุดมสมบูรณ์มาก

ในตลาดแห่งนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีผู้คนมาซื้อหาอาหารมากมาย ส่วนมากจะเป็นของสดจำพวกปลาทะเล ผักผลไม้สด ไข่ไก่สด และอื่นๆ อีกมากมาย เดินไปอีกหน่อยจะเป็นสวนสาธารณะริมแม่น้ำ ที่นี่อากาศดีมาก สดชื่น และไม่เหม็นกลิ่นคาวปลาเหมือนสะพานปลาที่เมืองไทย จุดเด่นคือมีอนุสาวรีย์แม่อุ้มลูก ที่ชื่อว่า Me Suot - Anh Hung ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะ โดยมีตำนานเล่าว่าหญิงคนนี้ถูกทหารสหรัฐฯ ฆ่าตาย ขณะที่เธอพายเรือพาทหารหนีข้ามแม่น้ำมาทีละคน ชาวเวียดนามจึงยกย่องเธอในฐานะผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดินเวียดนาม

เช้าวันถัดมาเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้ เราออกจากโรงแรมแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยัง ถ้ำเทียนเดื่อง (Dong Thien Duong) หรือ “ถ้ำวิมานสวรรค์” อยู่ที่เมืองโบ๋ตรัด แขวงกวางบินห์ ที่นี่เป็นถํ้าที่เพิ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวชมได้เพียง 2-3 ปีเศษ ความสูงเหนือระดับนํ้าทะเล 360 เมตร เป็นถํ้าหินปูนที่มีความยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยยาวประมาณ 31 กิโลเมตร ความสูงภายในถํ้า 40-100 เมตร ความกว้าง 30-150 เมตร ภายในถํ้ามีหินงอกหินย้อยรูปร่างต่างๆ งดงามมาก ถือเป็นถ้ำที่ยังมีชีวิตเพราะหากสังเกตดีๆ จะพบว่ายังมีหยดน้ำไหลลงมาตลอดเวลา ส่วนบริเวณรอบๆ ด้านนอกเราก็ยังได้ชมความหลากหลายของพรรณไม้ในป่าดิบชื้นของเวียดนามด้วย โดยเฉพาะเฟิร์นนานาชนิด

เราใช้เวลาที่นี่ไม่นาน ก็เดินทางกลับสู่แขวงคำม่วน ประเทศลาว ขากลับนี่เราแวะเที่ยวเก็บตกกันสักนิด เราเดินทางไปชมกำแพงหินยักษ์ หรือภูคันนา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen ของคำม่วน กำแพงหินนี้คาดการณ์กันว่าอยู่ในกลุ่มหินประหลาดยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุไม่ต่ำกว่า 5,000 ปี ลักษณะเป็นหินรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดยาวกว่า 10 กม. แต่ละก้อนยาวประมาณ 6 เมตร ถูกวางซ้อนเรียงกันขึ้นไป มีการอัดดินผสมยางไม้ลงไปเพื่อเชื่อมก้อนหินแต่ละก้อน

แต่นั่นก็เป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น ต้องรอทางการลาวและนักวิชาการจากหลากหลายสาขาเข้ามาศึกษาอย่างจริงจังเสียก่อน จึงจะทราบแน่ชัดว่ากำแพงนี้เป็นกำแพงหินโบราณหรือเป็นเพียงเขาหินที่เกิดจากการดันตัวของเปลือกโลกกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ยิ่งเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่และสง่างามมาก

ทั้งหมดนี้คือการเดินทางแบบใหม่ที่ไม่เคยไปมาก่อน แม้จะนั่งรถนานไปหน่อยแต่ถือเป็นประสบการณ์ดีๆ อีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่มีวันลืมเลยจริงๆ

-----------------
การเดินทาง

จากกรุงเทพฯ ไปนครพนมสามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวกสบายกับสายการบินนกแอร์ ที่มีบริการเที่ยวบินทุกวัน วันละ 2 เที่ยวบิน โดยจากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) - นครพนม มีเที่ยวบิน DD9514 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 09:00 น. ถึงนครพนมเวลา 10:40 น. และเที่ยวบิน DD9520 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 17:20 น. ถึงนครพนมเวลา 19:00 น. ส่วนขากลับ จากนครพนม - กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ก็มีอีก 2 เที่ยวบิน ได้แก่ DD9515 ออกเวลา 11:10 น. ถึงเวลา 12:50 น. และ DD9521 ออกเวลา 19:30 น. ถึงเวลา 21:10 น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ www.nokair.com

จากนครพนม สามารถเดินทางต่อไปยังประเทศลาวโดยมีรถบัสสาธารณะบริการ จากลาวไปเวียดนามมีรถตู้บริการ วิ่งจากคำม่วนไปดงเหย และมีรถบัสบริการด้วย แต่รถบัสยังมีน้อย มีวันละเที่ยว ที่ผ่านมาก็มีชาวต่างชาติแบ็คแพ็คมาเที่ยวและไปปั่นจักรยาน หากอยากมาแบบแบ็คแพ็คก็ติดต่อขอข้อมูลท่องเที่ยวได้ที่ อบจ.นครพนม โทร 0 4251 6293 ต่อฝ่ายการท่องเที่ยว, สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม โทร 0 4251 2551, 0 4251 1933, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานนครพนม โทร 0 4251 3490-1