เปิดห้องเรียนแดนปลาดิบ

เปิดห้องเรียนแดนปลาดิบ

จุดประกายชวนสำรวจห้องเรียนแดนปลาดิบ ในฐานะ 'เพื่อนร่วมรุ่น' เริ่มต้นปฏิรูปการศึกษาพร้อมๆ กับไทยเรา แล้ววันนี้ 'เขา' เป็นอย่างไร?

ช็อคสนั่นเมือง เมื่อผลวิจัยระบุว่า คุณภาพการศึกษาไทยรั้งตำแหน่ง 'ยอดแย่' แห่งอาเซียน จัดอันดับโดยสถาบันระดับโลกอย่าง เวิลด์อีโคโนมิกฟอรัม ที่ประเมินคุณภาพศึกษาในประเทศอาเซียนทั้งหมด (ยกเว้นลาว และพม่า) และได้จัดลำดับเปรียบเทียบกันในปี 2012-2013 พบว่า การศึกษาขั้นพื้นฐานประเทศประเทศไทยอยู่อันดับที่ 6 ส่วนการศึกษามัธยม และอุดมศึกษาอยู่อันดับที่ 8

ขณะเดียวกันก็ยังมีสุดยอดปัญหาคลาสสิคเรื่องสื่อสารภาษาอังกฤษได้น้อย หนำซ้ำยังมีงานวิจัยจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ที่สำรวจข้อมูลเด็กไทยกว่า 3,000 คนทั่วประเทศ เกี่ยวกับ 1 วันในชีวิตเด็กไทย และพบว่า เกือบครึ่งนิยมทำการบ้านด้วยการ Copy&Paste ส่งครู!

แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่นั่นคือสิ่งที่ต้องยอมรับว่า ในขณะที่หัวข้อถกเถียงไม่ว่าจะเรื่องหักไม้เรียว ยกเลิกเครื่องแบบนักเรียน หรือการอนุญาตให้นักเรียนไว้ผมยาวได้ตามใจชอบเหมาะสมหรือไม่นั้น ทราบหรือไม่ว่า วันนี้เพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย ได้ประกาศใช้พิมพ์เขียวการศึกษาฉบับใหม่ Malaysia Education Blueprint 2013-2025 เพื่อปฏิรูปการศึกษาของมาเลเซียใน 12 ปีข้างหน้า มุ่งสู่การเป็น "ประเทศที่พัฒนาแล้ว" ภายในปี 2020

ขณะที่ เกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาสูงที่สุดในเอเชีย และอันดับที่สองของโลก จากการจัดอันดับโดย สถาบัน Pearson และ The Economist Intelligence Unit หรือ EIU ก็กำลังอยู่ระหว่างริเริ่มโครงการนำร่อง ให้มีหนึ่งเทอมในระดับมัธยมต้นที่ไม่ต้องมีการสอบ เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้ค้นหาความถนัดของตัวเอง และอาชีพที่อยากจะทำต่อไปในอนาคต

ย้อนกลับมาที่ไทยเรา... หากใครติดตามข่าวคราวแวดวงการศึกษาบ้านเรา อาจจะได้รับทราบมาบ้างแล้ว กับนโยบายลดจำนวนชั่วโมงเรียนในห้องเรียนลง เพื่อให้เด็กๆ ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนได้มากขึ้น พร้อมกันนี้ก็ได้ปรับปรุงหลักสูตรใหม่จากเดิมมี 8 กลุ่มสาระวิชา ลดเหลือ 6 กลุ่มสาระวิชา ได้แก่ กลุ่มภาษาและวรรณกรรม, วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี, เทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที), สังคมและความเป็นมนุษย์, โลก ภูมิภาคและอาเซียน และ ชีวิตกับโลกของงาน ซึ่งเดิมทีมีกำหนดจะนำร่องใช้ในปีการศึกษาหน้า พ.ศ.2557 นี้แล้ว

แต่เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการเปลี่ยนแม่ทัพเป็นคนใหม่แต่หน้าเก่า คือ จาตุรนต์ ฉายแสง และส่งผลให้แผนการดังกล่าวยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า จะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ หรือจะปรับเปลี่ยนรายละเอียดอย่างไรนั้น

ระหว่างที่รอกันไปพลางๆ จุดประกาย ชวนไปแอบมองลอดรั้วโรงเรียนประถม ณ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศร่วมรุ่นปฏิรูปการศึกษามาพร้อมๆ กับไทยเราเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 และวันนี้ได้รับการจัดอันดับ 1 ใน 5 ประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาดีที่สุดในโลกอีกด้วยนั้น

ลองมากันดูว่า วันนี้ เด็กๆ จากแดนปลาดิบเขาทำอะไรกันบ้าง...

  • ทักษะชีวิต คือ 'พื้นฐาน'

ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่น เน้นการเรียนแบบองค์รวม โดยไม่ใช้วิชาเป็นตัวตั้ง แต่จะเน้นการบูรณาการในเรื่องของการดำเนินชีวิต และใช้เทคโนโลยีการคิดค้นในเรื่องต่างๆ โดยปลูกฝังให้เด็กๆ รู้จักแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน และรู้จักอยู่ร่วมในสังคมอย่างมีความรับผิดชอบ

...นั่นหมายถึงการศึกษาเพื่อปูพื้นฐาน "ทักษะในการใช้ชีวิต" ที่ไม่ใช่แค่ให้ "อยู่รอด" แต่ต้อง "อยู่ดี" มีคุณภาพทั้งต่อตัวเอง ตลอดจนสังคมรอบข้างด้วย โดยเฉพาะการศึกษาในวัยเด็กเล็ก อย่างอนุบาล และ ประถมศึกษา คือ ชั้นเรียนที่สำคัญมากในระบบการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น

"พอไปถึงโรงเรียน (ต้องเข้าไปก่อนโรงเรียนเริ่ม 15 นาที ถึงครึ่งชั่วโมง) เด็กๆ จะเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง จากนั้นจะมีกิจกรรมให้ทำตามฤดูกาล เช่นหน้าร้อนมีเล่นน้ำ หน้าใบไม้ผลิมีไปเก็บส้ม ขุดมัน ฯลฯ ช่วงเที่ยงกินข้าวเอง มีผลัดเวรกันช่วยเทน้ำให้เพื่อน มีออกมากล่าวนำสวดมนต์ก่อนกินข้าวสลับกันทุกคน จากนั้นก็ทำกิจกรรมอีก แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมกลับบ้านค่ะ" นั่นคือ กิจวัตรประจำวันของ 'น้องอาย' ลูกสาวตัวน้อยของ ณยฎา โมริตะ สะใภ้ญี่ปุ่น เจ้าของเพจ "คุณนายปลาดิบ" บนเฟซบุ๊ค

โดยณยฎา เล่าถึงวิธีการเลือกโรงเรียนให้กับน้องอายว่า ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่า รร.ละแวกบ้านมีกี่โรง จากนั้นก็ตระเวนไปฟังบรรยายถึงนโยบายการสอนของแต่ละโรงเรียน แล้วค่อยมาดูว่า ลูกตัวเองเหมาะกับโรงเรียนแนวไหน

"ที่นี่จะมีหลายแบบ เช่น โรงเรียนที่เน้นการออกกำลัง เน้นการเรียนการสอนจริงจัง อย่างโรงเรียนที่เลือกให้น้องอายจะเน้นให้เด็กแบ่งปัน มีน้ำใจ โดยใช้ศาสนาเข้ามาช่วย แต่หลักๆ แล้ว การสอนจะคล้ายกันค่ะ เพียงแต่รายละเอียดจะต่างนิดหน่อย เช่น จำนวนครู จำนวนเด็ก การเรียนเสริมหลังเลิกเรียน หรือการฝากลูกได้หรือไม่ มีรถบัสรับส่งหรือเปล่าก็มีส่วนในการตัดสินใจ" ณยฎาเอ่ย และบอกอีกว่า แม้กระทั่งจำนวนวันที่ต้องทำข้าวกล่องก็ยังเป็นหนึ่งในรายละเอียดที่แม่ๆ ทั้งหลายต้องพิจารณาด้วย

"โรงเรียนที่เลือกให้น้องอาย ข้อเสียคือ ไกล ไม่มีรถบัส แต่จำนวนเด็กไม่มาก เพียงพอกับครู ทำเบนโตะ (ข้าวกล่อง) 2 วัน/อาทิตย์ มีเด็กลูกครึ่งเยอะ ทำให้ลูกเราไม่รู้สึกแตกต่าง และยังรับเด็กพิการด้วย ซึ่งจะทำให้น้องอายได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนทุกประเภท" คุณแม่ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียให้ฟัง

ส่วน วันวิสาข์ นากิ คุณแม่ตูน ของสองหนุ่มน้อยลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น โยชิคาซุ นากิ อายุ 6 ปี เรียนชั้นประถม 1 และนาโอะฮิเดะ นากิ อายุ 5 ปี เรียนอยู่ชั้นอนุบาลปีสุดท้าย ก็ร่วมด้วยช่วยเล่าถึงการเตรียมตัวหาโรงเรียนให้ลูกๆ ของผู้ปกครองชาวญี่ปุ่นว่า โดยมากจะเตรียมวางแผนล่วงหน้าหนึ่งถึงสองปีเพื่อมองหา "สิ่งแวดล้อมที่ใช่" ให้แก่บุตรหลาน

"วัยอนุบาลจะเป็นวัยที่เด็กๆ มีความสุขที่สุด ตามต่อด้วยวัยประถมที่จะเริ่มให้รับผิดชอบชีวิตมากขึ้น โดยนอกจากจะได้เบนโตะอาหารกลางวันน่ารักๆ จากแม่แล้ว ยังมีกิจกรรมทั้งปลูกผัก ให้อาหารกระต่าย กิจกรรมเล่นโคลน ยิมนาสติก และช่วงบ่ายมักจะเป็นกิจกรรมศิลปะและดนตรี และในบางวันโรงเรียนก็จะมีกิจกรรมให้เด็กๆ ไปซูเปอร์มาร์เก็ต และซื้อของมาทำอาหารกลางวัน โดยเด็กๆ จะช่วยกันทำในความดูแลของครู"

โดยสรุปแล้ว โลกของเด็กอนุบาลที่ญี่ปุ่นซึ่งดูเหมือนจะมีแต่เรื่องสนุกสนาน แต่จริงๆ แล้วกิจกรรมทุกอย่างที่ทำ นั่นคือการปลูกฝังให้เด็กๆ เริ่มรับผิดชอบตัวเองได้ก่อนจะเข้าวัยประถม เพราะเมื่อเข้าสู่วัยประถม เด็กๆ จะต้องเข้ากลุ่มกับเด็กที่อาศัยใกล้กัน เพื่อเดินไปโรงเรียนด้วยกัน โดยจะมีผู้ปกครองที่เป็นเวรสับเปลี่ยนคอยดูแลตามจุดต่างๆ ในช่วงเวลาที่เด็กๆ ไปโรงเรียน

และจากที่แทบจะไม่ได้เรียนอะไรจริงจังเลยในชั้นอนุบาล เมื่อเด็กๆ เข้าสู่ชั้นประถม ก็จะได้เริ่มต้นเรียนอ่านเขียน และวิชาอื่นๆ สำหรับการให้เกรดจะมาในรูปแบบ ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรุง

ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้ให้เป็นคะแนน คุณแม่ตูน อธิบายว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความกดดันจากการแข่งขันกันในเด็กๆ นั่นเอง

  • ปลายทาง 'หวังผลเลิศ'

แม้ในวัยเด็ก จะเน้นให้นักเรียนมีกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างทักษะในการใช้ชีวิต ตลอดจนปูพื้นฐานเรื่องต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต โดยไม่เน้นเรื่องวิชาการเท่าใดนัก แต่อย่างไร 'ญี่ปุ่น' ก็ยังคงเป็น 'ญี่ปุ่น' จึงไม่น่าแปลกใจที่ เด็กนักเรียนญี่ปุ่นจะต้องพบกับความเคร่งเครียดมากขึ้นตามลำดับเมื่อเจอกับระดับชั้นที่สูงขึ้น

เมื่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังคงเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ผู้ปกครองหนูๆ ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยวางใจกับการเรียนแบบชิลๆ ที่โรงเรียนมอบให้บุตรหลานตัวน้อย จนทำให้มีจำนวนไม่น้อย หันไปทุ่มกำลังกับการเรียนพิเศษเพิ่มเติมอย่างเต็มที่

ยืนยันอีกเสียง โดย รศ.ดร.เรืองศักดิ์ แก้วธรรมชัย อดีตนักเรียนญี่ปุ่น ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมา 6 ปี ว่าเคยเครียดอย่างไร.. ปัจจุบันก็ยังเครียดอยู่อย่างนั้น

"ต้องยอมรับว่าที่ญี่ปุ่นยังขึ้นชื่อมากเรื่องการเรียนที่เคร่งเครียด เพียงแต่สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยในการเรียนการสอน ทำให้โดยทั่วไป เด็กที่จบมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น มีโอกาสที่จะปรับตัวเข้ากับการทำงานจริงได้มากกว่าบัณฑิตไทย" รศ.ดร.เรืองศักดิ์ เอ่ย

พร้อมทั้งเผยถึงผลวิจัยเรื่อง "เปรียบเทียบวิธีการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยไทย และมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น" จัดทำโดยปัญญาสมาพันธ์เพื่อการวิจัยความเห็นสาธารณะแห่งประเทศ ซึ่ง รศ.ดร.เรืองศักดิ์ ในฐานะหัวหน้าทำงานฯ ได้ไปศึกษากรณีตัวอย่าง 5 มหาวิทยาลัย ในโตเกียว และเขตปริมณฑล พบข้อแตกต่างของบัณฑิตญี่ปุ่น ที่ต่างจากเด็กไทยชัดเจน นั่นคือ แนวโน้มที่มหาวิทยาลัยญี่ปุ่นสามารถผลิตบัณฑิตที่มีความพร้อมในการทำงานจริงได้มากกว่ามหาวิทยาลัยไทย ซึ่งรศ.ดร.เรืองศักดิ์ วิเคราะห์ว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรูปแบบการเรียนการสอนของญี่ปุ่นที่เน้นการปฏิบัติจริงมากกว่าไทย อีกทั้งยังเน้นการตั้งคำถามว่า 'ทำไม' และ 'อย่างไร' มากกว่าจะคิดถามหา 'อะไร'

ในขณะที่ไทยมีวิชาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของวิชาที่เรียนในหนึ่งเทอม แถมในบางเทอมก็ไม่มีวิชาภาคปฏิบัติเลยนั้น ที่ญี่ปุ่นจะมีวิชาสัมมนา หรือวิชาที่ต้องใช้ห้องแล็บมากถึง 33 เปอร์เซ็นต์ของหลักสูตรทั้งหมด และจะเป็นเช่นนั้นในทุกๆ เทอมด้วย

นอกจากนี้ ผลพลอยได้จากชั่วโมงเรียนที่เน้นปฏิบัติมาก คือ การได้ใกล้ชิดกับอาจารย์ที่ปรึกษา มีโอกาสได้ปรึกษา ถามไถ่ข้อสงสัยได้มากขึ้น ต่างจากเด็กไทยที่อย่างมากก็ได้เจออาจารย์ที่ปรึกษาปีละ 2 หน คือตอนลงทะเบียนเรียน

..นี่ไม่ใช่ตลกร้าย แต่คือเรื่องจริงที่เป็นอยู่!

ขณะเดียวกัน ฟันเฟืองอื่นๆ ที่หมุนล้อไปกับหลักสูตรการสอน ตั้งแต่เงินเดือนอาจารย์ที่สูงมากพอที่จะไม่ต้องไปรับจ๊อบนอก (เป็นข้อห้ามของทุกมหาวิทยาลัยอยู่แล้วด้วย) ทำให้มีเวลาให้กับนักศึกษามาก ในส่วนของนักศึกษาเอง ก็ยังมีห้องปฏิบัติการที่เป็นของนักศึกษาเอง โดยสามารถเข้าไปใช้งานได้ 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้แต่ละมหาวิทยาลัยยังมีความเฉพาะทางของตัวเองอยู่ อย่างเช่น ม.ชูโอ เปิดสอนเฉพาะวิชากฎหมาย แต่ถ้าใครอยากเป็นนายกฯ หรืออยากเล่นการเมือง ต้องไปเรียนที่ ม.วาเซดะ ซึ่งประเด็นนี้ ถือว่าสวนทางกับบ้านเราอย่างสิ้นเชิง เพราะที่เป็นอยู่คือการไล่ขยาย 'วิทยาเขต' ใหม่ๆ ของมหาวิทยาลัยจำนวนมาก จนล่าสุด รมว.กระทรวงศึกษาฯ ต้องสั่งห้ามขยายวิทยาเขต/ศูนย์บริการนอกเขตพื้นที่บริการ และให้หันมาเน้นการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานให้มากขึ้นแทน

ทั้งนี้ จากงานวิจัยชิ้นดังกล่าวยังพบว่า ปัญหาที่ทั้งมหาวิทยาลัยในไทยและญี่ปุ่น ต้องเจอเหมือนๆ กัน นั่นคือ จุดอ่อนเรื่องทักษะการใช้ 'ภาษาอังกฤษ' ที่ถือว่า 'อ่อน' ทั้งคู่

แต่ในวงเล็บที่ต่อท้ายนั้นน่าสนใจกว่า โดย รศ.ดร.เรืองศักดิ์ อธิบายต่อว่า ในความเหมือนยังมีความต่าง เพราะถึงแม้ เด็กญี่ปุ่นจะอ่อนภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้แปลว่า ระบบการศึกษาจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับโลกที่เปิดกว้าง เพียงแต่ที่เน้นย้ำมากกว่านั้น คือ 'ภาษาวัฒนธรรม' ซึ่งต่อให้พูดไม่เก่ง สื่อสารไม่คล่อง แต่ขอให้เข้าใจในความแตกต่างของคนแต่ละชนชาติ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คุยกันไปแล้วไม่ชวนทะเลาะ

...ทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้ หลายเรื่องก็เป็นสิ่งที่ไทยสามารถนำไปปรับใช้ได้ และหากมองให้ลึกในกรณีดังกล่าว จะเห็นว่า เรื่อง 'เงิน' ไม่ใช่ประเด็นสำคัญประการเดียวที่จะส่งผลดีหรือร้ายต่อระบบการศึกษา ที่สำคัญ อย่าลืมว่า ประเทศไทยมีงบประมาณด้านการศึกษาสูงในระดับต้นๆ ของโลก

ฉะนั้นอาจต้องทบทวนกันใหม่เสียแล้วว่า ที่ผ่านมา 'เกา' ถูกที่คัน กันหรือเปล่า