คนไทย...ไม่ลืมลิเก ?

คนไทย...ไม่ลืมลิเก ?

เด็กรุ่นใหม่แทบจะไม่รู้จักลิเก คนที่หลงรักศิลปะการแสดงดั้งเดิมรูปแบบนี้ จึงอยากต่อลมหายใจให้ลิเก โดยปรับโฉมใหม่ ไม่เยิ้นเยอ น่าเบื่อ

ลิเก ถือกำเนิดในสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือ ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มาวันนี้ปีพุทธศักราช 2556 แม้กระแสของลิเกจะดูโรยราไปบ้าง ทว่าก็ยังไม่ถึงกับสิ้นลมหายใจ เพราะยังมีผู้ตระหนักถึงคุณค่านำมาสอดแทรกให้คนดูยุคใหม่ได้รู้จัก อย่างเร็วๆ นี้ 'สุประวัติ ปัทมสูต' ศิลปินแห่งชาติ ทำละครเวทีซ้อนลิเกชื่อ 'อลหม่านบ้านพ่อแผน' นำเรื่องราวสนุกๆ ของ“ ขุนช้างขุนแผน ” มาเล่าใหม่ผ่านตัวละครที่น่าสนใจ อย่าง ผัดไท ดีใจ, เหมี่ยว-ปวันรัตน์, วราพรรณ หงุ่ยตระกูล ฯลฯ

ในแง่ของละครโทรทัศน์ วิกช่อง 7 สี นำเสนอเรื่อง 'ลิเก เงินร้อย' ถ่ายทอดวิถีชีวิตลิเกได้อย่างน่าสนใจ หลายฝ่ายช่วยกันต่อลมหายใจไม่ให้วัฒนธรรมดีงามสูญหาย

ละครซ้อนลิเก

หากจะชวนลูกหลานยุคใหม่ไปดูโขน ลำตัด ลิเก ฯลฯ ยุคนี้คงไม่มีใครสนใจ ดังนั้นการแสดงเหล่านี้จำต้องปรับตัวให้เข้าไปในหัวใจคนดูทุกรูปแบบให้ได้ 'พ่ออี๊ด-สุประวัติ' กล่าวว่า เขาพยายามอนุรักษ์ลิเกด้วยการนำมาทำเป็นละครเวที เพื่อหลอกล่อคนดูมาชมศิลปะการแสดงของไทย ที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะต้องการให้คนเห็นว่าลิเกนั้นมีเสน่ห์เพียงใด

“รับรองได้เลยว่า ดูแล้วจะไม่มีใครเดินออกมาแล้วบ่นว่า ลิเกน่าเบื่อจัง ทุกคนจะต้องบอกว่าลิเกสนุกจัง เราไม่ทำให้เรื่องราวออกมาเยิ่นเย้อ อย่างเช่นครั้งนี้ทำ 3 ฉากจบภายใน 7 นาที มีฉากที่คุก ฉากที่แต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบที่เชียงใหม่ ฉากไปรบกับเจ้าเมืองเชียงใหม่ ไม่มามัวนั่งโน้งเนงโน้งแกระ (เยิ้นเย้อ )ให้น่าเบื่อ”

เมื่อต้องการอนุรักษ์ ก็ต้องทำทุกอย่างถูกต้อง เช่น ชุดลิเก การร้อง การรำ แถมยังสอดแทรกศิลปะการร้องแบบไทยๆ ทั้งเพลงแหล่ เพลงเรือ เพลงรำตัด เพลงสวดกระหัด ที่ปัจจุบันไม่มีแล้ว เป็นการแสดงในงานศพหลังพระสวดจบ มีนักแสดง 4 คนขึ้นไปนั่งแทนพระ ถือตาลปัดเหมือนพระ แล้วเล่นมุขโยนไปมาสนุกสนาน จุดประสงค์เพื่อให้คนดูอยู่เป็นเพื่อนในงานศพทั้งคืน เป็นต้น

“ตอนเด็กๆ ผมชอบดูลิเก ชอบดูโขนสด ทั้งรำวง เพลงพื้นบ้าน ดูหมด เพราะเราเป็นคนต่างจังหวัด บางกอกน้อยนี่ ก็ถือว่าเป็นต่างจังหวัดแล้ว คนอื่นๆ เขาเข้าพระนคร ไปดูหนัง แต่เราขี้เกียจเพราะต้องนั่งเรือด้วย ไหนจะเสียสตางค์หลายอย่าง ดูลิเกที่มาเล่นใกล้ๆบ้านดีกว่า แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ติดมาจนถึงวันนี้ ก็เลยทำให้เรากลายเป็นคนที่เวลาจะทำอะไร ก็ชอบดึงเอาของเก่าๆ มาทำ มันเป็นหน้าที่ของศิลปินแห่งชาติ ที่ต้องทำตรงนี้เหมือนกัน เด็กไทยจะได้ไม่ลืมเอกลักษณ์ไทย”

ศิลปินแห่งชาติ แสดงความเห็นต่อว่า เพลงพื้นบ้านดั้งเดิมนั้น พ่อเพลงแม่เพลงร้องโต้ตอบตามไหวพริบ อย่างเพลงรัก เพลงจีบ ก็จะดำเนินไป ทว่าในละครเรื่องนี้จะผสมผสานนำเพลงพื้นบ้านต่างๆมาเล่าเรื่องใหม่ เช่น เดินเรื่องด้วยเพลงพื้นบ้าน ด่าทอกันไป ทำให้คนดูเพลิดเพลินตลกขบขัน ทำให้คนรุ่นใหม่นึกชอบเพลงพื้นบ้านขึ้นมาบ้าง

"ก็เลยเอาเพลงพื้นบ้านทั้งหมดมาใส่ไว้ในลิเก เพราะไม่มีอะไรจะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว รู้ไหมว่าเด็กไทยตั้งแต่อายุ 17-20 ปี สมัยนี้ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ร้องไม่ได้ รำไม่ได้ ไม่สนใจเพลงพื้นบ้าน ไม่สนใจลิเก โขน ถามว่าหน่วยงานรัฐมัวทำอะไรกันอยู่ หน้าที่ของพวกท่าน นอกจากเป็นกรมศิลป์ หรือสถาบันการศึกษาในต่างจังหวัด แล้วยังมีใครอีกไหมที่มีหน้าที่ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมพวกนี้ เพราะเด็กไทยฟังเพลงไทยเดิม ร้องเพลงไทยเดิมไม่เป็น นอกนั้นอีกแสนๆ โรงเรียนทำอะไรกันบ้าง อยากทำให้เห็นว่า การร้องการรำของไทย ก็สนุกไม่แพ้ใครเหมือนกัน"

ผู้กำกับละครซ้อนลิเก ทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันนี้อะไรที่เป็นของไทย แค่แต่งชุดไทย ในรายการโทรทัศน์ คนก็กดรีโมทหนีไปช่องอื่นแล้ว คงต้องหาวิธีใหม่ๆ มาหลอกล่อคนดูให้หันกลับมามอง แล้วหลงรักให้ได้ พร้อมฝากชมละครเวที 'อลหม่านบ้านพ่อแผ่น' ที่จะเปิดการแสดงวันที่ 25 - 26 พฤษภาคมนี้ (วันละ 2 รอบ เวลา 14.00 น. และ 19.00 น.) ณ โรงละครแห่งชาติ รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับโครงการก่อการบุญเพื่อสร้างอุโบสถวัดเขาขี้เหล็ก จ.สระบุรี และ กองทุนช่วยเหลืองานของศิลปินแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรมไทย

ลิเก ไม่มีวันตาย

เป็นที่ทราบดีว่าลิเก เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือ ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และคำว่า ลิเกนั้นก็ เพี้ยนมาจากคำว่า ซิเกร์ ในภาษาเปอร์เซีย ที่ยืมมาจากคำว่า ซิกรุ (Zakhur) ในภาษาอาหรับ อันหมายถึงการอ่านบทสรรเสริญเป็นการรำลึกถึงอัลลอฮ์ พระเจ้าในศาสนาอิสลาม

พระครูศรีมหาโพธิคณารักษ์ เคยกล่าวถึงลิเกไว้ว่า ชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ หรือเจ้าเซ็นจากเปอร์เซีย นำสวดลิเกที่เรียกว่า ดิเกร์ เข้ามาในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ทรงบันทึกว่า ยี่เกนั้น เพี้ยนมาจาก จิเก ต่อมามีผู้คิดเล่นลิเกอย่างละคร โดยเริ่มร้องเพลงแขก ต่อด้วยละครรำ แล้วใช้ปี่พาทย์อย่างละคร

วิโรจน์ วีระวัฒนานนท์ อดีตพระเอกลิเกวัย 67 ปี หลานของลิเกหอมหวล เล่าว่า เขาเกิดมาในคณะลิเกได้ยินเสียงระนาดมาตั้งแต่เกิด ลิเกจึงอยู่ในสายเลือด เขามองว่าลิเกมีหลายยุค มีขาขึ้นและขาลง แต่ลิเกจะไม่มีวันตาย เพราะยังมีผู้สืบทอดที่ไม่ยอมทิ้งเจตนารมย์ของบรรพบุรุษ

"แม่ผมเป็นลูกสาวอาจารย์หอมหวล ( สงุ่น วีระวัฒนานนท์) ส่วนผมเป็นหลาน ผมว่าลิเกยากตรง การร้อง รำ เจรจา การด้น ทุกอย่างต้องอาศัยความชำนาญ คนจะเป็นลิเกต้องท่องบทกลอนเยอะๆ อ่านวรรณคดี นิราศ ต่างๆ เช่นเรื่อง พระอภัยมณี ขุนช้างขุนแผนฯลฯ การแสดงลิเกต้องอาศัยปฏิภาณไหวพริบในการแสดงเหมือนกัน ตั้งแต่สมัยผมเด็กๆ เห็นเส้นทางของลิเกมาเยอะ ผมว่ามีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย เช่นปัจจุบันนำไปผสมผสานกับเพลงลูกทุ่ง มีมุขต่างๆ ที่ทันสมัย ทำให้คนดูรู้สึกสนุกสนาน ต้องยอมรับว่ายังมีคนอีกกลุ่มที่นิยมดูลิเก ผมว่าลิเกไม่น่าเป็นห่วงหรอกครับ ถึงแม้บางครั้งเหมือนจะร่วงโรยไป แต่เดี๋ยวก็ขึ้นมาอีก จะหายไปเลยรับรองไม่มีแน่ ผมรับรอง"

ปัจจุบัน วิโรจน์ผันตัวมาทำงานเบื้องหลัง เขียนบท กำกับการแสดง สอนลูกศิษย์ตามวิทยาลัย ฯลฯ เขามองว่า ศิลปวัฒนธรรมต่างประเทศเข้ามา เรารับไว้ได้ แต่ก็อยากจะบอกเยาวชนคนรุ่นหลังว่า อย่าลืมรากเหง้าความเป็นไทยที่เรามีอยู่ มองไปข้างหน้าไกลแค่ไหนก็ได้ แต่อย่าลืมความเป็นตัวเรา เสน่ห์ของลิเกนั้นสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตแบบไทยๆ แสดงให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีที่ดี

เมื่อมีคนอยากทำละครเวทีซ้อนลิเกในครั้งนี้ วิโรจน์ มาเป็นที่ปรึกษา ครูฝึกให้กับนักแสดง พร้อมร่วมแสดงในเรื่อง อลหม่านบ้านพ่อแผนอีกด้วย

หลงเสน่ห์ลิเก

คนที่ไม่ชอบดูลิเก อาจเป็นเพราะยังไม่เคยดูลิเก หากมีโอกาสได้ดูสักครั้ง อาจหลงเสน่ห์ เช่นเดียวกับ เตย-วรัทยา โกมลเสน โปรดิวเซอร์ ละครโทรทัศน์ เรื่อง'ลิเกเงินร้อย' นำแสดงโดย รพีภัทร เอกพันธ์กุล(น้ำ),อคัมย์สิริ สุวรรณศุข (จักจั่น) ออกอากาศทางช่อง 7 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.40 น. ในขณะนี้

"เตยไม่เคยดูลิเกมาก่อน จนต้องมาทำเรื่องนี้ เราต้องไปทำความรู้จักกับลิเก ไปที่จังหวัดสุพรรณบุรี ไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะสามารถนั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกสนุกมาก คุยกับคนทำลิเก เขาบอกว่าสมัยก่อนลิเกก็เป็นอีกแบบ ชุดที่ใส่ไม่อลังการเท่านี้ ใช้เวลาแต่งตัวนาน ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งคณะที่เตยไปดูนี่ ถือว่าเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย เป็นคณะของอาจารย์ที่เชี่ยวชาญลิเก ซึ่งมาเป็นที่ปรึกษาให้กับละครเราด้วย จากนั้นก็ตามไปดูลิเกอีกหลายเรื่องหลายแห่งเลย เช่นที่ย่านเกียกกาย เวทีอยู่ใต้สะพาน กลางวันทุกคนไปทำงานประจำ กลางคืนมาเล่นลิเกด้วยกัน อาศัยแค่เล่นลิเกไม่พอค่าใช้จ่าย เขาบอกว่า ลูกหลานก็ไม่เอาลิเกแล้ว ซึ่งก็น่าเสียดายเหมือนกัน ล่าสุดไปดูลิเกที่วัดไร่ขิง ไปดูตั้งแต่เขาเริ่มมาตั้งเวที แต่งตัว แล้วแสดง รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเ พราะเหมือนย้ายบ้านกันเลย เขาต้องทำเวที ทำฉาก ทำห้องครัว ห้องน้ำ"

ละครเรื่องลิเกเงินร้อย นำเสนอเรื่องราวของลิเกอีกแง่มุมหนึ่ง ทว่าจุดประสงค์เดียวกัน คือ ต้องการให้คนดูได้ซาบซึ้งถึงวัฒนธรรมไทย ไม่ต้องการให้หายไปไหน การเลือกนักแสดง อย่างน้ำ-รพีภัทร์ ร้องลิเกเป็นอยู่แล้ว ส่วนจักจั่น-อคัมย์สิริ ก็มีพื้นฐานด้านการร้องเพลง จึงไม่ยากที่จะฝึกร้องลิเก ดังนั้นโปรดิวเซอร์รายนี้ลงความเห็นว่า ใครก็ตามที่ยังไม่เคยดูลิเกมาก่อน หากมีโอกาสได้ดู น่าจะหลงเสน่ห์เช่นเดียวกับเธอ

สมพงษ์ สังข์ชื่น นักแสดงลิเกวัย 38 ปี จากลิเก'คณะสมชาย บุตรสำราญ' เล่าว่า เขาเองก็เติบโตมาจากครอบครัวลิเก ทว่าทางของเขานั้นก็คือ เล่นเป็นตัวโกง ไม่ใช่พระเอก

นอกจากนี้ เขากล่าวถึงทางรอดของลิเกว่า หากมีลิเกอยู่ในกระแส เช่น ได้ออกรายการโทรทัศน์บ้าง ก็เหมือนได้ช่วยต่อลมหายใจของลิเกไม่หลุดกระแสความนิยม

"พอได้ออกทีวีคนก็จะฮือฮา แต่สมัยก่อนก็ยังมีคนมาร้องมารำมากกว่าตอนนี้ ปัจจุบันถือว่าน้อยลงมาก อย่างพระเอกลิเกก็ต้องหน้าตาดี รูปร่างดี ไว้ก่อน เรื่องการร้องการรำมาทีหลัง ผมเองเล่นเป็นตัวโกง ตอนนี้ผันตัวเป็นตลกแล้ว เปิดโอกาสให้หลานได้เข้ามาแสดงเป็นตัวโกงบ้าง เราเองก็มีหน้าที่ประคองหลานๆ ให้เป็นลิเกต่อจากเรา

สำหรับเนื้อหาของลิเก ก็ไม่ต่างกันมากกับสมัยก่อนๆ แต่บางทีเค้าโครงเก่าๆ เราก็เอามาสอดแทรกความทันสมัย มุขตลกก็เหมือนกัน มัวแต่มาร้องแบบเดิมๆ เช่น ลิงไม่จับมือเสือ เสือก็ไม่จับมือลิง ร้องแบบนี้คนดูก็เริ่มเบื่อ รู้ทันมุขก็เลยไม่สนุก เราต้องหมั่นดูทีวี บางทีตลกก็เอามุขลิเกไปเล่น บางทีลิเกก็เอามุขตลกมาเล่น ขโมยมุขกันไปมา ก็เป็นเสน่ห์ของลิเกยุคนี้"

ในแง่ของคนทำลิเกเองก็ต้องพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ แข่งกับโลกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเรื่องนี้ สมพงษ์ ทิ้งท้ายว่า

"ละครเรื่องลิเกเงินร้อย เขียนบทได้เหมือนชีวิตจริงของลิเกชนิดถอดแบบ ถือเป็นเรื่องดีที่ช่วยให้คนไทยไม่ลืมลิเก"