ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ จิตวิญญาณกับศาสตร์ของแม่มด

ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ จิตวิญญาณกับศาสตร์ของแม่มด

ด้วยการศึกษาทางเลือก ได้เปิดโลกให้ผู้หญิงคนนี้ค้นพบมุมมองใหม่ที่ว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นมิได้มีพื้นฐานมาจากความรุนแรงแต่อย่างใด

ชื่อของ ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ เป็นที่รู้จักในแวดวงของนักเคลื่อนไหวด้านสันติวิธี โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สังคมไทยมีพาเหรดกีฬาสีทางการเมือง แต่ลึกลงไปกว่านั้น ตัวเธอเองสนใจในศาสตร์ดั้งเดิมที่เกี่ยวโยงมนุษย์กับความเป็นไปของโลก ล่าสุด เธอเพิ่งสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอกทางด้าน Women's Spirituality จาก California Institute of Integral Studies (CIIS) มาหมาดๆ กับผลงานวิทยานิพนธ์เรื่องแม่โพสพ


"คือตอนเรียนปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยนาโรปะ เราเรียนด้านสิ่งแวดล้อม พูดถึงเรื่องนิเวศวิทยาแนวลึก ที่หันกลับไปหาว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราไม่ได้แยกขาดออกจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นอีกกระบวนทัศน์หนึ่งที่แตกต่างจากวิทยาศาสตร์กระแสหลัก ที่มองว่าเรากับธรรมชาติแยกจากกัน แล้วธรรมชาติเป็นแค่วัตถุที่เรานำมาใช้ ขณะที่ที่ CIIS มันเป็นแนวคิดเรื่องจิตวิญญาณผู้หญิง คือว่าโลกนี้เหมือนเป็นแม่เรา เราเป็นลูกของโลกนี้ แล้วสิ่งที่เราทำกับแม่ก็มีผลต่อเรา ถ้าเราทำดี มันก็มีผลในการส่งเสริมความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ชีวิต แต่ถ้าเราไม่เคารพธรรมชาติ มันก็มีผลให้เราเกิดความอดอยาก เกิดหายนะในชีวิตมนุษย์ ดูๆ ไป ก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่... "


อาจจะเกินไป หากประกาศว่าเธอไปเรียนรู้ศาสตร์ของแม่มดที่นั่น แต่โดยความจริง นี่คือการศึกษาทางเลือกที่เธอประสบพานพบมาด้วยตนเอง

ขอเริ่มต้นด้วยการให้คุณขยายความถึงคำว่าแม่มด ?


แม่มดยุคกลาง ที่เรียกว่าพวกเพเกิน (paganism) เป็นพวกที่ใช้ชีวิตตามวัฏจักรของธรรมชาติ คล้ายชนเผ่าบ้านเรา ยังสนิทสัมพันธ์กับธรรมชาติ ยังสื่อสารกับพลังต่างๆ ในธรรมชาติได้ดี การที่คนจะไปสื่อสารกับพลังธรรมชาติ มันมีมาแต่โบราณแล้ว แต่พอศาสนาคริสต์เข้ามา (หมายถึง)คริสต์ที่ไม่ใช่คำสอนพระเยซู คริสต์ที่อยู่กับศาสนาจักร มีอำนาจมาก จึงพยายามจะกดทับ พยายามจะบอกว่านี่ไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้อง ในที่สุด ใช้อำนาจเรื่อยไปจนต้องจับแม่มดมาฆ่ากันเป็นล้านๆ คน ประมาณกันว่า ยุคกลางตายไปประมาณ 9 ล้านคน ผู้หญิงที่ถูกจับมาเผา

แต่ถึงวันนี้ ยังมีผู้สืบทอดอยู่ ?


ใช่ อย่างที่เมืองนอก บ้านที่เราเช่าอยู่ ตอนเรียนที่ซานฟรานซิสโก เขาก็เรียกตัวเองว่าเป็นแม่มด เป็นแม่มดยุคสมัยใหม่ แบบว่าเขาพยายามไปอยู่กับวัฏจักรของธรรมชาติ ไปเคารพเทพ โดยเฉพาะเทพผู้หญิงในธรรมชาติ

เป็นความจงใจหรือไม่ ในการไปเช่าบ้านหลังนั้น


ตอนที่ search หา เขาบอกว่า เป็นผู้หญิงที่สนใจด้านจิตวิญญาณ เราเลยสนใจ แต่พอไปถึง ก็อยู่ในชุมชนที่เกี่ยวกับเรื่องแม่มด เขาเรียก reclaiming community คือรีเคลมอะไรเก่าๆ ขึ้นมา เขาเป็นพวกที่ไม่ได้อยู่กับธรรมชาติเฉยๆ แต่เป็นพวกที่ active ทางด้านการเมืองด้วย มีความสนใจทางด้านการเมืองสูง แบบไปร่วมเดินขบวนด้วย ไปร่วมประท้วง เพราะว่ามันเกี่ยวโยงกัน ถ้าเราจะกลับไปเข้าใจธรรมชาติ กลับไปอยู่ในโลกแบบดั้งเดิมอย่างนั้น เราเห็นโลกสมัยใหม่ที่มันทำร้ายธรรมชาติมาก แยกตัวเองจากธรรมชาติ มันก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องกลับไปทำอะไรบางอย่าง มันส์ดีเวลาเขาประท้วง เขามีผู้นำคนหนึ่งชื่อ สตาร์ฮอว์ก เขาเป็นคนตั้งชุมชนนี้ขึ้นมา แล้วก็เป็นแอ็กทิวิสต์ตัวยงมาก แล้วเขาสอนกันว่าเวลาที่ถูกจับอย่างนี้ เขาใช้วิธีเขามีเวทย์มนต์ เวทย์มนต์คือการที่เราทำให้ความคิดของเราเข้มข้นขึ้นจนมันกลายเป็นจริง เวลาถูกจับตอนประท้วง เราคิดว่าข้อมือเราใหญ่ พอตำรวจใส่กุญแจมือมันจะใหญ่กว่าข้อมือจริง แล้วพอตำรวจไป ก็(เอามือ)หลุดออกมา

ทำได้จริงหรือ


นี่ล่ะที่มันส์มาก มันเป็นเหมือนศาสนา เป็นวิธีการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ คือความคิดของเราพอมันเข้มข้นมาก มันเหมือนการใช้มนต์ของบ้านเรา การใช้เวทย์มนต์ของคนเหล่านี้ คือการฝึกจิตมา ถ้าจะพูดตามภาษาจิตวิทยาก็พวกใช้ positive thinking แบบว่าฝึกทุกวันๆ จนมันกลายเป็นจริงได้ ทำให้โลกของวัตถุไม่มีข้อจำกัด (ถ้าเทียบกับเมืองไทย) พอเราพูดถึงเวทย์มนต์คาถา มันดูจะเป็นเหมือนไสยศาสตร์ เป็นเหมือนความดำมืดไป แต่ว่าเรื่องพวกนี้ มันก็เหมือนเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง เป็นความสามารถของมนุษย์ที่เราจะใช้ในด้านดีก็ได้ ด้านไม่ดีก็ได้

แล้วคุณไปพบสถาบันแห่งนี้ได้อย่างไร


สมัยโบราณมันเป็น American Academy of Asian Studies คือว่าคนก่อตั้ง เขาศึกษาเกี่ยวกับปรัชญาความเชื่อตะวันออก เขาจึงอยากจะตั้งสถาบันนี้ขึ้นที่อเมริกา ซึ่งสมัยก่อน ยุคนั้นช่วงยุค70s มันเหมือนเป็นจุดเริ่มต้น ไม่ได้มีความสนใจมากขนาดนี้ เขาก็เลยเชิญคนที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ศรีอรพินโท ชื่อ Haridus Chaudhuri ไปตั้งอยู่ที่นั่น แล้วเหมือนกับว่าเชิญคนจากโลกตะวันออกไปให้ความรู้ ไปสนทนากันกับโลกตะวันตก สถาบันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จุดประกายความสนใจในเรื่องความเชื่อความคิดทางตะวันออกที่อเมริกา


เราเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยนาโรปะ ซึ่งมันเป็นสายทางเลือกอย่างนี้อยู่แล้ว คนในนาโรปะ เขาก็จะรู้จักมหาวิทยาลัยทางเลือกอื่นๆ ที่นาโรปะมันไม่มีปริญญาเอก เพราะฉะนั้น จะเห็นคนรู้จักที่จบโทเสร็จ เขาก็จะไปต่อปริญญาเอกที่ CIIS แล้วก็มีพี่คนไทยที่เขาไปจบมาแล้วคนหนึ่ง ก็เจอเขาที่เมืองไทย เลยได้ทำความรู้จักสถาบันนี้มากขึ้น เราเป็นคนที่ 3 เท่าที่รู้นะ คนหนึ่งเขาจบด้านภูมิปัญญาดั้งเดิม อีกคนจบด้าน East-West Psychology ก็น่าสนใจนะ แต่เราเรียน Women 's Spirituality

อยากให้เล่าถึงอารยธรรมที่มาก่อนอารยธรรมอินโดยูโรเปียน ซึ่งมีหลักฐานบ่งชี้ว่าให้ความเคารพแก่เทพที่เป็นหญิง ?


อันนี้เป็นเรื่องหลักที่เรียน เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นคนตะวันตก เขาก็ศึกษาในยุโรป เขาพยายามกลับไปหารากดั้งเดิมของเขา เพราะว่าผู้หญิงอยู่ในศาสนาจักร อยู่ในศาสนาคริสต์ มันถูกกดเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคำสอนที่สอนมา ซึ่งมันไม่ค่อยเกี่ยวกับพระเยซูสอนเท่าไหร่ เขาเลยพยายามหาอะไรที่มันสามารถช่วยให้เขารู้สึกมีความภาคภูมิใจในความเป็นผู้หญิงได้มากขึ้น ไม่ใช่ว่าเป็นแค่คนบาป เป็นคนนำบาปมาสู่โลกเท่านั้น อย่างที่เขาสอนๆ กันในศาสนาคริสต์ เรื่องเอวา-อีฟ เขาก็ย้อนกลับไปหารากดั้งเดิม


พอดีมีนักโบราณคดีชื่อ Marija Gimbutus เขาไม่ได้สนใจเรื่องผู้หญิงอะไรอย่างนี้เลย แต่ว่าเขาขุดค้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะในทางยุโรปตะวันออก เขาค้นพบว่า ในสมัยยุคหินใหม่ มันมีอารยธรรมอีกอารยธรรมหนึ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพวกอินโดยูโรเปียนที่มาทีหลัง เขาไม่พบว่า มันมีภาพของการทำร้ายกัน ไม่มีสงคราม ไม่มีอาวุธที่ใช้ทำร้ายคน ซึ่งเดิม เราอาจจะคิดว่าสงครามเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่ว่ามันไม่เจอในอารยธรรมนั้น แล้วก็ไม่มีภาพผู้ชายที่จับผู้หญิงมาเหมือนเป็นทาส แล้วก็ไม่มีเทพผู้ชายที่แบบว่าเด่นขึ้นมาเป็นพระเจ้า แต่ว่าเต็มไปด้วยรูปปั้นรูปเคารพของผู้หญิงเป็นแสนๆ รูป นักโบราณคดีคนอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เขาก็เจออะไรพวกนี้ แต่เขาคิดว่ามันเป็นภาพโป๊ของพวกคนยุคหินที่ผู้ชายเขาสลักขึ้นมา


มาเรีย กิมบูตัส พบว่าเมื่อ 3 พันปีก่อนคริสตกาล มันเหมือนมีชนอีกกลุ่มหนึ่งรุกรานเข้ามาในยุโรปตะวันออก แล้วชนกลุ่มนี้แตกต่าง เพราะเป็นคนที่ขี่ม้า เป็นคนที่ใช้ภาษาอินโดยูโรเปียน แล้วพอคนกลุ่มนี้เข้ามา ได้นำอารยธรรมใหม่เข้ามา อย่างเช่นเขาค้นพบว่ามันมีหลุมศพผู้ชายถูกฝังอยู่ตรงกลาง แล้วมีผู้หญิงล้อมรอบ เหมือนกับผู้ชายตายแล้วต้องฆ่าผู้หญิง เขาตีความว่าเป็นสมบัติของผู้ชาย แล้วมันเป็นความรุนแรง ซึ่งไม่พบในอารยธรรมก่อนหน้านี้ อารยธรรมก่อนหน้านี้ แค่ประตู กำแพงเมืองยังไม่มีเลย แต่อารยธรรมที่มาทีหลัง มันเริ่มมี เริ่มตั้งเมืองอยู่บนที่สูง เพื่อให้ปลอดศัตรู แล้วก็ต้องพยายามปกป้องตัวเอง แล้วก็ใช้ม้า เป็นอารยธรรมที่ใช้ม้า มันต่าง ซึ่งคิดว่าอันนี้เป็นพื้นฐานของอารยธรรมกรีก-โรมัน ที่ตามมา เรื่อยมาจนถึงอารยธรรมตะวันตกในปัจจุบัน

การค้นพบนี้บอกอะไรบ้าง


คือเขาบอกว่ามนุษย์ไม่ได้มีความโหดร้ายเป็นธรรมชาติ เราเคยอยู่กันมาได้ในที่ๆ มันไม่ต้องมีอาวุธ ไม่ต้องมีการเข่นฆ่า ไม่ต้องมีสงคราม ไม่ต้องมีการสร้างกำแพงปกป้องตนเอง มันเป็นไปได้ ยุคนั้นมันไม่ใช่มีอารยธรรม มันมีอารยธรรม เพราะว่างานศิลปะเขามันสวยงาม แสดงว่ามันสามารถทำได้ พลังของมนุษย์สามารถนำไปใช้ในทางที่มันสร้างสรรค์กับโลกได้

ฟังดูเป็นคำพูดที่สวยหรู แต่ไปไกลกว่ากระบวนทัศน์ของคนยุคนี้มาก ?


คือพูดจริงๆ มันคืออุดมคติไหม เราว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่า ถ้าไม่คิดอย่างนี้ เราจะอยู่กัน มันก็มีแต่ทำลายกันไปเรื่อยๆ แล้วใช่ไหม ไม่ว่าจะเป็นทำร้ายกันและกัน หรือว่าทำร้ายธรรมชาติ พอเราเห็นว่ามนุษย์มีศักยภาพตรงนี้อยู่ ถึงแม้ว่าโลกปัจจุบันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่เรามีศักยภาพอยู่ แล้วเรามีทางเลือก เพราะว่าถ้าเราไม่เห็นทางเลือกนี้เลย เราก็จะคิดว่าอันนี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่เราต้องทำสงครามทำลายล้างกัน แต่ถ้าเรามีศักยภาพตัวนี้อยู่ เราสามารถดึงมันกลับขึ้นมาใช้ได้ มันเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่า ไม่ใช่เป็นอุดมคติ แต่จำเป็น ถ้าเราจะอยู่กันต่อไป

แล้วศาสนาหลักที่ควบคุมโดยชาย พอจะขยายความให้ฟังได้ไหม


คือศาสนาที่มาทีหลัง อย่างศาสนาที่นับถือคัมภีร์ทั้งหลาย อย่างศาสนาอิสลาม คริสต์ หรือว่ายิว เขานับถือพระเจ้าหนึ่งเดียวที่เป็นผู้ชาย มันมีความพยายามที่จะลบล้างความเชื่อของศาสนาดั้งเดิมที่นับถือเทพผู้หญิง ถามว่ามันเกิดเพราะอะไร เราก็ไม่รู้จริงๆ เราอธิบายว่ามันอาจจะเป็นการทดลองอะไรบางอย่างของมนุษยชาติก็ได้ ว่าถ้าไปทางนี้จะเกิดอะไรขึ้น

ตรงนี้มันเป็นตัวกดแล้วก็คุมผู้หญิงไม่ให้มีอำนาจขึ้นมา อย่างถ้าจะดูๆ ไปอย่างศาสนาคริสต์โดยเฉพาะนิกายโรมันคาทอลิก ตอนนี้ยังไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเป็นพระ ผู้หญิงเป็นเหมือนผู้รับใช้ พระเจ้าก็เป็นเพศผู้ชายทั้งนั้น พระบิดา พระบุตร พระจิต มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น หรืออย่างศาสนาพุทธในบ้านเรา บวชเป็นภิกษุณีก็เป็นเรื่องแล้ว คนก็ต่อต้านกัน ซึ่งจริงๆ มันอาจจะห่างไกลจากคำสอนของศาสดามากทั้งพุทธทั้งคริสต์ อย่างพระเยซูให้สอนสิ่งที่มันเป็นคุณค่าอะไรบ้าง อย่างความรักความเมตตา มันเป็นคุณค่าที่จะพูดไป คนเป็นแม่ทุกคนต้องมี แล้วเราคิดว่าคำสอนของศาสดาน่าจะทำให้โลก Balance ขึ้นมากกว่า เอาพลังความรักความเมตตาของการเป็นแม่ขึ้นมา Balance กับโลกที่เน้นการทำสงครามทำลายล้างกันรุนแรง

จำเป็นไหมที่จะต้องมีศาสนาใหม่


คือศาสนาใหม่ไหม มันแล้วแต่คนนะ อย่างบรรดาผู้คนในซานฟรานฯ ที่เราไปอยู่มา บางคนอยู่ในศาสนาเดิม แต่เขาให้คุณค่าใหม่ เขาปฏิเสธว่าไม่ใช่ผู้ชายเท่านั้นที่จะมีศักยภาพในการเข้าถึงพระเจ้าหรือการบรรลุธรรมได้ ผู้หญิงก็มีศักยภาพเหมือนกัน หรืออย่างบางคน ไม่ได้อยู่ในศาสนาหลักแล้ว แต่กลับไปหาเพเกิน กลับไปหาความเชื่อดั้งเดิมที่มีอยู่ เราก็ไปร่วมกับเพื่อนที่บ้าน ก็จะมีวัฏจักรของธรรมชาติ ที่เขาทำพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านในรอบปี เข้าสู่หน้าหนาว เข้าสู่หน้าร้อน เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ คือกลับไปเป็นส่วนหนึ่งในวัฏจักรธรรมชาติ แล้วก็ทำตัวให้สอดคล้องกับธรรมชาติ

ในมุมมองของคุณ พิธีกรรมยังสำคัญอยู่หรือไม่


เราคิดว่าสำคัญ แต่ว่าพิธีกรรมมันสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ได้ เมื่อก่อนแทบจะไม่ได้สนใจพิธีกรรมเลย การเรียนที่นี่เปลี่ยนมุมมองของเรา


ยิ่งตอนทำวิทยานิพนธ์ ทำเรื่องพระแม่โพสพ ไปดูเขาทำนา ทำพิธีกรรมแทบจะทุกขั้นตอน ตอนแรกเรานึกว่าทำเฉพาะรับขวัญท้องอย่างเดียวเท่าที่รู้กัน กว่าจะเอาข้าวลงไปปลูก กว่าจะถอนกล้าไปปลูก ก่อนข้าวจะท้อง ก่อนจะเกี่ยวข้าว จะเอาข้าวเข้ายุ้ง มันมีพิธีกรรมทุกขั้นตอน เราก็รู้สึกว่าทำไมมันสำคัญขนาดนั้น คือคนโบราณเขาคงเข้าใจอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขาสามารถอยู่กับธรรมชาติได้ เราเรียกมันว่า 'เทคโนโลยีทางจิต' คือคนสมัยใหม่จะทำนา หญ้าขึ้นก็ฉีดยา ใช้วิธีการวิทยาศาสตร์ ทางเทคโนโลยี ซึ่งมันค่อนข้างจะทำร้ายธรรมชาติ แต่ว่าคนโบราณใช้พิธีกรรม ใช้เรื่องทางจิตวิญญาณ เป็นหลักในการทำนา แล้วสื่อสารกับพลังทางธรรมชาติ สื่อสารกับพลังของพระแม่โพสพ เราเลยเห็นว่ามันสำคัญมากเลยนะ แต่พอเราทำวิทยานิพนธ์ เราก็ไปศึกษา เราปลูกข้าวเองเลย เราจะได้เห็นต้นข้าวของเรา ทำพิธีกรรมของเราไป

คิดว่าพระแม่โพสพทั่วทั้งโลกเหมือนกันหรือเปล่า


คือจะพูดให้ทั่วทั้งโลกคงไม่ได้ แต่ในสายทางยุโรป มีเทพผู้หญิงที่เป็นเทพของบรรดาข้าวสาลี เขาก็เคารพเหมือนกัน สมัยก่อนก็มีการทำพิธีกรรมเหมือนกัน แต่สมัยนี้หายากหน่อย เพราะของยุโรปถูกกดทับถูกลบไปนานมากแล้วจากศาสนาคริสต์ ของเรายังโชคดีที่ยังมี เรายังมีคนที่เขารู้ เวลาเราไปคุยกับคนเฒ่าคนแก่ แม้จะเลิกทำไป 30 ปีแล้ว แต่ยังจำได้ว่าทำอะไร ของยุโรปนั้นเลิกทำไป 300 ปีแล้ว ไม่รู้จะไปหาอย่างไร ของเรายังอยู่ รากเรายังอยู่ ... ในพื้นที่ภาคกลางเท่าที่ไปคุยมา รับขวัญท้องต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น เพราะว่าตำรามันมีบอกว่า ผู้ชายไปรับขวัญท้องแล้วพอเห็นพระแม่โพสพสวย ก็ไปปล้ำพระแม่โพสพ ปล้ำเทพผู้หญิงก็หายนะ เลยถูกห้าม ไม่ให้ทำพิธีกรรม เพราะฉะนั้น อันนี้ถ้าไม่มีผู้หญิงก็ไม่มีความอุดสมบูรณ์ มันเชื่องโยงกัน

การศึกษาเรื่อง Women's Spirituality ได้พูดถึงเรื่องเพศทางเลือกหรือไม่


พูด เยอะแยะไปหมดเลย อย่างนั่งเรียนกันอยู่ วิชา Feminist philosophy ก็มีผู้ชายที่แต่งหญิงมาเรียนด้วย เขาบอกว่าเขาอยากจะทดลองแต่งเป็นหญิงดู เพื่อว่ามันจะรู้สึกอย่างไร บางวันเขาก็แต่งชายมา บางวันเขาก็แต่งหญิงมา มันเปิดโอกาสให้แก่ความหลากหลาย เพราะว่ามันคงไม่ได้มีแต่หญิงชายเท่านั้นหรอก โดยเฉพาะสิ่งที่เรียนพวกบรรดาที่ติดต่อกับจิตวิญญาณได้ ส่วนใหญ่ในความเชื่อดั้งเดิมแบบชนเผ่า ก็เป็นพวกคน 2 เพศ อย่างอินเดียนแดงก็มีพวกคน 2 เพศ หรือว่าอย่างที่อินโดนิเซีย ก็จะมีพวก Bisu ซึ่งเป็นแบบมนุษย์ 2 เพศ มีความเป็นผู้หญิงผู้ชายอยู่ในตัว คือเขาจะมี 5 เพศเลยในอินโดในดั้งเดิม ในจำนวนนนี้ก็มีเพศหญิงเพศชายอยู่ในตัว พวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่สื่อสารกับพลังธรรมชาติ มีความหลากหลายเยอะแยะ

ดูเหมือนว่าที่นั่นเป็นอีกพื้นที่หนึ่งซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสรับรู้ ?


มันเป็น integral studies บูรณาการทุกอย่าง พยายามที่จะเปิดโอกาส พยายามที่จะไม่กดทับ

แล้วมันวัดผลอย่างไร


คือแบบว่าเรียนสายทางเลือก ฟังดูดี ให้พื้นที่แก่ร่างกาย สติปัญญา จิตใจ จิตวิญญาณ แต่ในทางปฏิบัติ คือว่าทางด้านวิชาการเราก็ต้องทำ ด้านอื่นเราก็ต้องทำด้วย แสดงว่ามันทำงานหนักนะ บางทีเราดูพวกที่เขาจบกระแสหลักทั่วไป เขาก็เอาความรู้ความเข้าใจเป็นหลัก แต่เราต้องทำงานภายในไปด้วย การฝึกปฏิบัติ เรื่องวิชาการเราก็ต้องเอา ต้องสามารถให้มันมีมาตรฐานได้ เพราะว่าโรงเรียนต้องมีวิทยฐานะบางอย่าง เพราะฉะนั้นต้องทำให้มันถึงวิทยฐานะ แต่ว่าด้านอื่นๆ ด้านจิตวิญญาณเราก็ต้องฝึก ญาณทัศนะก็ต้องเปิด

คิดว่าจะเอาความรู้ที่มีมาใช้กับสังคมไทยอย่างไร


ตอนนี้มีงานหนึ่งที่ทำอยู่ คือพัฒนาหลักสูตรพัฒนาจิตวิญญาณ อันนี้น่าจะใช่โดยตรง เราคิดว่าเราได้ไปเห็นการพัฒนาจิตวิญญาณที่มันหลากหลาย สถาบันเรามันบูรณาการ มันเปิดกว้างมาก ของท่านศรีอรพินโท ท่านไม่มีวิธีการตายตัวโดยเฉพาะ ท่านเปิดกว้างให้แต่ละคนได้ค้นหา เราก็คิดว่าเราใช้อันนี้ได้ ให้มันเปิดกว้างมากขึ้น ที่มันไม่ใช่เฉพาะ อย่างในเมืองไทย ถ้าพูดถึงการฝึกปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ คนส่วนใหญ่ก็ไปทางศาสนาพุทธ มันก็มีวิธีที่เขามีอยู่แล้ว มันก็ยังมีคนอย่างเราที่ไม่ใช่พุทธ จะได้เปิดให้สำหรับทางเลือกอื่น

คือไม่เอา 'ศาสนา' มาตีกรอบ ?


ใช่ ศาสนาได้ อย่างถ้าเป็นคริสต์มาคุยกับเรา เราก็สามารถคุยแบบคริสต์ได้ หรือว่าเป็นคนไม่มีศาสนา บางทีไปหาศาสนาอื่น บางทีเขาอาจจะคิดว่า ทำไมเป็นคนแบบนี้ อาจจะเกิดการตัดสิน ในแวดวงที่เราเรียนมา มันมีคนที่ไม่ระบุบศาสนาตัวเองเยอะมาก ก็เป็นคนที่แสวงหา ซึ่งเขาก็มีวิถีทางของเขา เพราะฉะนั้น มีกรอบก็ได้ ทำตามกรอบก็ดี ศาสดาท่านก็แนะนำสิ่งดีๆ ไว้ให้ แต่คนที่ไม่อยู่ในกรอบ ก็อาจต้องการที่ทางอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า

ได้เห็นการปรับเปลี่ยนในตัวเองอย่างไร


ก็เคารพข้าวมากขึ้น กลับมาปลูกพืชอาหารกินเอง เพราะคิดว่าอันนี้เป็นทางเลือกหนึ่ง ปลูกกินแล้วมันมีความสุข แปลกนะพวกบรรดาจิตวิญญาณผู้หญิงชอบกลับไปปลูกผัก เมื่อก่อนเราตัดขาดตัวเองจากโลกมาก แต่พอมันเรียนรู้แล้ว มันกลับเข้ามาหาธรรมชาติ มันก็อยากจะปลูกผักกินเอง อยากจะอยู่กับดิน เรารู้สึกเลยนะเวลาเราจับ computer กับจับดิน ความรู้สึกมันต่างกัน ...


เรารู้สึกรักโลกมากขึ้น แล้วก็สนใจบรรดาความเชื่อที่แบบว่า ถูกกล่าวหาว่าเป็นความเชื่อแบบงมงาย เปิดใจมากขึ้น ถ้าเมื่อก่อนเราก็จะรู้สึกว่า อะไรก็ไม่รู้งมงาย (อย่างการเข้าทรง) แต่ปรากฏไปดูแล้ว มันรู้สึกว่าชุมชนของเขาพยายามรักษาความเชื่อมโยงของเขากับสิ่งที่มันมองไม่เห็น พลังที่มองไม่เห็น ... คือสังคมไทยอธิบายเรื่องนี้ว่า เป็นวิญญาณติดต่อกัน อย่างที่เราไปเรียนภาษาทางตะวันตก เราก็ชอบใช้ภาษาทางจิตวิทยา ซึ่งเขาก็อาจจะมองว่าเป็นเรื่องของจิตวิทยาได้ อย่างพวกสายจุง (Carl Jung) เขาจะสนใจเรื่องอย่างนี้เป็นพิเศษ จุง จะเรียกเป็น archetype เขาก็อธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้ วิธีวิทยาเขาเปิดมากกว่านั้น


เพื่อนเราสามารถหาวิธีวิทยาที่เป็นที่ยอมรับ อย่างทำเรื่องเจ้าแม่กาลี โดยใช้ความฝันของตัวเองได้ ติดต่อสื่อสารกับเจ้าแม่กาลี แต่ว่ามันหาคำอธิบายมาได้ เขาใช้วิธีวิทยา organic inquiry บ่มเพาะญาณทัศนะของตัวเอง เพราะถ้าจะให้ฝรั่งมาพูดถึงเรื่องผีเลย เขาก็คงจะรับไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราเลยเหมือนกับว่า เปิดโลกของเราเหมือนกัน จริงๆ เราเป็นคริสต์ที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ว่ามันค่อยๆ เปิดให้เราเห็นว่า มันมีอะไรพวกนี้อยู่มาก

ถึงตอนนี้ คิดว่าตัวเองเป็นแม่มดหรือยัง


ยัง คิดว่าตัวเองเป็นคนที่แสวงหาทางด้านจิตวิญญาณ แม่มดเป็นส่วนหนึ่งที่เราได้ไปเรียนรู้ อย่างศาสนาคริสต์ เราก็ได้เรียนรู้จากที่นั่นเหมือนกัน คือได้เรียนรู้จากความหลากหลาย.