'THE HOST' โรแมนติก ไซ-ไฟ ข้ามดวงดาว

'THE HOST' โรแมนติก ไซ-ไฟ ข้ามดวงดาว

นี่อาจเป็นปรากฏการณ์แบบเดียวกับที่ The Twilight Saga เคยทำได้เมื่อหลายปีก่อน...

...จากเสน่ห์แวมไพร์และมนุษย์หมาป่าสู่กระแสคลั่งไคล้เอเลียนในนวนิยายเรื่องเยี่ยม 'THE HOST ร่าง...อุบัติรักข้ามดวงดาว' ที่จะทำให้คนอ่านต้องระวัง 'ร่าง' เอาไว้ให้ดี!

เพียงได้ยินชื่อนักเขียนคนดัง Stephenie Meyer ผู้แต่งนวนิยายชุด The Twilight Saga หรือชื่อไทยว่า แวมไพร์ทไวไลท์ ซึ่งไม่ว่าจะกี่ภาคต่อกี่ภาคก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และคราวนี้เมเยอร์ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับนวนิยายเรื่องใหม่ที่ยังไม่ทิ้งลายเดิม จากครั้งก่อนที่เกิดความรักข้ามเผ่าพันธุ์ระหว่างคนกับแวมไพร์พ่วงท้ายด้วยมนุษย์หมาป่าสุดเท่ ใน The Host ก็เป็นเรื่องราวความรักระหว่างคนกับมนุษย์ต่างดาว ซึ่งนวนิยายเรื่องนี้ได้แปลเป็นภาษาต่างประเทศแล้ว 40 ภาษาทั่วโลก แน่นอนว่า The Host ก็ขึ้นแท่นหนังสือขายดีทั่วโลกด้วยเช่นกัน

สำหรับ The Host ฉบับภาษาไทย ซึ่งสำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์ได้ลิขสิทธิ์ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อน ในชื่อแสนอลังการว่า 'The Host ร่าง...อุบัติรักข้ามดวงดาว' ก็ได้รับการตอบรับจากแฟนนักอ่านอย่างดี และในปีนี้ The Host ก็ถูกกล่าวขวัญถึงอีกครั้งเพราะกำลังโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มในชื่อ 'The Host ต้องยึดร่าง' ซึ่งยืนโรงฉาย ณ ทุกวันนี้

-1-

รัชยา เรืองศรี ผู้แปลหนังสือเล่มนี้บอกว่า The Host มีโครงเรื่องแปลกใหม่ ทำให้ชวนติดตามมาก

"ความสนุกอยู่ตรงพล็อตที่นับว่าแปลกใหม่ เพราะเอามนุษย์ต่างดาวซึ่งมายึดครองโลกมนุษย์ด้วยการเข้ามาสิงในร่างมนุษย์ แต่แทนที่เขาจะเอาชนะมนุษย์ได้อย่างที่เขาคาดคิด กลับกลายเป็นว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ที่ชื่อ 'เมลานี' ไม่ยอมให้เขาครอบครอง เธอต่อสู้จนกระทั่งเอาชนะสิ่งที่เขามาครอบครองเธอได้"

เมื่อเปรียบเทียบกับ The Twilight Saga รัชยาบอกว่าคล้ายคลึงกันบ้างโดยเฉพาะที่เมเยอร์จับตัวละครสองตัวให้รักกันทว่ามีอุปสรรคบางอย่างทำให้รักกันไม่ได้ ซึ่งใน The Twilight Saga เป็นความรักระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์ ความแตกต่างทางเผ่าพันธุ์เป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่ง แต่ใน The Host มีมิติอันซ้อนมากกว่า

"ในเรื่อง The Host เป็นมนุษย์ต่างดาวกับมนุษย์ และมีข้อขัดแย้งอย่างหนึ่งคือ เขามาอยู่ในร่าง แต่ตัวเจ้าของร่างเองก็ยังอยู่ในร่างนั้น ดังนั้นเขาจึงรักกับผู้ชายคนนั้นไม่ได้"

และเมื่อนวนิยายเรื่องนี้ถูกทำเป็นภาพยนตร์ ในมุมมองของนักวิจารณ์ภาพยนตร์อย่าง เกี๊ยง-นันทขว้าง สิรสุนทร มองว่าหนังรักข้ามเผ่าพันธุ์ยังถือว่ายังขายได้ และอาจเป็นม้ามืดแบ่งรายได้จากภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่องที่กำลังโกยเงินอยู่ตอนนี้

"มีการจับตาว่า The Host จะไปแบ่งรอบของคู่กรรม และพี่มากพระโขนง ม้ามืดที่จะทำให้รอบของคู่กรรมและพี่มากฯลดลงคือ The Host ไม่ได้บอกว่าตัวผมเองเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่มีเด็กวัยรุ่นเยอะมากที่รอจะไปดูหนังเรื่องนี้ เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักของเขามีหลายกลุ่ม แต่กลุ่มหลักคือเด็กวัยรุ่น

อันที่สอง ต้องบอกว่าถ้าสังเกตดูโปสเตอร์ (หรือหน้าปกหนังสือฉบับภาษาไทย) จะยืนกันอยู่สามคน ฮอลลีวูดเขากำลังเห่อมาก วรรณกรรมและหนังที่ทำภาพเป็นยืนกันสามคน เขาเรียกว่า Triangle หนังหลายๆ เรื่องยืนกันสามคน"

นอกจากนี้ นันทขว้างยังมองย้อนกลับไปว่าตั้งแต่ The Twilight Saga ที่เกี่ยวกับรักข้ามเผ่าพันธุ์ กลุ่มเป้าหมายของทั้งหนังสือและภาพยนตร์มักจะเป็นเด็กผู้หญิง ซึ่งตรงนี้เองที่เป็นจุดพลิกหากกระแสจากกลุ่มวัยรุ่นโหมกระพือเหมือนครั้งที่แห่กันอ่านแห่กันชมทไวไลท์

"เขาว่ากันว่าเด็กผู้หญิงซึ่งเป็นกลุ่มอ่านหลักจะชอบ ถ้าเกิดตัวละครพระเอกนางเอกมีความรักหรือมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่ต่างจากเผ่าพันธุ์เขา คนกับแวมไพร์ก็ไปแล้ว นี่ก็คนกับเอเลียน เล่มต่อไปก็อาจเป็นคนกับงูเหลือม (ฮา) มันเป็นวิธีการของคนอ่านที่อยากมีช่วงเวลาพาฝัน แต่ประเด็นหนึ่งที่อยากให้คนอ่านหนังสือเล่มนี้ลองสังเกต คือ มีธีมเรื่องการครอบครอง การสิงร่าง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในงานของผู้กำกับ แอนดรูว์ นิโคล ทุกเรื่อง แสดงว่าผู้กำกับคนนี้มีความชอบธีมแบบนี้ แต่ The Host แตกต่างไปจากเรื่องอื่นๆ ตรงที่มีมิติเยอะ

ตอนนี้สนุกตรงที่ว่าในโรงหนังมีหนังสามเรื่อง ศึกสามเหล่าทัพชนกัน ทัพแรก - G.I.JOE, ทัพสอง - พี่มากฯ, ทัพสาม - คู่กรรม เขาแข่งกันอยู่ว่าใครจะคว้าแชมป์ แต่ถึงตรงนี้พี่มากฯได้แชมป์แน่ๆ G.I.JOE ก็ดี คู่กรรมก็น่าสนใจ และ The Host อาจจะทำให้หนังเรื่องคู่กรรมมีผลกระทบ ถ้าเด็กวัยรุ่นไปดูมากขึ้นๆ ตรงนี้ผมมองว่าหนังทั้งสี่เรื่องที่กล่าวมาได้เงินทั้งหมด น่าดูทั้งหมด"

-2-

ด้วยค่าที่หนังสือเล่มนี้หนาเกือบแปดร้อยหน้า บางคนแค่เห็นอาจถึงกับไม่กล้าเปิดอ่าน แต่ตรงกันข้ามกับข้อมูลที่นิตยสารไทม์ระบุว่ากระแสการอ่านหนังสือเล่มหนาๆ กำลังจะกลับมา ซึ่งนันทขว้างเล่าต่อว่าไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นหนังสือประเภทใด ที่แน่ๆ หนังสือหนาๆ กลับมาขายดีอีกครั้ง และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สะท้อนอะไรบางอย่างได้ด้วย

"ถ้าหนังสือหนาๆ ขายดี แสดงว่านักอ่านก็กลับมาสู่สายตาตัวเอง มีคำถามว่าเด็กผู้ชายหรือวัยรุ่นชายควรจะอ่าน The Host ไหม ถ้าหนังสือดีๆ มันรับทุกสายตา ใครอ่านก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง"

สำหรับรัชยาซึ่งเป็นผู้แปลและต้องอ่านต้นฉบับหนาๆ นี้หลายต่อหลายเที่ยวก็อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า...

"ขนาดคนแปลยังไม่เบื่อ คนอ่านก็ไม่น่าจะเบื่อนะคะ (ยิ้ม) มันหนามากเราก็กำหนดว่าวันหนึ่งจะแปลสักกี่หน้า แต่ด้วยความที่เรื่องดำเนินอย่างสนุก และผู้เขียนเองก็เขียนอย่างลื่นไหล ทำให้เราแปลเกินไปจากที่กำหนดอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รู้ตัว"

ซึ่งตรงกับที่นักอ่านอย่าง น๊อต-อัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล ดารา นักแสดง ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว และเขาประทับใจมากจนต้องถ่ายทอดความในใจว่าแม้จะทำงานมาก มีเวลาว่างน้อยเหลือเกิน แต่พยายามเจียดเวลาเพื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ โดยตั้งเป้าไว้ประมาณหนึ่งแต่ผลลัพธ์กลับไปไกลเกินกว่า

"ผมอ่านจบแล้ว แต่ไม่แน่ใจเรื่องระยะเวลา อ่านไปเรื่อยๆ จนจบ มีหนังสือไม่กี่เล่มหรอกที่ผมอ่านจบจริงๆ แล้วกลับมาอ่านอีก แต่นี่คือหนังสือที่สนุก ไม่เกินจริง จับต้องได้ ศัพท์ไม่ได้ยากอะไรมากมาย

ทุกครั้งที่อ่านมันเหมือนถูกดูด มันวางไม่ลงครับ ตอนแรกอาจตั้งไว้ที่ยี่สิบหน้าก่อน สักพัก ตีหนึ่ง ตีสอง ตีสาม จะเช้าเอา ไปเรื่อยเลยครับ เพราะอินกับเนื้อเรื่อง ตัวละครที่สิงร่างกัน นางเอกเองที่ไม่ยอมให้เอเลียนเข้ามาสิงในร่างเขายึดไปทั้งเรื่อง ผมว่าทำให้เรายิ่งอ่านยิ่งอิน ยิ่งลุ้นไปกับตัวละครในเรื่อง บางทีอ่านๆ อยู่...ตาสีฟ้าหรือยัง (ฮา)"

และเมื่อนวนิยายเรื่องนี้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ น๊อต-อัครณัฐ ก็ยังเชื่อมั่นว่าจะยังสนุก เข้มข้น ไม่แพ้ฉบับหนังสือ

"ด้วยลายเซ็นของการเขียนและลายเซ็นของภาพยนตร์มันคนละแบบอยู่แล้ว บางทีเราอ่านไปเราตีความในแบบยิ่งใหญ่อลังการ พอออกมาเป็นหนัง ผมเชื่อว่าหนังก็ทำออกมาใหญ่เหมือนกัน แต่มันจะผ่านมุมมองของผู้กำกับ ของทีมงานต่างๆ มากมาย เราจึงเหมือนได้ดูเรื่องเดิมแต่มีความคิดที่แตกต่างออกไป อาจมีรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นหรือน้อยลง นั่นคือเสน่ห์ของทั้งหนังสือและภาพยนตร์"

-3-

เรื่องราวของ The Host เกิดขึ้นเมื่อ เมลานี สไตรย์เดอร์ สาวน้อยที่แม้จะถูกสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวนามว่า แวนเดอเรอร์ เข้าครอบครองร่าง แต่ไม่ยินยอมให้จิตวิญญาณของเธอถูกครอบครองและกำจัดทิ้งไป เพราะเธอยังห่วงพะวงถึงคนที่เธอรักสุดใจ ทั้ง แวนเดอร์เรอร์ และเมลานี จึงเป็นศัตรูที่ต้องจำใจอยู่ร่างเดียวกัน ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องเผชิญเหตุการณ์มากมายทั้งร้ายและดีพร้อมกัน และในที่สุดก็รักผู้ชายคนเดียวกัน...

รัชยา เล่าว่ามีคนบ่นว่าอ่านบทแรกแล้วไม่เข้าใจ ซึ่งเธอก็อธิบายว่าเป็นเพราะบทแรกคือจุดเริ่มต้นของเรื่อง ด้วยค่าที่มีการสิงร่าง จึงค่อนข้างซับซ้อนและเข้าใจยาก

"บทแรกพูดถึงฉากที่เขาเอาวิญญาณใส่ร่างของเมลานี ซึ่งเป็นฉากผ่าตัด มีหมอ เป็นฉากในอนาคต ศัพท์ใหม่ๆ จึงโผล่มาในบทนี้หมดเลย เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาจจะงง พอผ่านไปแล้วก็จะสนุกอย่างแน่นอน"

ทว่า น๊อต-อัครณัฐ กลับแย้งว่าไม่รู้สึกเช่นนั้น เพราะเมื่ออ่านอย่างผ่อนคลาย ปล่อยใจให้สบายๆ เรื่องวิทยาศาสตร์แสนยากก็กลายเป็นนวนิยายสุดสนุกได้ทันที

"ผมพูดในมุมมองของคนอ่านทั่วๆ ไปดีกว่า การอ่านแบบนี้เราอย่าเพิ่งไปโฟกัสมันมาก อ่านไปเรื่อยๆ ก่อน อย่าเพิ่งจับผิด หลังจากนั้นจะค่อยๆ เข้าใจ จับต้นชนปลายถูก เพราะหนังสือนี่เราซื้อไปแล้ว มันอยู่กับเราอยู่แล้ว จะอ่านเมื่อไรก็อ่านได้ ถึงแม้หนังจะออกไปแล้ว เรามาอ่านอีกทีเราอินอีกทีก็ยังได้ เพราะฉะนั้นค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว"

...

สุดท้ายรัชยาได้กล่าวในฐานะผู้แปลที่ต้องอยู่กับงานเขียนของเมเยอร์ยาวนานว่า หลายคนอาจเข้าใจว่างานของเมเยอร์เด็กเกินไป มีแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือไม่ หากได้ลองอ่าน The Host แล้วความคิดเหล่านั้นจะเปลี่ยนไป เพราะเมเยอร์กล่าวถึงความเป็นมนุษย์ กล่าวถึงประเด็นที่ใหญ่กว่านั้นมาก จึงไม่แปลกที่นวนิยายทุกเรื่องของเมเยอร์จะกลายเป็นหนังสือขายดีทั่วโลก

"ตอนที่หนังสือเล่มนี้ออกมาในปี 2008 สเตเฟนี เมเยอร์ ก็เป็นนักเขียนที่โด่งดังมากๆ อยู่แล้ว เพราะหนังสือเรื่องทไวไลท์ซึ่งออกมาก่อนหน้านั้นสามปี หนังสือทไวไลท์ทั้งสี่เล่มรวมแล้วขายได้เป็นล้านก็อปปี้เลยทีเดียว ดังนั้นพอเล่มนี้ออกมา จำนวนพิมพ์ครั้งแรกก็ปาเข้าไปเกือบล้านแล้ว มันดังมากๆ เป็นที่จับตามอง"

สำหรับนันทขว้าง สิรสุนทรก็ยอมรับว่าเมเยอร์คือนักเขียนมือทอง เขียนอะไรก็ขายได้ขายดี นั่นอาจเป็นเพราะเธอรู้จักกลุ่มเป้าหมายดีพอ

"ตัวเมเยอร์เขาเขียนอะไรก็ขายได้หมดเพราะเขาสร้างชื่อจากทไวไลท์ เลยกลายเป็นว่าหนังสือในอุตสาหกรรมวรรณกรรมมีคนบอกว่าตอนนี้แนวทางที่อินเทรนด์มากคือเล่นกับประสบการณ์ และแปลกมากว่าทำไมคาแร็กเตอร์ต่างๆ ในวรรณกรรมที่ทำมาเป็นหนัง จะมีการเข้าสิง เข้าไปครอบครอง แสดงว่ากลุ่มคนอ่านที่เป็นเด็กสาว (เป็นหลัก) น่าจะมีจินตนาการอะไรเหล่านี้อยู่"

ด้านน๊อต-อัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล ก็ฝากถึงหนังสือเล่มนี้และเล่มอื่นๆ ด้วยว่า...

"เดี๋ยวนี้หนังสือถูกลืมไปเยอะ คนไม่ค่อยหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านกัน ทุกอย่างไปอยู่ในอินเทอร์เน็ต ในโทรศัพท์ ไปอยู่ในโลกของไซเบอร์ นี่คือหนึ่งอย่างที่ควรซื้อ และมันจะอยู่กับทุกคนตลอดชีวิตถ้ารักษามันดี เพราะฉะนั้นซื้อหนังสือเถอะครับ ผมเชื่อว่าความสนุก หรืออะไรต่างๆ นานาภายในหนังสือเล่มนี้ เสียงเนไป คุ้ม แบ่งให้คนอื่นอ่านได้

ในรูปแบบของหนังสือมีอรรถรสรูปแบบหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าคนที่อ่านแล้ววางไม่ลง อยากจะอ่านแล้วอ่านอีก อ่านจบแล้วอยากแบ่งปันกับคนรอบข้าง เพราะกลุ่มเป้าหมายของหนังสือเล่มนี้กว้างจริงๆ อ่านได้ทุกเพศและวัย ส่วนภาพยนตร์เองก็ได้ผู้กำกับฝีมือดี ได้นักแสดงฝีมือดี เพราะฉะนั้นลองมาดูอีกหนึ่งมุมมอง ถ้าถ่ายทอดในรูปแบบหนังแล้วจะออกมาแบบไหน"

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง 'The Host ต้องยึดร่าง' เข้าฉายทุกโรงภาพยนตร์ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมาแล้ว และหนังสือ 'The Host ร่าง...อุบัติรักข้ามดวงดาว' ก็ยังพร้อมให้แฟนนักอ่านพิสูจน์ความสนุกชวนติดตามที่แผงหนังสือทั่วประเทศเช่นกัน