ตีความ หนัง ใหม่

มอง ตำนานแม่นาก ใน "พี่มาก..พระโขนง" นิยายคลาสสิก "คู่กรรม" ที่เป็นการผลิตซ้ำ แต่ทำใหม่ในสื่อภาพยนตร์
สุดสัปดาห์นี้ โรงภาพยนตร์ไทยคึกคัก กับภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ 2 เรื่อง 2 รส ตำนานแม่นาก ใน "พี่มาก..พระโขนง" หนังผีโรแมนติกตลก และ นิยายคลาสสิก "คู่กรรม" เรื่องรักข้ามชาติระหว่างสงคราม ที่เป็นการผลิตซ้ำ แต่ทำใหม่ของเรื่องราวที่ได้รับความนิยมมาหลายสิบปีจากมวลชนชาวไทย
บ้านพี่ ก็อยู่ที่พระโขนง
"พี่มาก.พระโขนง" ผลผลิตจากค่าย จีทีเอช ที่เปิดฉายไปแล้วล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์ และทำเงินผ่านหลักร้อยล้านบาทไปเรียบร้อย เป็นการปรับ ตำนานเรื่องผี แม่นาคแห่ง ทุ่งพระโขนง ถูกเล่าขานผ่านสื่อภาพยนตร์ถึง 24 ครั้ง หลากหลายเวอร์ชั่น ในระยะเวลากว่า 70 ปี แต่ไม่มีรอบใดที่ให้ความสำคัญของพ่อมาก เท่ากับ “การตีความ” บนจอใหญ่ครั้งล่าสุด จากผู้กำกับที่โด่งดังกับหนังสยองขวัญยุคไทยเลือดผสมเกาหลีญี่ปุ่นอย่าง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาน ที่หยิบเอามุม “พี่มากและเพื่อน” มาเป็นแกนกลางของเรื่อง และให้แม่นากกลายเป็นดาราสมทบ
เรื่องราวของสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่สามีชื่อ ‘มาก’ส่วนภรรยาชื่อ ‘นาก’ ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจนนากตั้งท้อง ต่อมามากต้องไปเป็นทหารประจำการที่บางกอก มากจึงสัญญาว่ายังไงก็ต้องกลับมาหาลูกเมียให้ได้
ตำนานรักคลาสสิคเปลี่ยนแนว
เรื่องราวของพี่มากนั้นถือเป็นเพียงตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาในภายหลัง เรียกได้ว่าถึงจะเป็นพระเอกแต่บทบาทน้อย อีกทั้งยังไม่มีใครหรือผู้กำกับคนใดให้ความสำคัญกับพี่มากมากนักเพราะหลายคนยังพุ่งความสนใจไปที่แม่นากมากกว่า หลายคนยังซาบซึ้งกับความรักเดียวใจเดียวรอคอยเพียงคนรักของแม่นากเท่านั้น และพยายามจะตีความในหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป
จนเมื่อ โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับได้ไอเดียเสนอเรื่องราวเพื่อนพี่มากและแนวตลก
"ก่อนหน้านี้มุมมองในเรื่องของความรักจะเน้นหนักไปที่ แม่นาก ในอารมณ์ความรู้สึกของคนเฝ้ารอคนรักกลับมา แต่เวอร์ชั่นนี้ ผู้กำกับเล่าว่า จะนำเสนอความรักในมุมมองของพี่มากด้วย และนอกจากจะเปลี่ยนมุมความรักมาเล่าถึงพี่มาก มากขึ้นแล้ว การเปลี่ยนแนวให้ต่างจากเวอร์ชั่นอื่นๆ เป็นแนวคิดที่ผู้กำกับตั้งใจไว้ โทนหนังที่เน้นเรื่องความเป็นคอมเมดี้ ทุกเวอร์ชั่นที่ผ่านทำมาทุกแบบแล้ว ตลกก็มี แม่นากเป็นฝรั่งยังมี ดราม่าจริงจังมันมีหมดแล้วและเขาก็ทำไว้ดีมาก (สามมิติก็ทำมาแล้วด้วย) ทำคราวนี้ต้องไม่เหมือนเดิม”" ผู้กำกับ พี่มาก..พระโขนง บอก แ
ยุคไหนๆก็ยังฮอต
ชลิดา เอื้อบำรุงจิต รองผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ให้ความเห็นเกี่ยวกับ ตำนานแม่นาก ที่ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า อาจจะเป็นความเชื่อของคนทำหนังว่า “หากอยากขายได้ก็ทำเรื่องแม่นาก” อีกอย่างคือ สร้างไปยังไงมันก็ขายได้ แต่มันก็ไม่ได้สำเร็จทุกเวอร์ชั่น และอีกประการหนึ่ง คือ แม่นากเป็นสิ่งที่ป็อปปูล่าในหมู่คนไทย เพราะทุกคนรู้จักแม่นาก อย่างคนสร้างเขาก็ต้องมั่นใจว่าได้สตางค์ ทำไปแล้วไม่ได้สตางค์เขาก็คงไม่ทำ
“ถ้าเอารายได้ ก็ต้องเป็นนางนาก นั่นแหละ คือ มันอาจจะได้สตางค์ เพราะหนึ่งคือ หนังไทยอาจจะห่างหายจากการสร้างแม่นากมาสักพักหนึ่งแล้วในขณะเดียวกันชื่อ แม่นาก ก็เป็นผีที่ถูกสร้างทั้งทีวีทั้งอะไร มันก็ยังวนเวียนในชีวิตเราอยู่ สองคือ การพลิกรูปโฉมแม่นาก เมื่อก่อนแม่นากในตำนานคือผู้หญิงผมยาว เน้นเซ็กซี่ พอเปลี่ยนมาเป็น ทราย(ทราย เจริญปุระ กับผมทรงมหาดไทย ในเรื่อง นางนาก ปีพ.ศ.2542 ) จุดขาย คือ อิงความเป็นจริงของประวัติศาสตร์มากขึ้น จะถูกต้องครบถ้วนแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ก็พยายามที่จะให้ดูเป็นผู้หญิงธรรมดาในยุคนั้น ดังนั้นคนที่รู้จักแม่นากอยู่แล้วก็อยากจะลองดูว่าเป็นยังไง”
ชลิดา ยังให้ความเห็นว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ แม่นาก อย่างเดียว แต่โดยส่วนใหญ่คนไทย(วงการสื่อละครและภาพยนตร์)ชอบที่จะผลิตอะไรซ้ำๆอยู่แล้ว บางอย่างจึงถูกผลิตซ้ำเรื่อยๆ สำหรับแม่นาก มีภาพยนตร์เรื่อง แม่นากเวอร์ชั่นอเมริกา ที่พยายามทำให้แตกต่างออกไป แต่อย่างไรก็ตาม แม้ยุคสมัยเปลี่ยนไปก็ไม่เป็นปัญหา ตำนานแม่นาก ยังถูกเล่าซ้ำได้เสมอ
“ยุคนี้ ถึงมันจะเป็นสมัยใหม่ แต่ว่าคนค่อนข้างมีความเชื่อสิ่งลี้ลับอะไรหลายๆอย่าง รู้สึกว่าอะไรที่มันเป็นความเชื่อดูเหมือนจะเวิร์คกับสังคมไทยทีเดียว เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะเวิร์ค ส่วนหนังเรื่องล่าสุดนี่มันจะเวิร์คไม่เวิร์คเนี่ยก็ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆทั้ง จังหวะ โอกาส ด้วยล่ะ ไม่ใช่แค่ตำนานแม่นากอย่างเดียว แต่ถ้าถามถึงเรื่องความเชื่อของแม่นาก(ในสังคมไทย) ก็น่าจะมีคนไม่น้อยที่ยังเชื่ออยู่ เพราะยังมีคนไปกราบไหว้อยู่ ยุคนี้เป็นยุคที่คนเชื่ออะไรต่อมิอะไรเยอะที่สุดแล้วล่ะ” ชลิดากล่าว
รองผอ.หอภาพยนตร์ฯ ยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ การพลิกเอาบทพี่มากขึ้นนำ ใน “พี่มาก..พระโขนง” ว่าคนสร้างพยายามเล่นกับสิ่งที่คนดูรู้จักในอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง วิธีคิดเดียวกันกับผู้กำกับ นนทรีย์ นิมิบุตร ตอนที่ทำเรื่อง “นางนาก”
“เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนพยายามเล่นกับสิ่งที่ท้าทายให้คนไปดู ว่ามันจะแตกต่างมากแค่ไหน และแน่นอนว่าการใช้นักแสดงที่เป็นที่รู้จักของคนวงกว้างมันก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ดี”
“คนมักจะคิดว่าเวลาที่เราเล่นกับสิ่งที่คนรู้จักเป็นอย่างดีมันค่อนข้างจะได้เปรียบ อาจจะดึงคนได้ง่ายกว่า ในสังคมไทยคนค่อนข้างนิยมดูอะไรที่รู้จักอยู่แล้ว มากกว่าอยากดูอะไรที่มันแปลก อย่าง ‘คู่กรรม’ ในทีวี กับ ‘คู่กรรม’ ในโรงภาพยนตร์ มันเกิดพร้อมๆกัน อะไรมันจะเยอะขนาดนี้ แต่ว่าเขาก็คงคิดคล้ายๆกันว่า ในเมื่อพยายามจะคิด(พล็อตใหม่)หลายเรื่องแต่มันไม่สำเร็จ มาลองสิ่งที่มันประสบความสำเร็จเรื่อยมา เผื่อว่าโอกาสที่มันจะสำเร็จจะมากกว่าก็ได้” ชลิดา ทิ้งท้าย
ประเด็น "การตีความใหม่" ในงานภาพยนตร์ละคร อัญชลี ชัยวรพร นักวิชาการภาพยนตร์ และผู้ก่อตั้ง www.thaicinema.com ได้แสดงทัศนะว่า
"การตีความ (งานวรรณกรรมมาเป็นภาพยนตร์หรือสื่อศิลปะการแสดง) มันไม่มีขอบเขต ชัดเจน บ้านเราเพิ่งมามีคำว่า ตีความใหม่ เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง แต่ทางฝรั่ง เห็นเริ่มตั้งแต่ช่วงค.ศ. 1990 กว่าๆ ในแวดวง ละครเวทีจะชัดเจน ที่สุด ในแง่การตีความ มันเปลี่ยนไปตามยุค บทละครเชคสเปียรส์หลายเรื่องที่ถูกปรับเป็นเรื่องร่วมสมัย อาทิ โรมีโอแอนด์จูเลียต และ แฮมเล็ต เป็นต้น"
อัญชลียังให้ข้อสังเกตว่า ในส่วนของภาพยนตร์ นั้น การตีความใหม่ นั้นมีลักษณะที่ยังไม่ถือเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวใดๆ นั่นคือ ขึ้นอยู่กับตั้งโจทย์ของคนสร้างว่า จะ เน้นแบบไหน ในเนื้อหนังและการนำเสนอ จะเน้นธีมหรือมุมมองของใคร
" ตัวอย่างคือ การปรับตัวละคร เช่น ซินเดอเรลลา มีเรื่องแม่เลี้ยงกับนางซิน และเจ้าชาย ก็มองตัวละครเจ้าชายมีตัวตนอย่างไร หรืออย่างที่ โซเฟีย คอปโปล่า เขาทำเรื่อง Marie Antoinette (ค.ศ.2006) เขาก็เล่าในมุมของ มารี อังตัวเน็ตต์ ว่าผู้หญิงถูกกระทำแบบนี้ เป็นต้น หรืออย่างกรณีภาพยนตร์ ตัวอย่างที่ดี ของผู้กำกับ บาซ เลอห์มาน ที่ทำ Shakespears' Romeo&Juliet ปี ค.ศ.1996 ซึ่งหนังมีไตเติ้ลของคนประพันธ์บทละครต้นฉบับเรื่องไว้ด้วย เพราะเขาจับโจทย์ที่ว่า ถ้าเชคสเปียร์เป็นหนังจะทำยังไง และตีความรายละเอียดแตกต่างกันไป ในปีนั้นมี The Crucible งานของนักประพันธ์ อาร์เธอร์ มิลเลอร์ ที่เขียนบทละครนี้ขึ้นในยุค 50s เพื่อด่ายุคตื่นกลัวคอมมิวนิสต์ของรัฐบาลอเมริกัน แต่ในฉบับภาพยนตร์ ปี 1996 กำกับโดย นิโคลาส ไฮต์เนอร์ ตอนทำหนังประเด็นคอมมิวนิสต์มันหมดไป เขาจึงกลับไปดึงเอาเรื่องของศาสนาการเป็น fundamentalist ซึ่งมันมีความร่วมสมัยกว่า มาเป็นธีมเล่าเรื่อง หรืออย่าง Hamlet ก็มีปรับเรื่องเล่าตามยุคหลายครั้ง หรือนักแสดงและผู้กำกับ เรล์ฟ ไฟน์ ที่ทำ หนัง Coriolanus ที่เอาบทละครของเชคสเปียร์สมาทำ แต่ปรับเป็นยุคสมัยใหม่ขณะที่ใช้บทพูดตรงตามบทละครเดิมทั้งหมด"
สำหรับเมืองไทย "คู่กรรม" เป็นกรณีที่มีการตีความใหม่อย่างมากมาย ซึ่ง อัญชลี ให้ความเห็นต่อ การตีความใหม่ในสื่อภาพยนตร์และละครไทยว่า มีส่วนใหญ่ ตีความแทรกๆ ไป แต่ไม่ได้แยกชัดเจนแบบหนังฝรั่ง
"ในการทำสื่อละคร ภาพยนตร์ของไทย มันก็มีบ้าง แต่ไม่ได้เห็นการปรับชัดเจน ว่าเน้นมุมมองของใคร มองใหม่ยังไง ส่วนใหญ่งานที่คนทำบอกว่าเป็นการตีความใหม่ มักจะเน้นลุค หรือรายละเอียดในเรื่องราว เช่น เอ็กแซ็ค เคยตีความ ละครทีวี เลือดขัติยา รุ่น ติ๊ก เจษฎาภรณ์ กับ อ้อม พิยะดา แสดงนำ เขาปรับเรื่องจากต้นฉบับ ในรายละเอียดเช่นเป็นประเทศสมมติ และลุคของตัวละครก็จะเป็นแขกผสมฝรั่ง ต่างจากเดิมทีเป็นแขกจ๋าเลย"
"คู่กรรม ของ ยุทธนา มุกดาสนิท เขาก็มีบ้างนะ คือเสนอในมุมมองของผู้ชาย เล่าเรื่องโกโบริมากกว่าเวอร์ชั่นอื่นๆ แต่โจทย์หลักเขาคือทำหนังให้มันเป็น realism ซึ่งเป็นทางที่ยุทธนาเขาทำมาอยู่แล้ว เขาจึงเพิ่มแบ็คกราวนด์ให้ตัวละครโกโบริ มีฉากทีเห็นพ่อแม่ที่ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ได้แบ่งข้างชัดเจนว่าจะมองจากมุมมองของใคร "
ในแง่ตีความ อัญชลี ยกตัวอย่าง หนังไทย เรื่อง นางนาก ฉบับปี 2542 ที่เข้าข่าย หนังตีความใหม่ ได้มากกว่าเวอร์ชั่นอื่นๆ และมีความเป็นภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ "เรื่องนั้น นนทรีย์ นิมิบุตร (ผู้กำกับ) จับเรื่องความรักเป็นประเด็นหลัก เป็นหนังโรแมนติกดราม่า และทำให้เป็นกึ่งสารคดี เหมือนแม่นากมีตัวตนจริงขึ้นมา ถือเป็นการตามคอนเซ็ปต์การรื้อโครงสร้างใหม่ (deconstruct)แบบที่วงการวรรณกรรมทำกันมาก่อนแล้ว และเห็นชัดตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อ จากแม่นาก มาเป็น นางนาก"
เมื่อมาถึง พี่มาก..พระโขนง อัญชลี มองว่า "เขาเน้นตัวพี่มากกับเพื่อน อาจจะถือว่าตีความใหม่ได้ แต่มันไม่ได้เสนอมุมมองของตัวละครใดชัด แต่เป็นการปรับเรื่องให้เข้าคอนเซปต์หนังตลก จากทุกเวอร์ชั่นมีการวิ่งหนีผี และตัวพี่มากรู้ความจริงหลังคนอื่นว่าเมียเป็นผี แต่หนังล่าสุดเอาส่วนนี้มาขยาย เพราะเล่าส่วนของพี่มากกับเพื่อนๆ ให้ชัดและมากขึ้น ตอนนี้คือเขาปรับโลกสมมติให้เข้าคอนเซ็ปต์เป็นหนังตลก"
การผลิตซ้ำเพื่อไม่ให้ซ้ำของเดิม ในงานหนังละครของไทย อัญชลี ให้ข้อสังเกตว่า มักเน้นเปลี่ยนลุคภายนอกและรายละเอียด มากกว่า มุมมอง
"อย่างเคส คู่กรรม ละครทีวี ฉบับ ศรราม คู่กับ เบนซ์ พรชิตา เขาเปลี่ยนรายละเอียด(จากต้นฉบับหนังสือ) เพื่อไม่ให้เหมือนเวอร์ชั่นอื่น ที่มีการพบกันก่อนสงครามของโกโบริกับอัง และแม่อร ไปตบตีกับเมียอีกคนของพ่ออังศุมาลิน มันก็มีมุมมองของโกโบริขึ้นมาหน่อย และเห็นว่าบทเขียนให้ตัวละครของศรรามดีกว่า
คู่กรรม 2556
คู่กรรม ในจอภาพยนตร์ ฉบับล่าสุดที่ เสนอมุมของโกโบริ มากกว่าอังศุมาลิน โดยเฉพาะหากวัดจาก ภาพของ โกโบริ (แสดงโดย ณเดช คูกิมิยะ) ที่ปรากฏบนจอภาพยนตร์ อัญชลีมองว่า เป็นการตีความที่ มองจากมุมผู้ชาย
"เวอร์ชั่นนี้ก็เห็นชัดว่า เขาให้มุมมองจากโกโบริ เพราะฉากเปิดหนังมา ขึ้นเสียงพูดเป็นโกโบริเลย จากที่เคยอ่านวรรณกรรมจะเป็นมุมมองของอังศุมาลินมากกว่า ฉากที่ชัดเจน คือ ฉากหลบระเบิดในท่าเรือ โกโบริหนีไปกับเพื่อนทหาร เป็นสิ่งที่ไม่มีในหนังสือ แต่ฉบับของเรียว (กิตติกร เลียวศิริกุล-ผู้กำกับ)เขามาเพิ่มตอนนี้เข้ามา"
ผู้กำกับเขาถนัดหนัง สไตล์หยอกล้อ เล่นๆ เด็กจีบกัน จากผลงานที่ผ่านมา อย่าง ดรีมทีม เกมล้มโต๊ะ เมล์นรกหมวยยกล้อ เป็นต้น ซึ่งทำให้เขาเสนอโกโบริในแบบขี้เล่น เขาทำได้โอเคในช่วงครึ่งแรกของหนังคู่กรรมฉบับนี้นะ แต่มาเสียตอนหลัง ตรงที่แทรกมุมของนางเอกเข้าไป ริชชี่ (ที่แสดงบท อังศุมาลิน) เขาเล่นโดดจากหนัง ในเรื่องหน้าตาภายนอกไม่เป็นปัญหา เขามีบางส่วนคล้ายที่ทมยันตี บรรยายไว้ในหนังสือ แต่อายุน้อยกว่า เพียงแต่ปัญหาของหนังเวอร์ชั่นนี้
น้องเขาโดด หนังไม่ต่อเนื่อง เรื่องบางตอนก็ดี บางตอนก็ไม่พอดี อย่างฉาก เลิฟซีน หรือฉากแต่งงาน มันเริ่มดี เหมือนผู้กำกับติดสไตล์ตัวละครที่มีมุมเล่นๆ (ทะเล้น หยอกล้อ ทีเล่นทีจริง) ซึ่งมันเหมาะเฉพาะช่วงคาแรคเตอร์ของหนังครึ่งแรก แต่พอหนังเริ่มเข้าเนื้อหาซีเรียสขึ้นช่วงครึ่งหลัง (สไตล์นั้น)ไม่เหมาะแล้ว เรามองว่าเขาทำได้ไม่ดี การที่หนังมาเพิ่มส่วนของนางเอก เล่าความคิดของนางเอก ทำให้หนังเริ่มเขว"
ขณะที่คนสร้าง ประกาศว่า เปลี่ยนแนว คู่กรรมฉบับนี้เป็นแนว โรแมนติก มากกว่าดราม่า การเปลี่ยนแนวหนังมีผลทำให้หนังดีหรือไม่ดีหรือไม่ อัญชลี อธิบายว่า ขึ้นอยู่กับคนทำหนัง
"มันขึ้นอยู่กับคนทำหนัง หนังสือต้นฉบับ มันไม่สมบูรณ์แบบ อย่าง คู่กรรม เองก็มีหลุดบ้าง ยกตัวอย่าง เหตุการณ์ก่อนแต่งงาน ในหนังสือไม่มีบรรยายอะไรไว้ชัดเจน แต่เวอร์ชั่นละครทีวีช่อง 7 ปี 2533 ที่คู่ เบิร์ด -กวาง กมลชนกแสดงนำ คุณศัลยา คนเขียนบทเขาเก่ง เขาเติมเนื้อหาเข้าไป ที่มาที่ไปที่นำไปสู่การแต่งงาน เหตุการร์ที่บอกเล่าคุณลุงของโกโบริ เพราะความเป็นละครทีวี มันจะข้ามไปเฉยๆ ไม่ได้ ต้องอธิบายให้เห็นภาพ เขาเติมเหตุและผล ที่หนังสือขาดไป เพราะในภาพทีวี มันจะข้ามไป ตัดเข้างานแต่งเลยไม่ได้ เขาก็เลยเพิ่มส่วนที่โกโบริสามารถบอกลุงเข้าไป และข้อได้เปรียบคือ ละครทำยาวได้เขาเสนอเป็นสองด้าน จากมุมของทั้งโกโบริและมุมอังศุมาลิน ส่วนหนังที่เวลาจำกัดก็อาจจะทำยากกว่า ส่วนฉบับหนังคุณหง่าว ยุทธนา ก็เติมเรียลลิสต์เข้าไป ความจริงจังของตัวละคร ความสมเหตุสมผล ที่มาที่ไปของตัวละคร หรือ นางนาก ของ นนทรีย์ ก็เขียนบทได้ชัดเจนว่า เป็นเรื่องของตัวละครที่เล่าในแบบ existentialism พูดถึงตัวตนตัวละคร ซึ่งเราได้เห็นนางนากที่โดดเดี่ยวและทุกข์ระทม แม้กระทั่งในเวอร์ชั่นละครเวที แม่นาค ของคณะดรีมบ็อกซ์ ก็มีการเพิ่มเรื่องชนชั้นมาอธิบายว่า ทำไม แม่นาค อยู่คนเดียว ที่พระโขนง และเล่าเรื่องในเชิง ว่าพ่อมาก ทำให้เขาทุกข์ การมีปัญหากับแม่ผัว มีการเล่าเหตุผลของการอยู่คนเดียว"
และอธิบายข้อเสียเปรียบของการรีเมคหนังอย่าง คู่กรรม ว่า
"ปัญหาของการดัดแปลงวรรณกรรม คือ คนอ่านที่มาเป็นคนดูจะติดเนื้อหาที่ได้อ่าน แต่คนดูคงไม่ยอมรับ เพราะความเป็นวรรณกรรม ท็อปฮิต ในเคส แม่นาก อาจจะไม่ติดมาก เพราะเป็นเรื่องจากตำนาน จะไปทำใหม่ยังไงก็ได้ คนยอมรับได้ ว่าจะเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ คนไม่ซีเรียส แต่เคสคู่กรรม ความเป็นหนังสือ คนดูก็ยังไปติดว่าไม่หนังเล่าไม่เหมือนต้นฉบับ ถ้าเป็นคนที่ดูหนังดูละครเยอะ อาจจะคุ้นเคยและยอมรับการตีความใหม่ๆ ได้ แต่คนที่ไม่ชิน เขาก็จะทนไม่ได้ ความคาดหวังต่างกัน"
"อย่างตอนที่คุณยุทธนา มุกดาสนิท ทำ ก็ถือว่าตีความความรักโรแมนซ์มาทำเป็นแนวเรียลลิสม์ เห็นได้ว่าเขาให้ตัวละคร โกโบริ เคร่งขรึม หน้าดุมาเลย ทั้งที่ในหนังสือ ตัวละครโกโบริ จะออกแนวหน้าทะเล้นร่าเริง นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลที่คนดูก็เลยไม่ค่อยชอบเวอร์ชั่นนั้น เราเองได้ดูว่าสิบปีก่อนก็รู้สึกไม่ชอบเท่าไรนะ แต่พอกลับไปดูอีกที ก็เห็นความชัดเจนในการทำหนังของคุณยุทธนา เขาเพิ่มเติมรายละเอียดของโกโบริ เพื่อตอบโจทย์ของเขา" อัญชลีอธิบาย
อย่างไรก็ตาม อัญชลี มองในมุมนักวิจารณ์ว่า การตีความใหม่ใดๆ ก็ตาม คนสร้างหรือผู้กำกับล้วนมีความตั้งใจดีแต่อาจจะทำได้ "ไม่ถึง" นั่นรวมถึงในแง่ของ "ความลงตัวของภาพยนตร์" และ ความถูกใจรสนิยมผู้ชมด้วย







