โปรเจคใหญ่'เมืองในฝัน' ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม

ใครๆ ก็จินตนาการถึงเมืองในฝันในแบบฉบับของตัวเอง แต่จะมีสักกี่คนที่คิดแล้วลงมือทำ
เชียงใหม่ อาจเป็นเมืองน่าเที่ยวสำหรับคนทั่วโลก แต่กับคนที่เรียกว่าเป็น "บ้าน" เมืองที่เคยเพียบพร้อมทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งนี้กำลังถอยห่างจากคำว่า "เมืองน่าอยู่" ออกไปทุกที
เช่นเดียวกับเมืองใหญ่ทั่วโลก ปัญหาการจราจร ขยะ มลพิษ ฯลฯ คือฉากชีวิตที่ตามติดการขยายตัวของเมืองมาแบบไม่รีรอ บางคนเลือกที่จะหนี หลายคนพอใจที่จะบ่น แต่นักวิชาการคนนี้ขอใช้วิชาความรู้ที่มีแก้โจทย์ยากของเมืองใหญ่ด้วยตนเอง
ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม มีงานประจำเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ส่วนภารกิจที่ทำสม่ำเสมอคือการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเมืองที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสภาพภูมิอากาศ ผลงานที่ผ่านมาก็มีทั้งโครงการวิจัยที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทน ปัญหาขนส่งสาธารณะในเมืองเชียงใหม่ การจัดการเมือง รวมไปถึงโครงการพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่แม่ฮ่องสอน
วิศวกรที่ดูเหมือนจะรักการสร้างเมืองยิ่งกว่าการสร้างตึกบอกว่า ทั้งหมดที่ทำมาไม่ได้เป็นหน้าที่ แต่เพราะมีความฝัน
"ผมฝันว่าอยากจะอยู่ในเมืองที่เรามีความสุข ฉะนั้นก็ต้องออกมาทำอะไรสักอย่าง..."
-งานวิจัยหลายชิ้นของอาจารย์ค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตวัฒนธรรม ทำไมถึงได้สนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษคะ
เดิมทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วยซ้ำว่าวัฒนธรรมคืออะไร เพราะเราก็ท่องจำมาว่ามันคืออย่างนี้นะ แต่ก็ตั้งคำถามว่ามันคืออะไรมาตลอดแล้วพยายามเรียนรู้กับมัน ซึ่งพอเราได้ไปทำงานกับชุมชนมากขึ้น ก็ยิ่งเกิดคำถามว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเรา เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ใครผิดใครถูก ช่วงแรกๆ เราก็มองว่าคนนั้นผิดคนนี้ผิด โดยไม่ได้มองว่าตัวเราผิดมั้ย แต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าถ้าเราเป็นเขา เราก็อาจจะทำไม่ดีเท่าเขาหรอก เพราะแต่ละคนก็มีที่มาต่างกัน พื้นเพต่างกัน เหมือนกับสมัยก่อนเราบอกว่า ประเทศนี้มันไม่ดี เพราะนักการเมืองไม่ดี แต่เนื่องจากกระบวนการมันเป็นอย่างนี้เราก็พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าเราไปเจออย่างเขามันก็ยากเหมือนกันนะที่จะทำอะไรที่ดีๆ ได้ มันก็เกิดจากการตั้งคำถามมากกว่า แล้ววัฒนธรรมก็เป็นคำถามหนึ่งซึ่งเราสนใจว่ามันคืออะไร
เท่าที่เข้าใจ วัฒนธรรม น่าจะหมายถึง ธรรมที่เป็นวัฒนะ ธรรมชาติ หรือวิถีชีวิตที่คนในเมืองอาศัยอยู่ แล้วเมื่อมันมีอยู่ มันจึงทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้า ก็ไปนั่งนึกถึงต่อว่า...เผอิญสนิทกับคุณตา คุณตาเคยสอนว่า เมื่อก่อนเขาทำอะไร พอมาไตร่ตรองแล้วเนี่ย สิ่งที่บรรพบุรุษเราสะสมมามันมีความหมาย ก็เริ่มมองเห็นว่าจริงๆ แล้ว เหง้าของความเจริญหรือความยั่งยืนของคนรุ่นต่อไป ขึ้นอยู่กับวิถีวัฒนธรรมในปัจจุบันนี้นะ เหมือนกับเมื่อก่อนที่เขาทำมา วิถีบางวิถีควรต้องเปลี่ยนให้เหมาะสมตามกาล แต่วิถีบางวิถีถ้ามันดีอยู่แล้วเราก็ต้องรักษาไว้
ต้องยอมรับว่าถึงตอนนี้ผมเองยังไม่สามารถจะระบุไปได้ว่าอะไรควรรักษาไว้ อะไรควรจะพัฒนาบ้าง แต่จากคำถามนี้ก็นำไปสู่คำถามต่อๆ ไปว่าจะต้องทำอย่างไร แล้วก็พบว่าคำว่าวัฒนธรรมมีความหมายมากกว่าการฟ้อนรำ มีความหมายมากกว่าการแต่งตัว มีความหมายว่าอะไรคือคุณค่าของสังคมนั้น อะไรคือจารีตที่สังคมนั้นเขาเห็นค่า ตรงนี้แหละคือหัวใจ แล้วพอทำงานกับชุมชนมากๆ ก็เห็นว่าตรงนี้สำคัญ
ผมมองว่าวัฒนธรรมมันเป็น social structure ที่หล่อหลอมความคิด หรือสร้างระบบคุณค่าขึ้นมา ถ้าวันนี้เรานิยามสิ่งที่ดีว่าอย่างไร เช่นนิยามว่าคือความสามารถในการที่จะกอบโกยได้ สังคมมันก็ไปไม่ได้ ถ้านิยามว่าคือการเข้าวัด มันก็อาจจะไม่ครบถ้วน ดังนั้นมันอยู่ที่ว่าสังคมให้ค่าอะไรมากกว่า อันนี้จะเป็นตัวชี้ว่าสังคมจะไปทางไหน
-จากมุมนี้มองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ในเชียงใหม่อย่างไร
ผมว่าเรามีทางเลือกไม่มากนัก ถ้าเรายอมรับสิ่งที่มันไม่ปกติในสังคมนี้ เช่น คนทิ้งขยะ จะทำอย่างไร จะไปบอกเขาเหรอครับว่ามันไม่ปกติ สมัยนี้ไม่ใช่จะบอกกันได้ง่ายๆ บอกไปบอกมาเดี๋ยวโดนยิงอีก ประเด็นก็คือว่า บางครั้งถ้าเรายอมรับสิ่งที่ไม่ปกติให้เป็นปกติได้ ผมคิดว่าเราน่าจะลำบาก เพราะฉะนั้นมันมีทางเลือกแค่ว่าเราจะทนอยู่กับสภาพเดิมๆ นี้ไหม เหมือนรถติด ถ้าเราทนได้ก็ทนไป ซึ่งผมทนมา 30-40 ปีแล้ว ถ้าทนไม่ได้ก็ต้องหนีไปอยู่เมืองอื่น ในฐานะที่เป็นคนไทยเรามีทางเลือกอยู่สองทางหรือเปล่า ทน หรือ หนี
แล้วถ้าเราไม่ทนเราไม่หนี เราทำอะไรได้บ้าง ก็ทำอะไรล่ะครับ เลือกตั้งเหรอ เลือกตั้งแล้วมันช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นไหม ประท้วง ถ้าทำให้ชีวิตดีขึ้นก็อยากจะไป แต่ผมก็มองว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น กระบวนการหนึ่งที่จะทำอะไรมากกว่านั้น ก็คือตั้งคำถามว่าในบทบาทหน้าที่ที่เรามีอยู่เราทำอะไรได้บ้าง โดยหน้าที่แล้ว เท่าที่เข้าใจ นอกจากสอนหนังสือเราก็มีหน้าที่ในการทำวิจัย แล้วก็บริการประชาชน ผมก็เริ่มต้นจากสิ่งที่ตัวเองรัก เรารักเชียงใหม่เราก็ทำเรื่องที่เกี่ยวกับเมืองเชียงใหม่ อะไรที่ทำได้เราก็ทำ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือเราไม่อยากใช้แรงอย่างเดียว เราก็คิดด้วยว่าถ้าทำไปแล้วมันจะส่งผลอย่างไรบ้าง
อย่างเช่นถ้าให้ไปนั่งเก็บขยะ ก็ทำได้นะ แต่ก็รู้ว่ามันไม่พอ ไม่ทันไง เราก็ทำในสิ่งที่ถนัด ก็คือมานั่งคิด นั่งทบทวนว่าเหตุของปัญหามันอยู่ที่ไหน พยายามทำความเข้าใจเหตุและความซับซ้อนว่ามันอยู่ตรงไหน เกิดจากการคอรัปชั่นหรือเปล่า ใช้ถุงผ้าแล้วชีวิตจะดีขึ้นไหม อะไรอย่างนี้ ก็ต้องมานั่งคิดดู พอคิดปุ๊บก็พอจะมองเห็นว่ามันยังไม่หมดหวังนะ เราในฐานะที่เป็นประชาชนคนหนึ่ง ยังมองเห็นแสงสว่างที่จะทำให้สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวมันสูงขึ้น ก็คือเรารักเมืองนี้ เรารักคนรอบๆ ข้าง เราก็อยากทำให้มันดี ซึ่งเมืองในความหมายของผม ไม่ใช่แค่กายภาพ ผู้คนวัฒนธรรมก็สำคัญ ผมคิดว่าถ้าเราอยู่ในเมืองที่เหมาะสม ชีวิตก็เจริญ มีเวลาเหลือ ก็มีสุนทรียะ
-ที่ผ่านมาโครงการที่ทำร่วมกับภาคประชาสังคม มีอะไรบ้าง
งานที่ผมทำจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของเมือง เป็นอะไรที่อยู่ภายใต้โครงสร้างพื้นฐาน ภายใต้กระบวนการการพัฒนาเมือง เราพยายามทำความเข้าใจว่า ถ้าทุกคนที่อยู่เชียงใหม่อยากจะมีเมืองที่มันดีๆ สักเมือง ควรจะมีอะไรบ้าง ส่วนหนึ่งของหน้าที่วิศวกรนอกจากจะไปสร้างอะไรให้เขาแล้วก็น่าจะมานั่งคิดว่าอะไรมันควรหรือไม่ควรบ้าง ผมก็มาตั้งคำถามว่าเราเป็นภาคประชาชนเรามีสิทธิเลือกไหมครับว่า สวนสาธารณะควรมีเท่าไหร่ เรามีสิทธิเลือกไหมครับว่า เราควรจะมีทางข้ามถนนที่มันดีๆ เราอาจจะมีสิทธิบ่นนะครับ แต่นอกจากนี้เราทำอะไรได้บ้าง นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นในฐานะที่เราก็เป็นคนหนึ่งที่เสียภาษี แล้วก็เป็นคนหนึ่งซึ่งได้ผ่านกระบวนการเลือกตั้งและให้อำนาจกับผู้ที่สมควรได้รับอำนาจไปจากกระบวนการต่างๆ ที่ประเทศไทยใช้สรรหาผู้นำในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ
ก็พยายามทำตรงนั้น ซึ่งเราก็เห็นช่องว่างว่าในฐานะประชาชนมันยังไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นภาษีที่ประชาชนจ่ายไปกับสิ่งที่ประชาชนควรจะได้ จากมุมมองของเรา เราคิดว่ามันยังมีช่องว่างอยู่ เราอยากจะเข้าไปศึกษาว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวบุคคลนะ เกิดขึ้นจากกระบวนการที่คนรุ่นต่างๆ สะสมมา ก็ตั้งคำถามว่าถ้าเราอยากมีเมืองที่มันน่าอยู่เราทำอะไรได้บ้าง เพราะฉะนั้นงานวิจัยที่ผมทำก็จะเกี่ยวกับเรื่องของขนส่งสาธาณะ ในเรื่องของมลพิษ เรื่องของการจัดการเมือง
-อย่างเรื่องขนส่งสาธารณะซึ่งถือเป็นปัญหาคลาสสิคของเมืองเชียงใหม่ต้องเริ่มต้นตรงไหน
หลายคนมองว่าเรื่องนี้แก้ยาก แต่ถึงมันจะมีแสงสว่างตรงปลายทางน้อยเพียงใดก็ตาม ถ้าเราเชื่อมั่นว่ามันแก้ได้ ก็ต้องแก้ได้ ที่ผ่านมาเนื่องจากเหตุของการแก้มันไม่ครบ เหมือนเราบอกว่ารถเมล์จะไปแก้รถติด มันก็คงไม่ใช่ ต้องทำความเข้าใจว่าที่ผ่านมาเราเน้นเรื่องการใช้รถส่วนตัวมาตลอด ดังนั้นทางเลือกอย่างก็คือการใช้รถสาธารณะ รถแดงก็เป็นรถสาธารณะแบบหนึ่ง รถเมล์ก็เป็นรถสาธารณะแบบหนึ่ง ปรากฏว่าระบบแรกมันครอบครองทางเลือกของเราแล้ว แต่ระบบที่สองมันเป็นระบบที่รัฐต้องเข้ามาช่วย รัฐต้อง subsidy หรือว่าให้เงินสนับสนุนหรืออาจจะเป็นสนับสนุนในทางอื่นก็แล้วแต่ คือทำให้ตรงนี้มันยั่งยืนได้ แล้วระบบมันก็จะเดินไปของมันเอง ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่ว่าไม่ใช่ว่าเรามีรถแดง หรือเราไม่มีรถเมล์ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าการจัดการในภาพใหญ่มันขาดไป
ปัญหารถติดก็เหมือนกับปัญหาอื่นๆ คือมันเกิดความคับคั่งขึ้น มีการแย่งกันใช้ทรัพยากร ซึ่งทรัพยากรในที่นี้ก็คือ พื้นที่ เรามีถนนจำกัด เราทำอะไรอยู่ตอนนี้ คนขายของก็อยากจะขายของ คนจอดรถก็จะจอดรถ คนขับก็อยากขับ ตอนนี้ที่เห็นก็คือคนที่อยากเดินหรือขี่จักรยาน มันไม่มีทางที่จะไป มันก็เกิดความไม่สมดุลกันของคนต่างกลุ่มต่างก้อน เราให้ค่าคนที่มีอำนาจทางเงินมากกว่า คนมีรถมีหน้าตา ซึ่งก็ไม่ผิด แต่พอถึงวันหนึ่งต่อไปในระยะยาวจะเกิดการกระทบกระทั่งกันมากขึ้นระหว่างคนแต่ละกลุ่ม
เพราะฉะนั้นกระบวนการที่เข้ามาดูมันเอื้อให้เห็นว่า เมืองเรามีคนอยู่หลายกลุ่มนะ มีคนกลุ่มน้อย มีคนรวย มีคนยากจน มีคนต่างถิ่น มีคนต่างชาติ ผสมผสานกัน เราก็ต้องมานั่งดูว่าเขาอยู่กันอย่างไร อันนี้คือสิ่งที่สำคัญ ภาคประชาชนหรือภาคการศึกษาต้องออกมาทำความเข้าใจเรื่องนี้ซึ่งมันใกล้ตัวมาก แต่ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็จะเสียโอกาส จากที่ควรจะใช้เวลาเดินทางแค่ 15 นาที ก็อาจจะเป็นชั่วโมง มันเสียเวลามาก เพราะฉะนั้นปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องของขนส่ง เป็นเรื่องของความสามารถในการรับรู้หรือเท่าทันประเด็นของเมืองที่เกิดขึ้น เพราะวันนี้จากกระบวนการสังคมที่เรามีอยู่เอื้อให้เราต้องโฟกัสที่ตัวเองให้ได้ มันไม่มีพลังงานมากเพียงพอที่จะไปคิดเรื่องของคนอื่น ก็เลยกลายเป็นสังคมที่มือใครยาวสาวได้สาวเอาเป็นหลัก
ถนนเป็นคลาสสิคเคสที่เรา... ประชาชนจะคุยกันเองหรือรอให้รัฐสั่ง จะแก้วันนี้ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายน้อยหรือจะไปแก้ในอนาคตข้างหน้าซึ่งเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล มันเป็นสามัญสำนึกที่ประชาชน หรือจะเรียกว่า พลเมือง ควรจะต้องทราบ
-แล้วปัญหาอะไรในเชียงใหม่ที่น่าหนักใจที่สุด
ผมว่าพอเรามองเชียงใหม่ หลายๆ อย่างต้องทำใจ เชียงใหม่เปรียบเสมือนคนรุ่นกลางคนแล้ว ผมคิดว่ายังไงเชียงใหม่ก็ไปได้ เพียงแต่เป็นความท้าทายมากกว่า ว่าเราจะรักษาสิ่งดีๆ ที่เชียงใหม่เคยมีหรือกำลังมีอยู่ได้ขนาดไหน แล้วเอาสิ่งที่ดีนั้นมาต่อยอดอย่างไร มันไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่ บางเมืองเขาไม่มีอะไรเขาจำเป็นต้องสร้างใหม่ อย่างสิงคโปร์ก็สร้างใหม่ แต่เชียงใหม่มีของดีเยอะแยะมากมาย เราจะรอให้มันพังแล้วมาสร้างใหม่เหรอ มันก็กะไรอยู่นะในคนรุ่นของเรา รุ่นต่อมาเขาก็อาจจะมาถามว่าคุณไม่ทำอะไรบ้างเลยเหรอ เพราะฉะนั้นผมก็ไม่ได้กังวลอะไร มันเป็นไปตามวิถีของมัน เพียงแต่สิ่งที่กังวลที่สุดคือคนรุ่นของเราไม่ได้ทำเต็มที่ในสิ่งที่ควรทำ
-แต่นอกจากที่เชียงใหม่แล้ว อาจารย์ก็ยังมีโครงการพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่แม่ฮ่องสอนด้วย?
ผมก็ไปมาหลายเมือง แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองหนึ่งซึ่งเหมือนเชียงใหม่สมัยก่อน แล้วก็มันมีโอกาส มีของดีอยู่ ซึ่งคนภายในอาจจะไม่เห็น เราเดินทางเยอะ เราอาจจะเห็น ก็พยายามพูดคุยว่าเรามองเห็นอย่างนี้ เขาเห็นอย่างไร แต่คนที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเมืองก็ต้องตัดสินใจว่าทิศทางของเมืองควรเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็คือทำให้เกิดสติในการพัฒนามากขึ้น งานที่ทำมาก็เป็นงานที่พยายามใช้ข้อเท็จจริงลงไปที่ภาคประชาชนมากกว่า
อีกอย่างผมว่าแม่ฮ่องสอน ซับซ้อนน้อยกว่าเชียงใหม่ ยังมีความหวัง เพียงแต่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทำให้เกิดคำถามว่า จะปล่อยให้มันเป็นไปหรือใช้โอกาสสักครั้งหนึ่งที่คนที่คิดเหมือนกันมาเจอกัน ลงไปแทรกแซงหรือทำให้เกิดผลในเชิงบวกต่างๆ เท่าที่เรามีพลัง ถ้าเกิดทำได้โอกาสที่มันจะเสื่อมไปก็น้อยลง
-เพราะอย่างนี้หรือเปล่าคะถึงได้เรียกแม่ฮ่องสอนว่าเป็น "ที่มั่นสุดท้ายทางวัฒนธรรม"
พอเราไปปุ๊บ วัฒนธรรมของเขามันชัดเจนมาก เขายังไม่ถูกอิทธิพลของส่วนกลางเข้ามามากนัก เขายังสามารถดำรงวิถีของเขาได้ ซึ่งผมมองว่าเป็นความสวยงาม ถ้ารัฐไทยยังไม่เห็นความสำคัญ หรือเห็นแล้วแต่ไม่สามารถรักษามันไว้ ผมเชื่อว่าเมืองอื่นก็ไม่รอดเหมือนกัน ขนาดแม่ฮ่องสอนมีความเข้มข้นขนาดนี้ มีปราการที่เป็นหุบเขาขวางกั้นไว้ พวกเรายังรักษาเอาไว้ไม่ได้ แล้วอย่างอื่นจะไปทำอะไรได้ ผมยังมองไม่เห็นที่มั่นที่อื่น
ทุกวันนี้การมาของกระแสโลกาภิวัตน์ หรือกระบวนการพัฒนาเชิงทุนมันเร็วมาก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผิด มันเป็นกระบวนการของมัน แต่ท้องถิ่นจะสามารถมีสติกับการเปลี่ยนแปลงได้มากแค่ไหน ถ้าเราไม่มีสติมันก็จะเกิดสิ่งที่ละม้ายคล้ายกับเชียงใหม่ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดนะ แต่มันก็เป็นอีกวิถีหนึ่งแล้ว เราก็ต้องอยู่กับตรงนั้นให้ได้
-เรียกว่าไม่ได้ต้านการเปลี่ยนแปลง แต่พยายามสร้างภูมิคุ้มกัน?
ก็ทำนองนั้น คือเราไม่ได้ต้องการจะแช่เแข็งเมืองเอาไว้ มันทำไม่ได้หรอก เพียงแต่สิ่งที่สำคัญคือความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ความเข้าใจในอดีตของตนเอง ซึ่งประวัติศาสตร์ของเราโดนบิดเบือนไปเยอะ เราต้องเอาประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องมานั่งพูดคุยกันว่าข้อเท็จจริงคืออะไร ต้องทำให้ภาคประชาชนมองไปข้างหน้าว่ามันจะเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง ให้เขามีเวทีที่จะพูดคุยกันว่าเขาจะพาเมืองไปทางไหนต่อ แล้วในปัจจุบันตามบทบาทหน้าที่ที่แต่ละคนมีอยู่จะต้องทำอะไร และเราเชื่อว่าอีก 5 ปีข้างหน้าการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี การซื้อเสียงน่าจะน้อยลง เชื่อว่านายกเทศมนตรีจะต้องเอาแผนพัฒนาเมืองมาเป็นตัวชูในการหาเสียง
วันนี้สิ่งที่เราพบก็คือ หายากมากนะที่นายกเทศมนตรีใครสักคนจะกล้ารับปากว่า เขาจะทำอย่างนี้ ทำจริงๆ นะ แล้วก็หายากมากเลยนะที่ภาคประชาชนจะให้เวลากับท่านนายก ในการให้กำลังใจ ตรวจสอบ แล้วก็ให้ความเห็นในเชิงบวก มันไม่มีไง มีแต่ด่า บ่น ซึ่งผมเคยด่าเคยบ่นนะ แล้วมันก็เข้าตัวเองไง ก็ไล่ไปสิ ด่าเพราะอะไร ก็เพราะเขาไม่รู้ ไม่รู้เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์มันไม่สอน แล้วใครเป็นครูบาอาจารย์ ก็ผมก็ทำหน้าที่นี้ มันก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราต้องทำอะไรสักอย่าง ผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัย หน้าที่ขององค์กรภาคการศึกษาที่จะต้องยี่หระกับแผ่นดินที่องค์กรตั้งอยู่บ้าง วันนี้แต่ละพื้นที่ก็ให้ความสนใจกับ KPI ที่อุปมากันขึ้นมา ซึ่งถ้ามันถูกมันก็โอ.เค.นะ แต่ถ้ามันเบี้ยวๆ แล้ววัตถุประสงค์มันไม่ชัดก็ทำให้องค์กรมันเบี้ยวๆ เหมือนกัน
-ทำงานในลักษณะนี้คาดหวังอะไร
ผมไม่ได้หวังอะไรมากนะ หวังให้มันเดินไปเรื่อยๆ มากกว่า แต่พอไปทำสักพักคิดว่าเป้าประสงค์จริงๆ คือการทำให้ภาคประชาชนให้องค์กรหลายๆ องค์กร หวงแหนเมืองของเขา ผมว่าได้แค่นี้ผมแฮปปี้แล้ว ถ้าตราบใดเรายังไม่รักแผ่นดิน อย่างอื่นไม่ต้องคุยหรอก แต่ถ้าเขาเริ่มรักแผ่นดิน รักบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง เขาก็จะเริ่มทำความเข้าใจแล้วว่าทำไมบ้านเราถึงขยะเต็มเลย ทำไมบ้านเราถึงรถติด อันนั้นมันต้องเริ่มจากตรงนั้นก่อน แล้วการลงมือปฏิบัติก็จะตามมา เพราะฉะนั้นสิ่งที่มุ่งหวัง ก็คงไม่ได้มุ่งหวังอะไร แต่มุ่งหมายว่ากระบวนการของภาคประชาชนจะเดินต่อไปได้
ผมมีความเชื่อว่าถ้าตราบใดก็ตามเรายังรักในแผ่นดิน หรือหวงแหนอย่างเหมาะสมกับแผ่นดินที่ให้กำเนิดเรามา ปัญญาของแต่ละจุดแต่ละอันก็จะเบ่งบานขึ้นมาเอง พอเราไปทำงานปุ๊บ ชาวบ้านสอนเราหลายอย่าง เขาชี้นำเราด้วยซ้ำ ผมแค่เป็นผู้ฟังเฉยๆ แล้วก็คอยช่วยทำให้กระบวนการมันครบถ้วนเฉยๆ ถ้าจะเครดิตอะไรก็คงไม่ได้เป็นผมหรอก มันคงเป็นคนที่ยี่หระกับเมืองทุกคนมากกว่า
-ที่ผ่านมาเรียนรู้จากชาวบ้านเยอะ?
ปัญหาของอาจารย์มหาวิทยาลัยก็คือ ชาวบ้านเขาจะให้ค่าเราเยอะเกินไป ด็อกเตอร์นะ รู้สึกไม่ค่อยดี แต่เนื่องจากเขาให้ค่าเรา ก็ทำให้เราต้องให้ค่ากลับไปบ้างในการรับฟังอะไรต่างๆ สิ่งที่เราพบก็คือ ไม่มีอะไรสมบูรณ์ เราผิดพลาดได้เสมอ ก็ต้องเรียนรู้ ชาวบ้านก็มีมุมมองของเขา เราก็เรียนรู้ว่ามุมมองของแต่ละคนเป็นอย่างไร ถ้าเราเป็นเขา เราจะตัดสินใจอย่างไร ก็พยายามเอาของแต่ละคนมาประกอบกัน
-หลังจากนี้มีแผนจะทำอะไรต่อไป
ที่อยากจะทำจริงๆ คงเป็นการถ่ายทอดมากกว่า เราคิดว่ามีคนที่คิดเหมือนกันหลายคน มีคนที่มีความสามารถอีกหลายคน คิดว่ามีคนเก่งเยอะ เราอยากเห็นคนกล้า อยากเห็นคนลงมือปฏิบัติ คิดว่าการทำงานเชิงเดี่ยวไม่น่าจะรอด อยากจะเห็นความสามารถของคนไทยในการถักทอความสัมพันธ์เชิงบวก แล้วก็เคลื่อนออกไปให้ได้ อยากเห็นกระบวนการตรงนี้ อยากเห็นการตื่นรู้ของภาคประชาชน
ในมุมมองของผม ผมว่าเราโชคดีที่เกิดเป็นคนไทย อยากให้ทุกคนเห็นคุณค่าของแผ่นดินที่เราอยู่จริงๆ พอเรามีโอกาสได้ไปทบทวนประวัติศาสตร์ มันไม่ง่ายที่จะมีแผ่นดินที่มีขันธสีมาล้อมรอบ ถ้ามีโอกาสไม่อยากให้หมดหวัง ถ้าเราสามารถที่จะช่วยเหลืออะไรกันได้ ก็อยากให้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ผมว่าปัญหาหนึ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องพยายามคิดบวกกันเยอะๆ เพราะว่าในปัจจุบันมันง่ายมากเลยในโลกโซเชียลมีเดียที่จะทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่อง มันเยอะมาก จนบางครั้งเราอาจจะไม่สามารถแยกแยะจริงเท็จ แยกแยะกระบวนการต่างๆ เราไม่เหมือนกับสังคมสมัยก่อนอีกต่อไป เรากำลังเข้าสู่อีกยุคหนึ่ง ผมคิดว่าเราต้องเท่าทัน เพราะฉะนั้นการที่จะเท่าทันอะไรต่างๆ ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องเท่าทันตัวเอง ให้ความสำคัญกับสิ่งรอบๆ ตัวมากขึ้น ทำตามบทบาทหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
-ทำงานวิจัยเรื่องเมืองมาก็มาก ร่างภาพเมืองในฝันไว้อย่างไรคะ
คำถามนี้เป็นคำถามที่สำคัญมาก จริงๆ ความฝันก็คืออยากจะอยู่ในเมืองที่เรามีความสุข ฉะนั้นเราก็ต้องออกมาทำอะไรสักอย่าง เมืองในฝันของผมก็คือเมืองที่เราสามารถที่จะหยั่งรากของเราไปได้โดยง่าย เมืองที่เราสามารถที่จะดูแลครอบครัวได้อย่างสะดวก เพราะฉะนั้นองค์ประกอบมีอะไรบ้าง ต้องขับรถสองชั่วโมงหรือเปล่า ก็คงไม่ใช่ หรือไม่มีงานทำ ก็คงไม่ใช่ อากาศไม่ดี ก็ไม่น่าจะใช่ คำตอบก็คือเป็นเมืองที่เราจะหยั่งรากของชาติพันธุ์ของครอบครัวไปได้ แล้วเราอยากให้เป็นเมืองไทย
ผมว่าเจเนอเรชั่นของเราเอาทรัพยากรของคนรุ่นก่อนมาใช้เยอะมากที่เขาเก็บไว้ให้เรา เราเอาทรัพยากรของลูกหลานมาใช้ก่อนเยอะมาก นี่คือข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราก็คือรักษาสิ่งดีๆ ที่ยังเหลืออยู่ และทำให้เต็มที่ในสิ่งที่ควรทำ







