ธีรพัฒน์ อัครเศรณี หลังไมค์ผู้บรรยายเกม

ธีรพัฒน์ อัครเศรณี หลังไมค์ผู้บรรยายเกม

ความจัดเจนบนโต๊ะผู้บรรยายกีฬาสำหรับ ธีรพัฒน์ อัครเศรณี ดูจะเป็นที่รู้จักของเหล่าคนดูกีฬา

โดยเฉพาะเหล่าสาวกหงส์แดงที่น่าจะรู้ว่า นาย "เดื่อ" คนนี้ประกาศตัวเป็น "เดอะค็อป" ตัวจริงอีกคนหนึ่งเหมือนกัน

"ที่อีสตันบลูน้ำตาร่วงเลยตอนลิเวอร์พลูได้แชมป์" เขาย้อนบรรยากาศเกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก 2005

ทั้งบทบาทผู้ผลิต ผู้ดำเนินรายการ และผู้บรรยายกีฬา ทำให้วันนี้อาจเรียกได้ว่าธีรพัฒน์เป็นคอกีฬาตัวจริงอีกคนหนึ่งของวงการ โดยปัจจุบันบริษัทต้นคิด มีเดีย จำกัดของเขาผลิตรายการ "สปอร์ตรับอรุณ" ออกอากาศทางช่องทรูวิชั่นส์ 10 และเป็นผู้ดำเนินรายการร่วมทางฟรีทีวีด้วย

นอกจากการได้เข้าสู่เส้นทางที่ตนเองตั้งใจเอาไว้ ในแง่มุมของเกมกีฬาไม่ว่าจะเป็นระหว่างเกม หรือนอกสนาม ธีรพัฒน์ยืนยันว่า นอกจากความสนุกของกีฬาที่ผ่านสายตาผู้ชมแล้ว ที่เหลือมันคือ "ชีวิต" ล้วนๆ

จึงไม่น่าแปลกใจที่ หลังเก้าอี้ผู้บรรยายตัวนั้น มีซับไตเติ้ลหลังเกมมาเล่าให้ฟังมากมาย

จริงๆ แล้วพากย์บอลนี่ยากไหม

แรกๆ ก็ยากเหมือนกันนะ คือ งานแต่ละอย่างก็มีความแตกต่างกันออกไป ถึงจะเป็นงานเกี่ยวกับกีฬาเหมือนกัน เราก็ต้องสำนึกรู้ว่าแต่ละอย่างหน้าที่ก็จะต่างกันออกไป สมมติดำเนินรายการก็อย่างหนึ่ง พากย์บอลก็อย่างหนึ่ง จัดวิทยุก็อย่างหนึ่ง ความมากน้อยของการแสดงตนก็เป็นเรื่องที่ต้องระวัง อย่างพากย์บอลนี่ที่ต้องระวังที่สุดก็คือความเป็นกลาง แรกๆ มันเป็นเรื่องของสกิลตัวเรา ฟังภาษาอังกฤษได้ จัดข้อมูลได้เรียบร้อย พากย์บอลได้เสร็จเรียบร้อย คราวนี้สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการหาสไตล์ตัวเอง แล้วก็ความเป็นกลาง สองอย่างนี้คือยากที่สุด ต้องยอมรับว่ามนุษย์เรา พากย์ๆ อยู่บางทีก็เผลอ เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งบ้าง สุดท้ายแล้วแฟนบอลก็ต้องการความเป็นกลางมากที่สุดในการพากย์บอล อย่างปกติผมก็จะชอบลิเวอร์พูล (หัวเราะ) เด็กหงส์

เห็นได้ชัดเวลาพากย์คู่แดงเดือด... ?

(ยิ้ม) เราก็ต้องลืม ต้องพยายามมีจรรยาบรรณ มีความซื่อสัตย์ต่อผู้ชมมากที่สุด ถ่ายทอดให้เป็นกลางมากที่สุด บางคนเชียร์ลิเวอร์พูล และด้วยความไม่ได้ดั่งใจที่ลิเวอร์พูลโชว์ฟอร์มไม่ดี ก็ไปว่าจนคนด่าเหมือนกันว่า เฮ้ย ทำไมมาว่าลิเวอร์พูลทั้งๆ ที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลเอง หรือคนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นแฟนลิเวอร์พูลแล้วได้ยินเขาว่าลิเวอร์พูลก็กลายเป็นมาด่าเขาอีกทีหนึ่ง ทั้งที่จริงๆ แล้วบางทีมันทั้ง 2 ทาง ชอบมาก ก็อาจจะแสดงอาการผิดหวังได้มากเหมือนกัน และในแต่ละแมตซ์เราก็ต้องเตรียมข้อมูล แค่รู้รายชื่อ 11 ตัวผู้เล่นไม่พอ ถ้าแมตซ์ใหญ่ก็เตรียมนานหน่อย สักครึ่งชั่วโมง ถ้าแมตซ์เล็กก็เร็วหน่อย 15 นาที

สิ่งที่ต้องทำการบ้านส่วนใหญ่เป็นเรื่องอะไรบ้าง

ข้อมูลส่วนตัวของนักเตะต่างๆ บ้าง ข้อมูลที่น่าสนใจของสโมสรบ้าง ข่าวที่น่าสนใจในช่วงนั้น และประเด็นที่น่าสนใจในเกมนั้นว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง อย่างเกมแดงเดือดที่ผ่านมาก็มี ดาวซัลโว ฟานเพอซี่ กับหลุยส์ ซัวเรซ เราก็ต้องเตรียมว่าเขายิงไปแล้วกี่ประตู ประเด็นกรรมการจะเป็นใคร อดีตที่เคยมีเรื่องมาจากกรรมการคนนี้เมื่อไหร่ สิ่งเหล่านี้ก็ต้องเตรียม นอกเหนือจากการฟังซาวน์ที่ฝรั่งเขาพากย์มาหลังจากพัก ก็ต้องแยกประสาทเก่งๆ หน่อย ทั้งพูดด้วยทั้งฟังด้วย (หัวเราะ)

ถือเป็นงานที่กดดันเหมือนกัน ?

ช่วงที่มาพากย์แรกๆ นะ รู้สึกว่าเราพากย์ไม่ได้เรื่องเลย (หัวเราะ) ถึงกับตั้งคำถามตัวเองว่าเราควรจะเป็นนักพากย์ต่อไปไหม แมตซ์แรกที่พากย์เมื่อปี 2002 เริ่มต้นเลย ตื่นเต้นมาก พากย์กับพี่ น.หนู ธราวุธ นพจินดา เราจะพูดแล้วมันไม่ทัน อ้าปากกว่าจะพูดก็ไม่ได้พูด พี่เขาพูดเราก็ไม่ได้พูด จังหวะเรายังไม่ดี ตลอดทั้งเกมพากย์ไปได้ 4-5 ประโยคมั้ง นั่นคือแมตซ์ที่เครียดมาก ก็แข็งใจพากย์ต่อ น้ำเสียงเราเบา หรือข้อมูลก็ไม่ดี พอผ่านปีที่ 2 ปีที่ 3 หายตื่นเต้น ก็เริ่มชินเริ่มปรับตัวได้ดีขึ้น ต้องใช้ความอดทนสูงในช่วงแรก

จริงๆ เราไม่ได้สนใจพากย์บอลเลย เข้ามาวงการกีฬาด้วยความรักการเขียนหนังสือ และการแปลหนังสือต่างๆ และอยากเป็นผู้ประกาศข่าวกีฬาเท่านั้นเอง ไม่เคยคิดจะมาพากย์บอล แล้วอยู่ดีๆ ทำงานก็ไปรู้จักพี่คนหนึ่ง ก็ถูกชักชวนให้เข้ามาทำ ตอนแรกก็พากย์อยู่คืนวันจันทร์ ซึ่งไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ (ยิ้ม) เราก็ลองดู จนถึงวันนี้ก็เรียกว่าทำเกือบจะครบแล้วด้านกีฬา แม็กกาซีน แปลหนังสือ เว็บไซต์กีฬา หนังสือพิมพ์ แล้วก็วิทยุกีฬา ออกพ็อกเก็ตบุ๊คส์กีฬา แล้วก็มาออกรายการโทรทัศน์กีฬา

แต่ดูเผินๆ การเป็นผู้บรรยายเกมก็น่าจะเป็นสิ่งที่สนุก และคนดูฟุตบอลก็น่าจะอยากทำ ?

สนุกอย่างเดียวไม่พอ... สนุกมันเป็นเรื่องของคนดู และเด็กๆ ที่มองดูอยู่ที่บ้าน มันก็เหมือนได้อรรถรส ได้ความสนุกสนาน ซึ่งจริงๆ มันต้องอาศัยหลายอย่าง การมีความรู้ ทักษะทางภาษา การอ่านออกเสียง การฟัง จังหวะ กติกากีฬา มันก็สนุกที่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก แต่ก็ต้องมีวินัย มีการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพราะอาชีพนี้มันหยุดนิ่งไม่ได้ ข่าวมันไปเรื่อยๆ นักพากย์ใหม่ๆ ก็เข้ามา แฟนกีฬาก็รู้มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราอยู่นิ่งๆ เราก็เสร็จ วินัยนี่สำคัญ เพราะนักพากย์ต้องตื่นไม่เป็นเวลา บางทีพากย์ดึกบ้าง พากย์เช้าบ้างอะไรอย่างนี้ เวลาเป็นเรื่องสำคัญ มันก็เป็นความท้าทายของเราตลอด 10 ปีที่ทำงานมา เขาก็จับจ้องเรามาก คุณจะเป็นยังไง มาพากย์บอลทีมที่เขารัก คุณรู้จริงไหม คุณเจ๋งจริงหรือเปล่า ก็เป็นความกดดันอีกแบบหนึ่ง

สิ่งหนึ่งต้องยอมรับว่า เกมกีฬาที่แข่งเป็นฤดูกาลมันจะมีวงจรของตัวเองอย่างนี้ปีต่อปี มันกลายเป็นความซ้ำซากหรือเปล่า

มันไม่เบื่อนะ เพราะความเคลื่อนไหวของทีมก็มีอยู่ตลอด นักเตะก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันมีโจทย์ให้เราแก้ทุกวัน เพราะตัวนักบอลเองก็ย้ายทีมบ่อย เหมือนกับเราต้องลงลึกไปกับเกม วิธีการเล่นเขาเป็นอย่างไร การเปลี่ยนตัว หรืออะไรต่างๆ คือฟุตบอลแต่ละเกมมันก็มีสเน่ห์ของมันเองไม่ว่าจะเป็นเกมเล็กหรือเกมใหญ่ อะไรที่ทำให้มาเจอกัน แล้วมันสนุกยังไง แล้วตัวนักพากย์เองก็ควรจะทำให้มันสนุกด้วยไม่ว่าเกมจะเป็นอย่างไรก็ตาม นั่นคือสิ่งที่นักพากย์รุ่นพี่บอกต่อๆ กันมา จริงๆ บอลถ้วยเล็ก กระปิ น้ำปลา ก็ต้องพากย์ให้สนุกเท่ากับบอลบิ๊กแมตซ์ เพราะเป็นหน้าที่ของนักพากย์ที่จะทำให้คนดูมีความสุข

เมื่อทำรายการกีฬามันก็จะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับกีฬาชนิดอื่นๆ มากขึ้น

ใช่ แต่โดยพื้นฐานเราก็เป็นคนสนใจกีฬาทุกชนิดอยู่แล้ว งานสายกีฬาที่ทำก็ไม่ได้เน้นกับฟุตบอลอย่างเดียว

อย่างนี้ก็มีโอกาสได้เจอนักกีฬาเยอะด้วย ?

มากมายเลยล่ะ โค้ชก็มีนะ สเวน โกรัม อีริคสัน นักฟุตบอลก็ จอห์น บาร์นส์, สตีฟ แม็คมานามาน มาสัมภาษณ์เมืองไทย นักกอล์ฟก็ วีเจ ซิงค์ ธงชัย ใจดี เทนนิสก็ มาเรีย ซาราโปวา ภราดร ศรีชาพันธุ์ นักมวยก็อย่าง แมนนี่ ปาเกียว มีทั้งในประเทศและต่างประเทศ

จากที่ได้สัมผัสกับตัวนักกีฬามาลักษณะเฉพาะของนักกีฬาที่คุณจับสังเกตได้คืออะไร

เมื่อมองจากภายนอกคุณอาจจะเห็นพวกเขาเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่พอเข้าไปคุยแล้ว เขาก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องมีหลักคิด หลักการดำเนินชีวิต หลักการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งตรงนี้ก็น่าสนใจว่าเขาประสบความสำเร็จได้อย่างไร เท่าที่คุยมาก็คือ เรื่องของวินัยที่ทุกคนต้องมี และนักกีฬาแปลกอย่างหนึ่งก็คือ เหมือนจะเป็นคนที่มีสมาธิอยู่ในตัวเอง มีโลกส่วนตัวสูง จะไปลงแข่งขันเกมใหญ่ๆ มันต้องมีความนิ่งอยู่ข้างใน ถ้าไม่มีความนิ่งก็จะไม่สามารถเล่นให้ดีได้

แล้วคนดูล่ะ ได้อะไรจากกีฬา นอกจากความสนุกในการดู

ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เพราะอย่างน้อยเวลาดูกีฬาก็ไม่ได้ออกนอกบ้านไปเสียเงินเสียทอง หรือไปเที่ยวเตร่ ถ้าคนที่สามารถเรียนรู้จากเกมกีฬาได้จะรู้ว่า กีฬามันมีแง่มุมของการต่อสู้อยู่ในนั้น การไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อย่างเช่นโดนนำไปก่อนเยอะๆ แล้วคุณก็สู้กลับมาได้ อย่างตอนแมตซ์นัดชิงชนะเลิศยูฟ่าระหว่างลิเวอร์พูลกับเอซีมิลาน ตอนนั้นผมร้องไห้เลยนะ (ยิ้ม) อีกอย่างก็คือ การทำงานเป็นทีม ไม่มีกีฬาประเภทไหนที่เล่นคนเดียวแล้วชนะ ถึงจะเป็นการแข่งขันเดี่ยวก็ตาม คุณก็ต้องมีโค้ช มีทีมงานต่างๆ ถ้าคุณไม่เชื่อใจเขา คุณแตกคอกับเขา ก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ สามคือ สปีริต รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย แข่งจบแล้วต้องรู้จักลืมในสิ่งที่มันบาดหมางในเกม สิ่งเหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้จากกีฬาทั้งนั้น

กีฬามันเป็นความจริง ไม่มีทางดัดแปลงได้ แพ้ชนะก็เห็นต่อหน้าต่อตา พิสูจน์กันที่สกอร์ที่ประตู มันโกหกไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่อยากให้ดู