โปสการ์ดผาช่อ เชียงใหม่....สู่สามจังหวัดชายแดนใต้

ผาช่อ อยู่ในเขต อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ เพราะเป็นอำเภอที่แทบจะอยู่ชิดติดกับตัวเมืองเชียงใหม่ก็ว่าได้
เพราะห่างออกไปแค่ 40 กม.ตามถนนสาย เชียงใหม่-จอมทอง แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่รู้ว่า แล้วตัว “ดอยหล่อ” นั้นมันคือดอยลูกไหนกันแน่ เคยเรียกแต่ดอยหล่อๆ คงเหมือนเขาใหญ่ ที่ไม่มีเขาลูกไหนชื่อ “เขาใหญ่” ถ้าพูดรวมๆ แบบนี้คงยกผลประโยชน์ให้จำเลย คือ “หล่อทั้งดอย”
นอกจากงานอดิเรกที่เป็นนักล่า “ปราสาทเขมร” ล่า “ฟอสซิล” ล่า “ภาพวาดโบราณ” อีกอย่างหนึ่งคือ “ล่าปรากฏการณ์เสาดิน” “ล่า” ในความหมายผมคือ การค้นคว้า ศึกษาและดั้นด้นไปดูของจริง แล้วเก็บไว้ในภาพถ่ายหาใช่การมีของจริงไว้เพื่อครอบครองไม่ อันที่จริงผมอยากให้นักท่องเที่ยวบ้านเราเป็นนักล่าอะไรสักอย่างในการท่องเที่ยว ล่าไลเคน ล่าผีเสื้อกลางคืน ล่าตั้กแตน ล่าสิมอิสาน ล่าเสมา ล่าวัดล้านนา ฯลฯ เพื่อที่เราจะได้เป็นนักท่องเที่ยวแนวดิ่ง คือเที่ยวไปด้วย แล้วศึกษาไปด้วย นอกจากท่องเที่ยวแล้วยังได้ความรู้ด้วย
แล้วการท่องเที่ยวที่มีเป้าหมายนี้จะทำให้เราอยากค้นคว้าไม่หยุดหย่อน แทนที่ความเชื่อผิดๆ ในการท่องเที่ยว เช่น เอาไม้มาค้ำหิน แล้วบอกว่าเพื่อค้ำจุนชีวิตตัวเอง เอาก้อนอิฐตามโบราณสถานมาเรียงต่อๆ กันแล้วบอกว่ายิ่งสูงชีวิตก็จะรุ่งโรจน์ เรียงหินบนยอดเขา เขาหลวง เขาช้าง ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นความเชื่อที่ทำลายแหล่งท่องเที่ยวทั้งสิ้น ติดนิสัย “แทงกั๊ก” ว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะแบบนี้ สังคมไทยเราจึงเป็นสังคมที่ “ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ”
สำหรับในเรื่องการท่องเที่ยว เราเที่ยวแล้วเคารพสถานที่ อย่าดัดแปลง อย่าต่อเติม อย่าเอาภาระมาใส่ธรรมชาติและที่สำคัญ อย่าทำลายธรรมชาติ (ภาพนักท่องเที่ยว ตั้งหน้าตั้งตาเก็บจอกบ่วายใส่ถุงบนภูกระดึง แล้วบอกว่าเอาไปต้มเป็นยาแก้สารพัดโรค ยังติดตาผมไม่หาย) แต่ถ้าเรามองแหล่งท่องเที่ยวว่าเป็นแหล่งความรู้ แหล่งเปิดโลกทัศน์นอกจากแหล่งนันทนาการ ก็จะให้คุณค่าไม่ไปทำอะไรก้าวล่วง ซึ่งผมเชื่อว่าแหล่งท่องเที่ยวทุกแหล่งเป็นคลังความรู้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับตัวนักท่องเที่ยวเองว่าพร้อมเป็นนักท่องเที่ยวแนวดิ่งหรือยัง
ที่ อ.ดอยหล่อ ผมได้ข่าวว่ามีปรากฏการณ์เสาดินที่ชื่อ “ผาช่อ” ซึ่งผมล่ามาทุกที่ในบ้านเราที่มีปรากฏการณ์แบบนี้ แล้วผาช่อมารอดหูรอดตาผมได้อย่างไรกัน เพราะเหตุนี้ ชื่อ ผาช่อ จึงเป็นชื่อที่ผมต้องไปค้นหาตัวตนจริงๆ ให้ได้ว่าหน้าตาเธอเป็นอย่างไร
จากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้ถนนสายเชียงใหม่-จอมทอง เลยตลาดสันป่าตองมาสักพัก จะเจอวัดฟ้าหลั่งขวามือ ถามว่าวัดนี้มีจุดสังเกตอะไร ก็วัดที่มีซุ้มประตูโขงสวยๆ นั่นแหละครับ ยูเทิร์นรถกลับแล้วชิดซ้าย จะเจอทางเข้าอุทยานแห่งชาติแม่วาง (ถ้าเลยไปแล้วเห็นที่ว่าการอำเภอดอยหล่อ แสดงว่าเลยแล้วครับ ) เข้าไปตามทาง เจอทางแยกจะมีป้ายบอกตลอดทางจนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วาง ไปก็พบหัวหน้าอุทยานฯ ดวงดาว เตชะวัฒนาบวร ขมีขมันทำงาน ซึ่งหัวหน้าท่านนี้เป็นคนที่บุกเบิกอุทยานฯนี้เลยก็ว่าได้ ตั้งแต่สำรวจ เตรียมการ จนกระทั่งประกาศในกฤษฎีกาเป็นอุทยานฯสมบูรณ์ ดังนั้นเส้นทางไปผาช่อที่อยู่หลังที่ทำการอุทยานฯไปไม่ถึง 2 กม. จึงเป็นเรื่องง่ายมากในการพาช
อันที่จริงเส้นทางไปดูผาช่อนี้เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ทางอุทยานฯจัดไว้สำหรับการอบรมเด็กนักเรียนและให้นักท่องเที่ยวได้ใช้ ป่าส่วนใหญ่เป็นป่าเต็งรัง ที่เวลามันเริ่มผลัดใบ(ราวเดือนมกราคม)จะมีสีสวยมากไม่แพ้ใบไม้เปลี่ยนสีทางยุโรปเลย โดยเฉพาะเมื่อขึ้นไปบนเนินผาแล้วมองเห็นหุบแอ่งเบื้องล่างที่เป็นป่าเต็งรังที่สมบูรณ์แล้วเมื่อมันเปลี่ยนสี จะเหมือนแอ่งดอยสีลูกกวาด แทบไม่ผิดเพี้ยน
ทางเดินจะลัดเลาะไปตามร่องน้ำในซอกหลืบเขา พื้นดินเป็นดินกรวดปนทราย ซึ่งที่ที่มีปรากฏการณ์เสาดินจะเป็นแบบนี้ทั้งนั้น เดินไปไม่นานครับ ก็จะไปโผล่บนหน้าผาที่เบื้องหน้าปรากฏเป็นเสาดินขนาดใหญ่ สูงราว 30 เมตร เป็นเสาดินประเภทมีหมวกแข็ง อย่างที่ผมเคยเขียนบอกไปว่าเสาดินประเภทนี้ ความสูงจะเท่าเดิม หัวเสามีศิลาแข็ง ขนาดเสาเท่ากันตลอดทั้งต้น เสาประเภทนี้จะสูงและรูปทรงสวย (อีกประเภทจะเป็นยอดแหลม ฐานกว้าง รูปทรงหลากหลาย ขนาดไม่สูง ความสูงจะลดลงทุกปี เช่นที่ละลุ นาน้อย โป่งยุบ)
สำหรับความต่างของผาช่อนี้ นอกจากจะสูงแล้ว การเรียงตัวของเสาที่โค้งวงเกือบครึ่งวงกลมนั้น ทำให้เวลาเราลงไปยืนที่โคนเสาแล้วแหงนขึ้นมาจะเป็นภาพที่มหัศจรรย์อย่างมาก แม้ผาช่อนั้นไม่กว้าง แต่ร่มไม้ที่ร่มรื่น เสียงนกเสียงธรรมชาติ ทำให้เราเพลินกับการเดินชมผาเสาดินนี้ ปรากฏการณ์เสาดินในอุทยานฯแม่วางนี้มีอีกหลายแห่ง เอาไว้มีโอกาสค่อยมาเก็บตกอีกที
ช่วงที่นั่งรถจะกลับอุทยานฯเหลือบไปเห็นป้าย “หอดูนกเป็ดน้ำ” เลยขอแวะเข้าไปดูสักหน่อย เดินเข้าไปไม่ถึง 50 เมตร ก็ได้ยินเสียงนกเป็ดเซ็งแซ่ ค่อยๆ ย่องเดินเข้าไปก็เห็นนกเป็ดแดงบินขึ้นร้องกันลั่น ผมมาเจอแหล่งดูนกเป็ดแดงใกล้เชียงใหม่เข้าให้แล้ว ที่นี่เขาเรียกอ่างเก็บน้ำโป่งจ้อ หัวหน้าดวงดาวบอกว่านกเป็ดน้ำจะมีทุกปี ปีละมากๆ เพิ่งปีนี้ที่น้อยหน่อยเพราะมีการขุดลอกอ่างเก็บน้ำ แล้วกอสวะที่เป็นแหล่งอาศัยแหล่งหลบภัยหายไปเยอะ ดีที่งบประมาณหมดซะก่อน ไม่อย่างนั้นคงเกลี้ยงบ่อ คือเกลี้ยงทั้งกอสวะ เกลี้ยงทั้งนก ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับนายอำเภอดอยหล่อ ท่าน สราวุฒิ วรพงษ์ ซึ่งเป็นคนที่พยายามจะปลุกปั้นทั้งผาช่อและโป่งจ้อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใกล้เมืองเชียงใหม่ให้ได้ อีกทั้งเรือนพักริมโป่งจ้อของอุทยานฯแม่วางนั้น บรรยากาศน่ากางเต็นท์อย่างมากครับ คงได้มีโอกาสไปกางเต็นท์นอนดูนกสักครั้ง ให้กำลังใจคนทำงานทั้งนายอำเภอและหัวหน้าอุทยานฯครับ
พอเราออกท่องเที่ยวไปตามแหล่งท่องเที่ยวสวยงามต่างๆ ขณะที่กำลังเที่ยวกันอย่างสบาย ยังมี ตำรวจ ทหาร อาสาสมัครพลเรือน ครู พี่น้องร่วมชาติเราในสามจังหวัดชายแดนใต้อยู่ท่ามกลางความไม่ปลอดภัย เราสนุกสนาน แต่เขาอยู่เพียงว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เลยชวนท่านผู้อ่านส่งกำลังใจไปให้เขาได้โดยผ่านโปสการ์ดที่เราทำเองก็ได้ ง่ายๆ แค่ปรินท์รูปที่ไปเที่ยวมาแล้วแบ่งครึ่งหลังรูป ด้านขวาเป็นที่จ่าหน้า ด้านซ้ายเขียนคำอวยพร ให้กำลังใจ ที่อยู่นั้น ไปดูจาก www.tawanyimchang.com ซึ่งมีชื่อฐานปฏิบัติการเกือบครบ ท่านก็ไปเลือกที่อยู่ เขียนให้กำลังใจแล้วส่งโปสการ์ดไปให้กำลังใจได้เลยครับ
คนไทยไม่ช่วยกัน ใครจะช่วยเรา เราไม่รักกัน ใครจะรักเรา ใครจะหวังดีเท่าคนไทยด้วยกัน ปีใหม่นี้(หรือโอกาสอื่นๆ) ขอโปสการ์ดสักใบไปชายแดนครับ...







