จินตนาการในโลกสลับสี ของเนียม มะวรคนอง
หลายครั้งความผิดปกติหรือแตกต่างกลายเป็นคำสาปให้แปลกแยก แต่ในโลกของศิลปะ "ความต่าง" กลับกลายเป็นจุดเด่นให้สร้างงานที่มีเอกลักษณ์ขึ้นมา
หลายครั้ง “ความผิดปกติ” หรือความแตกต่างจากคนทั่วไป ถูกมองว่าเป็น “คำสาป” ที่เป็นอุปสรรคที่ทำให้คนที่แบกรับคำนี้ไว้ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการปรับตัวให้เข้ากับวิถีของโลก...โลกของคน “ปกติ”
แต่ในอีกโลก...โลกของศิลปะ การมีความคิด มุมมอง ที่แตกต่าง หลายครั้งกลับกลายเป็นจุดเด่นเฉพาะตัว เป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางการสร้างผลงานที่เป็นเอกลักษณ์
เนียม มะวรคนอง เกิดมาพร้อมกับการเห็นสีที่ผิดแผกจากคนทั่วไป นั่นเป็นทั้งอุปสรรคและพรสวรรค์ที่แลกมาด้วยความพยายามที่มากกว่า
“ตาบอดสีนี่เป็นตั้งแต่เกิดครับ ผมเห็นสีไม่เหมือนคนอื่น สีเขียวจะเพี้ยนหนักสุด สีเขียวฟ้าผมจะมองคล้ายสีเทา เขียวอมเหลืองผมจะมองเห็นเป็นน้ำตาลหรือส้ม ทำให้เรามีข้อจำกัด ผมอยากจะวาดป่า อยากวาดต้นไม้นี่กลุ้มเลยเพราะเขียวทั้งนั้นเลย เราจะเลือกใช้สีแบบที่เรารู้สึกว่าโอเค สีชุดที่เราค่อนข้างจะมั่นใจคือโทนสีฟ้าๆ จะใช้บ่อยหน่อย การใช้โครงสีเราก็มีวิธีคิดของเราเอง มีกฎเกณฑ์อยู่ในหัวชุดนึงว่าจะใช้สียังไง ใช้ทฤษฎีศิลปะเข้ามาช่วย”
“แต่ตาบอดสีก็เป็นข้อดีด้วย เพราะการที่มีข้อจำกัดมันทำให้เราต้องหาทางออก ทำให้เราต้องหาวิธีแก้ปัญหา คิดวิธีทำงานใหม่ๆ"
"บางคนก็บอกว่าการใช้สีของเรามันมีความพิเศษอะไรบางอย่าง แล้วมันก็ทำให้เราเห็นโลกในแบบที่คนอื่นไม่เห็น เป็นมุมมองเฉพาะที่คนตาดีไม่รู้”
ย้อนเส้นทางศิลปะของ “เนียม” จากการเรียนระดับปวช.ที่วิทยาลัยช่างศิลป์ ไปต่อที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ไปเรียนจบที่ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มช. ก่อนจะทำงานศิลปะเรื่อยมา
“จริงๆ ตอนจบมาก็เริ่มทำงานศิลปะเลยนะ แต่ตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจจะเป็นศิลปินอาชีพ เรียนจบมาก็ทำไปเรื่อยๆ สักพักก็เริ่มจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนั้นจิตใจแปรปรวนไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ วาดรูปก็ช่วยได้ พยายามอยู่กับงานจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน เพื่อนมาเห็นเราทำงานก็เลยพาไปยื่นพอร์ทขอแสดงงานที่หอศิลป์จามจุรี ก็ได้แสดงครั้งแรกปี 2008 ใช้เวลาตั้งแต่เรียนจบถึงแสดงงานครั้งแรกประมาณ 5 ปี”
จากนิทรรศการครั้งแรก “ฉันอยากไปอยู่ป่าดงดิบ” (I Wanna Lose Myself in a Jungle) ในปี 2008 ตามมาด้วย ชุดที่ 2 “ผีอากาศ” (Spirit, Air) ในปี 2010 ช่วงนั้นเนียมได้ไปรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า “การทดสอบทางจิตวิทยาด้วยการวาดรูป” ที่หาคำตอบโดยการวาดภาพอย่างไม่ต้องคิดวางแผนล่วงหน้า และใช้วิธีนี้ในการทำงานในชุดต่อๆ มา
ปี 2013 เนียมแสดงผลงานในนิทรรศการ “ความตายมาเลียดวงจันทร์” (Lunar Animalia) ยังคงโดดเด่นด้วยการวิธีการใช้สีเฉพาะตัว นำเสนอเรื่องราวที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ เรื่องของชีวิต ความตาย เพศ ความรู้สึกภายในของศิลปิน ก่อนจะแสดงงานอีกครั้งในปี 2014 ในนิทรรศการ “Trans Universe” ตามด้วยนิทรรศการ “แมวห่วย” (Loser Cat) และ “มินิม่อน” (Minimon) ในปี 2015
กับผลงานชุดล่าสุด “A place called Earth : นี่แหละโลก” ผลงานจิตรกรรมสีอะคลิริค 20 ชิ้น สะท้อนมุมมองของศิลปินที่ผ่านประสบการณ์การแสดงผลงานศิลปะมาหลายครั้ง ผ่านช่วงเวลาของความสับสนกับระบบ ขนบ ธรรมเนียมต่างๆ ในวงการศิลปะ สู่วันที่ทำความเข้าใจและยอมรับกับวิถีของโลกศิลปะได้ดีขึ้น
“จากที่ผมเคยวาดรูปตามใจตัวเอง ไม่มีแผนใดๆ ทั้งสิ้น พอได้เข้ามาในวงการศิลปะ เข้ามาสู่ระบบแกลเลอรี มันไม่เหมือนที่เราคิด มันมีกฎเกณฑ์ มีระบบอยู่ มีระบบของแกลเลอรี รสนิยมของคนดู เรื่องการซื้อขายผลงานที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เหมือนทุกอย่างมันถล่มใส่เราทีเดียวจนเรารับไม่ทัน ที่ชัดที่สุดคือความรู้สึกว่าโลกนี้มันช่างเยือกเย็นเหลือเกิน ช่างไร้ชีวิต แล้วเราจะอยู่ยังไง”
ความรู้สึกนั้นถูกถ่ายทอดผ่านองค์ประกอบในผลงานที่มักประกอบด้วยเส้นสายและรูปทรงเรขาคณิต กับเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป สื่อถึงสิ่งที่ศิลปินสัมผัสหลังจากเข้าสู่โลกของการทำงานศิลปะ ที่มีเรื่องแปลกใหม่ให้ต้องคิดมากกว่าการทำงานศิลปะตามแต่ใจอย่างแต่ก่อน
“เข้ามาในวงการศิลปะตอนแรกๆ เราก็รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ไม่มั่นคง จะไปต่อยังไง พออยู่ในระบบแกลเลอรีต้องทำงานเป็นชุด ต้องสื่อสารกับคนดูได้ ต้องมีข้อมูลให้สื่อ มีความเป็นทางการมากขึ้น แนวคิดที่เคยทำมันใช้ไม่ได้แล้ว ก็เลยต้องหาวิธีทำงานใหม่ โลกมันเปลี่ยนไปเลยสำหรับเรา"
"ช่วงที่ทำงานชุดนี้เราเลยรู้สึกปลอดภัยที่จะวาดรูปเรขาคณิตเพราะมันมีกฎของมันอยู่ อย่างน้อยวาดเส้นตรงมันก็มีกฎว่าเส้นมันต้องไปทางนี้ ถ้าเราตามกฎไปเราจะปลอดภัย ก็กดดันนะ แต่ในความกดดันเราเริ่มเรียนรู้กฎระเบียบ หลักเกณฑ์ว่าโลกศิลปะเค้าอยู่กันอย่างไร พยายามรับความจริงจนกลายมาเป็นงานชุด "นี่แหละโลก" ชุดนี้”
ความกดดันที่เป็นทั้งอุปสรรคและโอกาสที่ทำให้ศิลปินสะท้อนความรู้สึกที่เกิดขึ้นออกมาในผลงาน บางภาพแสดงถึงองค์ประกอบที่ดูเหนือจริงบนเส้นสายของรูปทรงเรขาคณิตที่ศิลปินใช้ยึดเหนี่ยวเหมือนแผนที่นำทาง
แต่ในผลงานบางชิ้นก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่นิ่ง สงบ อย่างคนที่เข้าใจโลก...เข้าใจว่านี่แหละโลก และมองเห็นเส้นทางการทำงานต่อไปของตนเองชัดเจน
“งานชุดนี้ใช้เวลา 1 ปีกับการพยายามทำความเข้าใจโลกศิลปะ การทำงานก็เหมือนกระบวนการทำความเข้าใจว่าเราจะรับมือกับวงการศิลปะยังไง ตอนนี้เข้าใจแล้ว ความรู้สึกว่าวงการนี้ช่างเย็นเยียบมันหายไปแล้ว เราเข้าใจวิธีการทำงานในวงการศิลปะแล้ว ถึงตอนนี้ผมคิดว่าผมโอเคขึ้นเยอะ พร้อมที่จะทำงานชุดใหม่ต่อไป”
นิทรรศการ “A place called Earth : นี่แหละโลก” โดย เนียม มะวรคนอง จะมีพิธีเปิดนิทรรศการในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 18.00 น. ที่ศุภโชค ดิ อาร์ท เซ็นเตอร์ สุขุมวิท 39 จัดแสดงจนถึง 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560 สอบถามโทร.0 2258 5580 ต่อ 401